รื่องเล่าของคนวัยทอง
ทำบุญผิดที่
“ เพทาย “
ผมเดินฝ่าลมหนาวละลอกแรกของปี มาตามช่องทางแคบสำหรับคนเดิน ของโรงพยาบาลกลาง ซึ่งพัดสวนมาจากทิศเหนืออย่างแรง จนผมเผ้ายุ่งเหยิงและต้องเดินขืนตัวไว้ให้ตรงทาง แม้จะไม่รู้สึกหนาวเพราะเป็นเวลาสายมากและแดดจ้าแล้ว แต่ก็เย็นสบายดี
ขณะนั้นผมนึกถึงเนื้อเพลงที่ว่า ทำบุญทำทานกันไว้เถิดเกิดเป็นคน ไว้เตรียมผจญชีวิตใหม่ ซึ่งมาจากเพลงพระราชนิพนธ์ แสงเทียน แล้วก็เหมือนจะแว่วเสียงอันอ่อนนุ่มหวานซึ้งของ สุนทราภรณ์ หรือครูเอื้อขึ้นมาทีเดียว เพราะผมเพิ่งเสร็จจากการทำบุญมาหยก ๆ แต่ก็เกือบจะได้บาปเสียแล้ว
จำได้ว่าผมเริ่มจะสนใจในคำสอนของพุทธศาสนา และไปทำบุญที่วัดอย่างจริงจัง เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๕ อายุประมาณ ๕๑ ปีนี่เอง เพราะเพื่อนที่เป็นหมอดูสมัครเล่นทำนายว่าผมน่าจะตายตอนอายุ ๕๐ ปี แต่ไม่ยักตายทั้ง ๆ ที่เกือบจะเป็นโรคตับแข็งอยู่แล้ว ผมศึกษาธรรมะจากหนังสือของพระอาจารย์ชื่อดังหลายสำนัก ตั้งแต่นั้นมาจนถึงเกษียณอายุราชการ จึงตั้งใจจะไปวัดที่มีชื่อเสียงของ ปากเกร็ดนนทบุรี และรักษาศีลห้าทุกวันอาทิตย์ แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะยังมีมารมาชักชวนให้ไขว้เขวอยู่บ่อย ๆ
จนกระทั่งอายุเข้าเจ็ดสิบจึงสามารถจะปฏิบัติได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ เป็นเวลาสองสามปีมาแล้ว ผมจะไปถึงวัดในตอนเช้าประมาณเก้าโมง เริ่มสวดมนต์แปลจากหนังสือสวดมนต์ของ สวนโมกขพลาราม ถึงเก้าโมงครึ่งก็ฟังบรรยายธรรมะจากหลวงพ่อเจ้าอาวาส จบแล้วสิบโมงครึ่งก็ตักบาตรพระภิกษุสงฆ์ ที่นั่งเรียงรายอยู่บนแท่นหินโค้งรอบลานไผ่ ถึงเวลาเพลพระสงฆ์ก็ให้สมาทานศีลห้า เมื่ออุบาสกอุบาสิกากล่าวถวายสังฆทานแล้ว ขณะที่พระฉันภัตตาหาร ก็มีการสวดมนต์แปลอีกสองสามบท พระฉันเสร็จก็อนุโมทนาเป็นภาษาไทยนิดหน่อย แล้วก็ให้พรเป็นภาษาบาลีให้เรากรวดน้ำ เป็นอันเสร็จสิ้นรายการเพียงแค่นี้ ผมก็กลับบ้านหรือเข้าหอสมุดแห่งชาติ รักษาศีลไว้ไม่ให้ด่างพร้อยจนตลอดวันหนึ่งคืนหนึ่ง
ในระหว่างเวลาที่ผ่านมาก็ได้บริจาคเงินทำบุญที่วัด และบริจาคให้มูลนิธิที่เกี่ยวกับเด็กหลายแห่งอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน แต่พอถึงปัจจุบันการไปรษณีย์แห่งประเทศไทย เปลี่ยนเป็นบริษัท มีการขึ้นราคาค่าส่งธนาณัติ จึงต้องรวมเงินที่จะบริจาคทุกแห่งเป็นก้อนเดียว แล้วส่งให้เดือนละแห่งเดียว และเปลี่ยนมูลนิธิไปทุกเดือนจนตลอดปี แทน
แล้วนึกอย่างไรขึ้นมาก็ไม่ทราบ เกิดอยากจะบริจาคเงินทำบุญให้แก่มูลนิธิของคนจีนในประเทศไทยบ้าง ผมก็นึกถึงมูลนิธิป่อเต็กตึ้ง เพราะทราบว่าช่วยเหลือคนยากจนมากมายหลายอย่าง ตั้งแต่เกิดแก่ไปจนเจ็บและตาย เป็นการให้บริการโดยไม่คิดเงินแต่ประการใด โดยเฉพาะการบริจาคเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายและโลงศพ สำหรับช่วยเหลือศพที่ไม่มีญาติ ซึ่งมีคนศรัทธาบริจาคกันมากมาย ทุกวันตลอดทั้งปี
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อสมัยที่ผมยังรับราชการอยู่ ผู้บังคับบัญชาของผมคนหนึ่ง เกือบจะต้องเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน แต่เผอิญภรรยาเป็นพยาบาลจึงรีบพาไปถึงมือหมอได้ทันเวลา เมื่อรอดมาได้แล้วก็อยากจะทำบุญซื้อโลงศพเพื่อต่ออายุ ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งแห่งนี้ จึงชวนผมไปเป็นเพื่อน ทั้ง ๆ ที่ผมไม่เคยไปเลยรู้แต่เพียงว่าอยู่ใกล้กับวัดใหม่ยายแฟง ซึ่งมีชื่อจริงว่าอย่างไรก็ไม่รู้อีก
เจ้านายผมท่านขับรถไปจอดที่ตรอกอะไรก็ไม่ทราบ แล้วก็พากันเดินถามชาวบ้านร้านตลาดไปจนถึง ผมจำได้ว่าภายในสถานที่แห่งนี้ เต็มไปด้วยชาวจีนหรือชาวไทยเชื้อสายจีน เป็นอาแปะ อาก๋ง อาอึ๊ม อาอี๊ หรืออาซิ๊ม เกือบทั้งหมด ทุกคนจุดธูปจุดเทียนควันคลุ้งไปทั่วบริเวณ เมื่อเจ้านายได้บริจาคเงินตามความตั้งใจแล้วก็พากันกลับ ผมก็จำเส้นทางไม่ได้เลย และก็ไม่ได้สนใจที่จะไปอีก รู้แต่ว่าเจ้านายของผมคนนี้ ได้รับราชการอยู่จนเกษียณอายุ ไม่มีการเจ็บไข้ได้ป่วยร้ายแรงอย่างคราวนั้นอีกเลย
จนถึงวันที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ช่วงปลายเดือนหลังออกพรรษาแล้ว ผมกลับจากไปทำบุญฟังธรรมสมาทานศีลที่วัดแล้ว ก็ต่อรถปรับอากาศ สาย ๔๙ ที่เลี้ยวตรงสี่แยกบางขุนพรหม ผ่านสี่แยกถนนราชดำเนิน นางเลิ้ง ไปทางวัดพระพิเรนทร์ สี่แยกวรจักร ผมถามคนขายตั๋วว่าผมจะไปป่อเต็กตึ๊งต้องลงป้ายไหน เขาบอกให้ลงเยาวราช แล้วเดินเข้าตรอกไปอีกไกลพอสมควร เมื่อรถเลี้ยวเข้าถนนเจริญกรุงแล้วผ่านสี่แยกเสือป่า วัดมังกรกมลาวาสไม่นานนัก กระเป๋าก็บอกให้ลงที่ป้าย เลยซอย ๒๑ ไปหน่อยแล้วให้เดินย้อนไปเข้าซอยนั้น
เมื่อผมลงจากรถเดินย้อนไปตามที่เขาบอก ก็เห็นว่าป้ายซอย ๒๑ นั้น เดิมชื่อตรอกอิศรานุภาพ สองข้างทางในตรอกเป็นร้านขายของหลายชนิด มีทั้งอาหารคาวหวาน พืชผักผลไม้อย่างเช่นลูกพลับ สาลี่ เห็ดหอม และอื่น ๆ ทั้งสดและแห้งที่มาจากเมืองจีน ขนมที่ส่วนมากใช้ในการไหว้เจ้าของขบเคี้ยวเช่นเม็ดกวยจี๊ ชาชงชื่อต่าง ๆ กระดาษเงินกระดาษทอง ธูปเทียนและบรรดาข้าวของเครื่องใช้ เช่น ถ้วยโถโอชาม ที่เกี่ยวกับการไหว้เจ้าของคนจีน
เมื่อเดินไปจนสุดซอยก็พบถนนเล็ก ๆ ชื่อ ถนนยมราชสุขุม ตัดผ่านเป็นทางแยก ผมมองดูซ้ายขวาหาทิศทาง แล้วก็ตัดสินใจเดินข้ามถนนตรงไปตามทางเท้า ที่มองเห็นยอดแหลม ๆ ของเจดีย์และหลังคาโบสถ์หรือวิหารวัดไทย ปรากฏว่าเป็นวัดคณิกาผล หรือวัดใหม่ยายแฟง อยู่ตรงข้ามกับสถานีตำรวจพลับพลาไชยนั่นเอง ผมจึงแน่ใจว่ามาถูกทางแล้ว
ตลอดเส้นทางที่เดินผ่านไปจากวัดใหม่ยายแฟง จนถึงมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งนั้น สองข้างเรียงรายไปด้วยขอทานทั้งชายหญิง ผมจึงสำรวจเศษเหรียญในกระเป๋ากางเกง แยกเอาเหรียญหนึ่งบาทมาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ เตรียมบริจาคทาน ซึ่งผมทำมาเป็นประจำ ไม่ว่าจะไปที่ไหน เมื่อเห็นคนขอทานผมจะไม่ปฏิเสธ ต้องควักเงินให้ไปทุกครั้ง ทุกรายจนกว่าเหรียญบาทจะหมด
เมื่อหลายปีมาแล้วผมให้คนละบาทเดียว ต่อมาเห็นว่าค่าครองชีพสูงขึ้นหลายเท่า ผมจึงเพิ่มให้เป็น สองบาทบ้าง สามบาทบ้างแล้วแต่โอกาส บางครั้งมีแต่เหรียญห้าบาท ก็ตัดใจให้ไปแต่ไม่บ่อยครั้งนัก แม้เมื่อมีข่าวทางโทรทัศน์ว่า ขอทานส่วนใหญ่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน และบ้างก็ว่ามีผู้ควบคุมทำเป็นแก๊งขอทาน ผมก็ไม่สนใจ เพราะไม่ว่าชาติใดภาษาใดก็กินข้าวเหมือนกัน และผมบริจาคทานเพื่อขจัดกิเลสของตนเองให้เบาบางลงเท่านั้น
กลุ่มแรกที่ผ่านนั่งอยู่ใกล้กันสามคน เป็นชายหนึ่งหญิงสอง ต่อไปชายนั่งพิงอยู่ที่หน้าประตูวัด ส่วนหญิงอยู่ตรงกันข้าม ต่อไปเป็นชายดูเหมือนจะมีแผลแดง ๆ ที่หน้าแข้ง แล้วก็มีหญิงชราผมขาว ถัดไปเป็นชายอ้วนสวมเสื้อขาวนุ่งผ้าโจงกระเบนขาวห้อยลูกประคำเป็นสาย ท่าทางเหมือนนักพรต ตรงหน้ามีขันน้ำพานรองเป็นสีทอง สุดท้ายบนผิวจราจรหน้าประตูเข้ามูลนิธิพอดี ทางซ้ายเป็นชายไทยแท้แต่งกายด้วยชุดม่อฮ่อม ทางขวาดูเหมือนมีเชื้อสายจีนนั่งบนรถเข็น ผมก็ควักกระเป๋าให้ไปทุกคน แล้วก็ก้าวเท้าเข้าประตูไป สำรวจดูในกระเป๋าก็เหลือเหรียญบาทอยู่อีกสามอัน
ภายในบริเวณด้านนอกเป็นลานกว้าง แต่มีหลังคาสังกะสีแทรกพลาสติกใสคลุมอยู่ ผู้คนเป็นจำนวนมากต่างก็จุดธูปจุดเทียน วางพวงลาลัย เผากระดาษ และเติมน้ำมันตะเกียงอยู่ทั่วบริเวณ ซึ่งเครื่องใช้ในการบูชาเหล่านี้ ก็เหมือนกับที่วางขายเรียงรายอยู่ภายนอก แต่ข้างในนี้มีป้ายบอกไว้ว่า บริจาคตามศรัทธา คือไม่ต้องซื้อหยิบของทุกอย่างที่ต้องการเอาไปได้เลย แล้วจะบริจาคเท่าไรหรือไม่ก็ตามแต่ใจ มีมากให้มากมีน้อยให้น้อย ไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ ผมสังเกตดูรอบ ๆ ตัวก็พบว่าผู้ที่มาทำบุญไหว้เจ้าเดี๋ยวนี้ อายุน้อยกว่าที่ผมเคยเห็นเมื่อยี่สิบปีก่อน คงจะเป็นเชื้อจีนรุ่นที่สองหรือสามแล้ว
เมื่อก้าวผ่านเข้าไปห้องที่สอง ซึ่งมีลักษณะเหมือนวิหารของวัดไทย สองข้างชิดผนังซ้ายขวาเป็นห้องรับบริจาคเงิน ซึ่งมีลูกกรงเหล็กกั้นระหว่างผู้บริจาคกับเจ้าหน้าที่ ตอนบนเหนือลูกกรง ขึ้นไปมีป้ายแจ้งรายการที่จะบริจาคให้เห็นชัดเจนว่า
ข้าวสาร ถุงละ ๕๐ บาท
โลงศพ ๖๐๐ บาท
ผ้าดิบ ผืนละ ๕๐ บาท
ตรงกลางตั้งโต๊ะสำหรับวางของไหว้ โดยไม่มีที่ปักธูปเทียน เพราะให้ปักข้างนอกแล้ว ลึกเข้าไปในวิหารมีรูปของเทพารักษ์สามองค์ เรียงจากซ้ายคือ พระโพธิสัตว์มหาภาพ (ยมทูต) องค์ขวาพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (พระแม่กวนอิม) องค์กลางไม่มีป้าย ถามเจ้าหน้าที่บอกว่าหลวงปู่ไต้ฮงกง ถ้าหันหลังกลับจะเจออีกองค์คือพระเวทโพธิสัตว์
ผมกลับออกมาเพื่อจะบริจาคเงิน แลเห็นทางด้านซ้ายเมื่อขาเข้า ไม่มีคนไปยืนมุงกันเหมือนข้างขวา จึงเร่เข้าไปยื่นธนบัตรใบละร้อยบาทให้เจ้าหน้าที่หลังลูกกรง ซึ่งเป็นผู้เฒ่าเล่านั้ง พร้อมกับบัตรประจำตัวเพื่อจะได้ไม่ต้องถามชื่อแซ่ให้ลำบาก แกรับไปดูแล้วก็ส่งคืนให้พร้อมกับยื่นสมุด ใบเสร็จรับเงินลอดใต้ลูกกรงมาให้เขียนเอง ไม่ทราบว่าสายตาไม่ดีหรืออ่านหนังสือไทยไม่ออก
ผมเขียนชื่อและจำนวนที่จะบริจาค แล้วจึงเห็นว่า ใบเสร็จนั้นเป็นของ ศาลเจ้าไต้ฮงกง ไม่ใช่ป่อเต็กตึ๊ง
ผมจึงหวนกลับมาเข้าคิวทางด้านตรงข้าม ส่งธนบัตรพร้อมกับบัตรประจำตัวให้ เจ้าหน้าที่ไปเหมือนเดิม คราวนี้เจ้าหน้าที่เขียนให้เรียบร้อยด้วยอักษรตัวโตลายมืองดงาม ผมรับมาตรวจดูจึงเพิ่งจะทราบว่า เป็นใบเสร็จของ มูลนิธิฮั่วเคี้ยวป่อเต็กเซี่ยงตึ๊ง และมีคำอธิบายด้านล่างว่า
เพื่อส่งเสริมในการบำเพ็ญสาธารณกุศล เก็บศพไม่มีญาติ การศึกษา ตั้งโรงพยาบาล และช่วยการสังคมสงเคราะห์ ฯลฯ ขอให้อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก โปรดดลบันดาลให้ท่านผู้มีกุศลจิต จงประสบแต่ความสุขสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล เทอญ
ล่างสุดนอกจากประทับตรายี่ห้อของ ประธานกรรมการ เหรัญญิก ผู้จัดการ และผู้รับเงินแล้ว มีข้อความที่สำคัญที่พิมพ์ด้วยตัวอักษรภาษาจีนและไทยสีแดงว่า
ใบรับนี้หักภาษีเงินได้ ตามมาตรา ๔๗(๗) แห่งประมวลรัษฎากรได้ (ลำดับที่ ๘๗)
ผมเดินออกมาจากวิหารมาด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ ที่ได้ทำบุญสมความปรารถนา ก่อนจะถึงประตูออกก็เห็นหญิงชราทั้งหน้าตาและการแต่งกาย นุ่งผ้าถุงสวมเสื้อแบบไทยแท้คนหนึ่ง นั่งยอง ๆ พนมมือหลับตาอยู่
ผมรีบล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบเหรียญบาทที่เหลือเดินรี่เข้าไปหา แต่หญิงชราผู้นั้นไม่ได้แบมือรับอย่างปกติ ก็พอดีมีหญิงกลางคนซึ่งขายนกปล่อย นั่งเก้าอี้อยู่ใกล้ ๆ ตะโกนมาด้วยเสียงกราดเกรี้ยวว่า
"เขาไหว้พระไม่ได้ขอเงิน"
ทั้งผมและหญิงชราผู้พนมมือ ตกใจเกือบพร้อม ๆ กัน ผมรีบก้มตัวลงพนมมือไหว้และบอกขอประทานโทษครับ แล้วก็รีบจ้ำออกประตูมาทันที
ผมเดินเลาะตามถนนเจ้าคำรพ มาโผล่ถนนเสือป่า เลี้ยวออกทางโรงพยาบาลกลางอย่างที่ว่า พลางก็นึกถึงเหตุการณ์ ที่ทำให้หน้าแตกเหวอะหวะเมื่อกี้ อยู่ในใจ
เกือบไปแล้วไหมล่ะ เกือบจะทำบุญได้บาปเสียแล้ว.
#########
วารสารข่าวทหารอากาศ
กรกฎา ๒๕๔๙
ทำบุญผิดที่
ทำบุญผิดที่
“ เพทาย “
ผมเดินฝ่าลมหนาวละลอกแรกของปี มาตามช่องทางแคบสำหรับคนเดิน ของโรงพยาบาลกลาง ซึ่งพัดสวนมาจากทิศเหนืออย่างแรง จนผมเผ้ายุ่งเหยิงและต้องเดินขืนตัวไว้ให้ตรงทาง แม้จะไม่รู้สึกหนาวเพราะเป็นเวลาสายมากและแดดจ้าแล้ว แต่ก็เย็นสบายดี
ขณะนั้นผมนึกถึงเนื้อเพลงที่ว่า ทำบุญทำทานกันไว้เถิดเกิดเป็นคน ไว้เตรียมผจญชีวิตใหม่ ซึ่งมาจากเพลงพระราชนิพนธ์ แสงเทียน แล้วก็เหมือนจะแว่วเสียงอันอ่อนนุ่มหวานซึ้งของ สุนทราภรณ์ หรือครูเอื้อขึ้นมาทีเดียว เพราะผมเพิ่งเสร็จจากการทำบุญมาหยก ๆ แต่ก็เกือบจะได้บาปเสียแล้ว
จำได้ว่าผมเริ่มจะสนใจในคำสอนของพุทธศาสนา และไปทำบุญที่วัดอย่างจริงจัง เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๕ อายุประมาณ ๕๑ ปีนี่เอง เพราะเพื่อนที่เป็นหมอดูสมัครเล่นทำนายว่าผมน่าจะตายตอนอายุ ๕๐ ปี แต่ไม่ยักตายทั้ง ๆ ที่เกือบจะเป็นโรคตับแข็งอยู่แล้ว ผมศึกษาธรรมะจากหนังสือของพระอาจารย์ชื่อดังหลายสำนัก ตั้งแต่นั้นมาจนถึงเกษียณอายุราชการ จึงตั้งใจจะไปวัดที่มีชื่อเสียงของ ปากเกร็ดนนทบุรี และรักษาศีลห้าทุกวันอาทิตย์ แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะยังมีมารมาชักชวนให้ไขว้เขวอยู่บ่อย ๆ
จนกระทั่งอายุเข้าเจ็ดสิบจึงสามารถจะปฏิบัติได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ เป็นเวลาสองสามปีมาแล้ว ผมจะไปถึงวัดในตอนเช้าประมาณเก้าโมง เริ่มสวดมนต์แปลจากหนังสือสวดมนต์ของ สวนโมกขพลาราม ถึงเก้าโมงครึ่งก็ฟังบรรยายธรรมะจากหลวงพ่อเจ้าอาวาส จบแล้วสิบโมงครึ่งก็ตักบาตรพระภิกษุสงฆ์ ที่นั่งเรียงรายอยู่บนแท่นหินโค้งรอบลานไผ่ ถึงเวลาเพลพระสงฆ์ก็ให้สมาทานศีลห้า เมื่ออุบาสกอุบาสิกากล่าวถวายสังฆทานแล้ว ขณะที่พระฉันภัตตาหาร ก็มีการสวดมนต์แปลอีกสองสามบท พระฉันเสร็จก็อนุโมทนาเป็นภาษาไทยนิดหน่อย แล้วก็ให้พรเป็นภาษาบาลีให้เรากรวดน้ำ เป็นอันเสร็จสิ้นรายการเพียงแค่นี้ ผมก็กลับบ้านหรือเข้าหอสมุดแห่งชาติ รักษาศีลไว้ไม่ให้ด่างพร้อยจนตลอดวันหนึ่งคืนหนึ่ง
ในระหว่างเวลาที่ผ่านมาก็ได้บริจาคเงินทำบุญที่วัด และบริจาคให้มูลนิธิที่เกี่ยวกับเด็กหลายแห่งอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน แต่พอถึงปัจจุบันการไปรษณีย์แห่งประเทศไทย เปลี่ยนเป็นบริษัท มีการขึ้นราคาค่าส่งธนาณัติ จึงต้องรวมเงินที่จะบริจาคทุกแห่งเป็นก้อนเดียว แล้วส่งให้เดือนละแห่งเดียว และเปลี่ยนมูลนิธิไปทุกเดือนจนตลอดปี แทน
แล้วนึกอย่างไรขึ้นมาก็ไม่ทราบ เกิดอยากจะบริจาคเงินทำบุญให้แก่มูลนิธิของคนจีนในประเทศไทยบ้าง ผมก็นึกถึงมูลนิธิป่อเต็กตึ้ง เพราะทราบว่าช่วยเหลือคนยากจนมากมายหลายอย่าง ตั้งแต่เกิดแก่ไปจนเจ็บและตาย เป็นการให้บริการโดยไม่คิดเงินแต่ประการใด โดยเฉพาะการบริจาคเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายและโลงศพ สำหรับช่วยเหลือศพที่ไม่มีญาติ ซึ่งมีคนศรัทธาบริจาคกันมากมาย ทุกวันตลอดทั้งปี
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อสมัยที่ผมยังรับราชการอยู่ ผู้บังคับบัญชาของผมคนหนึ่ง เกือบจะต้องเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน แต่เผอิญภรรยาเป็นพยาบาลจึงรีบพาไปถึงมือหมอได้ทันเวลา เมื่อรอดมาได้แล้วก็อยากจะทำบุญซื้อโลงศพเพื่อต่ออายุ ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งแห่งนี้ จึงชวนผมไปเป็นเพื่อน ทั้ง ๆ ที่ผมไม่เคยไปเลยรู้แต่เพียงว่าอยู่ใกล้กับวัดใหม่ยายแฟง ซึ่งมีชื่อจริงว่าอย่างไรก็ไม่รู้อีก
เจ้านายผมท่านขับรถไปจอดที่ตรอกอะไรก็ไม่ทราบ แล้วก็พากันเดินถามชาวบ้านร้านตลาดไปจนถึง ผมจำได้ว่าภายในสถานที่แห่งนี้ เต็มไปด้วยชาวจีนหรือชาวไทยเชื้อสายจีน เป็นอาแปะ อาก๋ง อาอึ๊ม อาอี๊ หรืออาซิ๊ม เกือบทั้งหมด ทุกคนจุดธูปจุดเทียนควันคลุ้งไปทั่วบริเวณ เมื่อเจ้านายได้บริจาคเงินตามความตั้งใจแล้วก็พากันกลับ ผมก็จำเส้นทางไม่ได้เลย และก็ไม่ได้สนใจที่จะไปอีก รู้แต่ว่าเจ้านายของผมคนนี้ ได้รับราชการอยู่จนเกษียณอายุ ไม่มีการเจ็บไข้ได้ป่วยร้ายแรงอย่างคราวนั้นอีกเลย
จนถึงวันที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ช่วงปลายเดือนหลังออกพรรษาแล้ว ผมกลับจากไปทำบุญฟังธรรมสมาทานศีลที่วัดแล้ว ก็ต่อรถปรับอากาศ สาย ๔๙ ที่เลี้ยวตรงสี่แยกบางขุนพรหม ผ่านสี่แยกถนนราชดำเนิน นางเลิ้ง ไปทางวัดพระพิเรนทร์ สี่แยกวรจักร ผมถามคนขายตั๋วว่าผมจะไปป่อเต็กตึ๊งต้องลงป้ายไหน เขาบอกให้ลงเยาวราช แล้วเดินเข้าตรอกไปอีกไกลพอสมควร เมื่อรถเลี้ยวเข้าถนนเจริญกรุงแล้วผ่านสี่แยกเสือป่า วัดมังกรกมลาวาสไม่นานนัก กระเป๋าก็บอกให้ลงที่ป้าย เลยซอย ๒๑ ไปหน่อยแล้วให้เดินย้อนไปเข้าซอยนั้น
เมื่อผมลงจากรถเดินย้อนไปตามที่เขาบอก ก็เห็นว่าป้ายซอย ๒๑ นั้น เดิมชื่อตรอกอิศรานุภาพ สองข้างทางในตรอกเป็นร้านขายของหลายชนิด มีทั้งอาหารคาวหวาน พืชผักผลไม้อย่างเช่นลูกพลับ สาลี่ เห็ดหอม และอื่น ๆ ทั้งสดและแห้งที่มาจากเมืองจีน ขนมที่ส่วนมากใช้ในการไหว้เจ้าของขบเคี้ยวเช่นเม็ดกวยจี๊ ชาชงชื่อต่าง ๆ กระดาษเงินกระดาษทอง ธูปเทียนและบรรดาข้าวของเครื่องใช้ เช่น ถ้วยโถโอชาม ที่เกี่ยวกับการไหว้เจ้าของคนจีน
เมื่อเดินไปจนสุดซอยก็พบถนนเล็ก ๆ ชื่อ ถนนยมราชสุขุม ตัดผ่านเป็นทางแยก ผมมองดูซ้ายขวาหาทิศทาง แล้วก็ตัดสินใจเดินข้ามถนนตรงไปตามทางเท้า ที่มองเห็นยอดแหลม ๆ ของเจดีย์และหลังคาโบสถ์หรือวิหารวัดไทย ปรากฏว่าเป็นวัดคณิกาผล หรือวัดใหม่ยายแฟง อยู่ตรงข้ามกับสถานีตำรวจพลับพลาไชยนั่นเอง ผมจึงแน่ใจว่ามาถูกทางแล้ว
ตลอดเส้นทางที่เดินผ่านไปจากวัดใหม่ยายแฟง จนถึงมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งนั้น สองข้างเรียงรายไปด้วยขอทานทั้งชายหญิง ผมจึงสำรวจเศษเหรียญในกระเป๋ากางเกง แยกเอาเหรียญหนึ่งบาทมาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ เตรียมบริจาคทาน ซึ่งผมทำมาเป็นประจำ ไม่ว่าจะไปที่ไหน เมื่อเห็นคนขอทานผมจะไม่ปฏิเสธ ต้องควักเงินให้ไปทุกครั้ง ทุกรายจนกว่าเหรียญบาทจะหมด
เมื่อหลายปีมาแล้วผมให้คนละบาทเดียว ต่อมาเห็นว่าค่าครองชีพสูงขึ้นหลายเท่า ผมจึงเพิ่มให้เป็น สองบาทบ้าง สามบาทบ้างแล้วแต่โอกาส บางครั้งมีแต่เหรียญห้าบาท ก็ตัดใจให้ไปแต่ไม่บ่อยครั้งนัก แม้เมื่อมีข่าวทางโทรทัศน์ว่า ขอทานส่วนใหญ่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน และบ้างก็ว่ามีผู้ควบคุมทำเป็นแก๊งขอทาน ผมก็ไม่สนใจ เพราะไม่ว่าชาติใดภาษาใดก็กินข้าวเหมือนกัน และผมบริจาคทานเพื่อขจัดกิเลสของตนเองให้เบาบางลงเท่านั้น
กลุ่มแรกที่ผ่านนั่งอยู่ใกล้กันสามคน เป็นชายหนึ่งหญิงสอง ต่อไปชายนั่งพิงอยู่ที่หน้าประตูวัด ส่วนหญิงอยู่ตรงกันข้าม ต่อไปเป็นชายดูเหมือนจะมีแผลแดง ๆ ที่หน้าแข้ง แล้วก็มีหญิงชราผมขาว ถัดไปเป็นชายอ้วนสวมเสื้อขาวนุ่งผ้าโจงกระเบนขาวห้อยลูกประคำเป็นสาย ท่าทางเหมือนนักพรต ตรงหน้ามีขันน้ำพานรองเป็นสีทอง สุดท้ายบนผิวจราจรหน้าประตูเข้ามูลนิธิพอดี ทางซ้ายเป็นชายไทยแท้แต่งกายด้วยชุดม่อฮ่อม ทางขวาดูเหมือนมีเชื้อสายจีนนั่งบนรถเข็น ผมก็ควักกระเป๋าให้ไปทุกคน แล้วก็ก้าวเท้าเข้าประตูไป สำรวจดูในกระเป๋าก็เหลือเหรียญบาทอยู่อีกสามอัน
ภายในบริเวณด้านนอกเป็นลานกว้าง แต่มีหลังคาสังกะสีแทรกพลาสติกใสคลุมอยู่ ผู้คนเป็นจำนวนมากต่างก็จุดธูปจุดเทียน วางพวงลาลัย เผากระดาษ และเติมน้ำมันตะเกียงอยู่ทั่วบริเวณ ซึ่งเครื่องใช้ในการบูชาเหล่านี้ ก็เหมือนกับที่วางขายเรียงรายอยู่ภายนอก แต่ข้างในนี้มีป้ายบอกไว้ว่า บริจาคตามศรัทธา คือไม่ต้องซื้อหยิบของทุกอย่างที่ต้องการเอาไปได้เลย แล้วจะบริจาคเท่าไรหรือไม่ก็ตามแต่ใจ มีมากให้มากมีน้อยให้น้อย ไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ ผมสังเกตดูรอบ ๆ ตัวก็พบว่าผู้ที่มาทำบุญไหว้เจ้าเดี๋ยวนี้ อายุน้อยกว่าที่ผมเคยเห็นเมื่อยี่สิบปีก่อน คงจะเป็นเชื้อจีนรุ่นที่สองหรือสามแล้ว
เมื่อก้าวผ่านเข้าไปห้องที่สอง ซึ่งมีลักษณะเหมือนวิหารของวัดไทย สองข้างชิดผนังซ้ายขวาเป็นห้องรับบริจาคเงิน ซึ่งมีลูกกรงเหล็กกั้นระหว่างผู้บริจาคกับเจ้าหน้าที่ ตอนบนเหนือลูกกรง ขึ้นไปมีป้ายแจ้งรายการที่จะบริจาคให้เห็นชัดเจนว่า
ข้าวสาร ถุงละ ๕๐ บาท
โลงศพ ๖๐๐ บาท
ผ้าดิบ ผืนละ ๕๐ บาท
ตรงกลางตั้งโต๊ะสำหรับวางของไหว้ โดยไม่มีที่ปักธูปเทียน เพราะให้ปักข้างนอกแล้ว ลึกเข้าไปในวิหารมีรูปของเทพารักษ์สามองค์ เรียงจากซ้ายคือ พระโพธิสัตว์มหาภาพ (ยมทูต) องค์ขวาพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (พระแม่กวนอิม) องค์กลางไม่มีป้าย ถามเจ้าหน้าที่บอกว่าหลวงปู่ไต้ฮงกง ถ้าหันหลังกลับจะเจออีกองค์คือพระเวทโพธิสัตว์
ผมกลับออกมาเพื่อจะบริจาคเงิน แลเห็นทางด้านซ้ายเมื่อขาเข้า ไม่มีคนไปยืนมุงกันเหมือนข้างขวา จึงเร่เข้าไปยื่นธนบัตรใบละร้อยบาทให้เจ้าหน้าที่หลังลูกกรง ซึ่งเป็นผู้เฒ่าเล่านั้ง พร้อมกับบัตรประจำตัวเพื่อจะได้ไม่ต้องถามชื่อแซ่ให้ลำบาก แกรับไปดูแล้วก็ส่งคืนให้พร้อมกับยื่นสมุด ใบเสร็จรับเงินลอดใต้ลูกกรงมาให้เขียนเอง ไม่ทราบว่าสายตาไม่ดีหรืออ่านหนังสือไทยไม่ออก
ผมเขียนชื่อและจำนวนที่จะบริจาค แล้วจึงเห็นว่า ใบเสร็จนั้นเป็นของ ศาลเจ้าไต้ฮงกง ไม่ใช่ป่อเต็กตึ๊ง
ผมจึงหวนกลับมาเข้าคิวทางด้านตรงข้าม ส่งธนบัตรพร้อมกับบัตรประจำตัวให้ เจ้าหน้าที่ไปเหมือนเดิม คราวนี้เจ้าหน้าที่เขียนให้เรียบร้อยด้วยอักษรตัวโตลายมืองดงาม ผมรับมาตรวจดูจึงเพิ่งจะทราบว่า เป็นใบเสร็จของ มูลนิธิฮั่วเคี้ยวป่อเต็กเซี่ยงตึ๊ง และมีคำอธิบายด้านล่างว่า
เพื่อส่งเสริมในการบำเพ็ญสาธารณกุศล เก็บศพไม่มีญาติ การศึกษา ตั้งโรงพยาบาล และช่วยการสังคมสงเคราะห์ ฯลฯ ขอให้อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก โปรดดลบันดาลให้ท่านผู้มีกุศลจิต จงประสบแต่ความสุขสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล เทอญ
ล่างสุดนอกจากประทับตรายี่ห้อของ ประธานกรรมการ เหรัญญิก ผู้จัดการ และผู้รับเงินแล้ว มีข้อความที่สำคัญที่พิมพ์ด้วยตัวอักษรภาษาจีนและไทยสีแดงว่า
ใบรับนี้หักภาษีเงินได้ ตามมาตรา ๔๗(๗) แห่งประมวลรัษฎากรได้ (ลำดับที่ ๘๗)
ผมเดินออกมาจากวิหารมาด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ ที่ได้ทำบุญสมความปรารถนา ก่อนจะถึงประตูออกก็เห็นหญิงชราทั้งหน้าตาและการแต่งกาย นุ่งผ้าถุงสวมเสื้อแบบไทยแท้คนหนึ่ง นั่งยอง ๆ พนมมือหลับตาอยู่
ผมรีบล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบเหรียญบาทที่เหลือเดินรี่เข้าไปหา แต่หญิงชราผู้นั้นไม่ได้แบมือรับอย่างปกติ ก็พอดีมีหญิงกลางคนซึ่งขายนกปล่อย นั่งเก้าอี้อยู่ใกล้ ๆ ตะโกนมาด้วยเสียงกราดเกรี้ยวว่า
"เขาไหว้พระไม่ได้ขอเงิน"
ทั้งผมและหญิงชราผู้พนมมือ ตกใจเกือบพร้อม ๆ กัน ผมรีบก้มตัวลงพนมมือไหว้และบอกขอประทานโทษครับ แล้วก็รีบจ้ำออกประตูมาทันที
ผมเดินเลาะตามถนนเจ้าคำรพ มาโผล่ถนนเสือป่า เลี้ยวออกทางโรงพยาบาลกลางอย่างที่ว่า พลางก็นึกถึงเหตุการณ์ ที่ทำให้หน้าแตกเหวอะหวะเมื่อกี้ อยู่ในใจ
เกือบไปแล้วไหมล่ะ เกือบจะทำบุญได้บาปเสียแล้ว.
#########
วารสารข่าวทหารอากาศ
กรกฎา ๒๕๔๙