คนวัยทอง ๒๕ ส.ค.๖๐

เรื่องเล่าของคนวัยทอง

คนวัยทอง

“ เพทาย “

คนที่มีอายุเลยเจ็ดสิบปีขึ้นไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะเรียกว่า ผู้สูงอายุ ผู้อาวุโส ผู้ชรา ผู้เฒ่าหรือให้ไพเราะเสนาะหู อย่างเช่นคนวัยทอง แต่ความจริงก็คือคนแก่นั่นเอง บางทีก็กลายเป็นตาแก่หรือไอ้แก่ไปเลย แล้วแต่ฐานะและการวางตัวของแต่ละคน ซึ่งไม่เหมือนกัน

ผมเองก็อยู่ในจำนวนนั้นด้วยเหมือนกัน ใครเรียกลุงก็เห็นเป็นธรรมดา บางทีก็เป็นลุงใหญ่ แม่ค้าหมูปิ้งเรียกพ่อแก่ แต่คนหนุ่มที่ขอค่ารถไปสถานีขนส่งสายอีสาน เพื่อขึ้นรถบัสกลับบ้าน เรียกคุณพ่อก็มี คนขายสลากกินแบ่งบางคนเรียกคุณตา และคนเรียกก็เป็นสาวค่อนข้างสวยเสียด้วย เล่นเอาต้องเจียมเนื้อเจียมตัวลงเป็นอันมาก

วันนี้ผมตื่นแต่เช้าเพื่อจะไปเจาะเลือด ตามคำสั่งหมอที่คลีนิกผู้สูงอายุ ซึ่งได้ตรวจรักษากันอยู่เป็นประจำ ตั้งแต่เริ่มเกษียณอายุราชการ เมื่อสิบปีก่อน หมอนัดครั้งละสองเดือนบ้าง สามเดือนบ้าง เว้นแต่เมื่อตรวจแล้วมีอะไรน่าสงสัย ก็ต้องไปถี่หน่อย การไปเจาะเลือดต้องอดทั้งอาหารและน้ำ ตั้งแต่เวลาสองทุ่ม ถ้าไปสายแล้วกว่าจะเจาะเสร็จได้กินข้าว ก็หิวตาลายไปเลย

เมื่อออกจากบ้านไปถึงป้ายรถเมล์แล้ว ขณะคลำหาเศษเหรียญค่ารถ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าไม่ได้เอาบัตรรับบำนาญมาด้วย จึงต้องเดินกลับเข้าบ้านใหม่ บัตรนี้มีความสำคัญยิ่ง เพราะใช้เป็นหลักฐานให้เจ้าหน้าที่ เขียนใบเบิกค่ารักษาพยาบาล โดยไม่ต้องจ่ายเงินสดแล้วเอาไปเบิกเองที่กระทรวง เมื่อเข้าห้องส่วนตัวเพื่อหยิบบัตร จึงได้เห็นว่าเมื่อออกไปนั้นยังไม่ได้ปิดพัดลม ก็เป็นการดีเหมือนกันที่กลับมาเอาบัตร จึงได้ปิดพัดลม เพราะทิ้งไว้ก็เปลืองไฟเปล่า ๆ

การที่ทำอะไรไม่เรียบร้อยทำนองนี้ ผมเป็นมานานแล้ว เช่นเข้าห้องน้ำเปิดไฟฟ้าไว้ เสร็จธุระแล้วก็ไม่ได้ปิด หรือเปิดเตาแก๊สอุ่นอาหารแล้วไม่อยู่ในครัว หรือไปรับโทรศัพท์คุยเพลิน หม้อแกงส่งกลิ่นเหม็นไหม้ไปทั่วบ้าน จึงจะรู้สึก เรื่องไม่ได้ปิดแก๊สนี่เป็นอันตรายมากกว่าไฟฟ้า เพราะแก๊สให้ความร้อนสูง เมื่อเผาหม้อแกงแห้งจนทะลุไปแล้ว อาจเลยไปเผาสิ่งที่อยู่ใกล้ต่อไป จนบ้านกลายเป็นถ่านหรือขี้เถ้าไปหมดทั้งหลังก็ได้

ผมกลับมาที่ป้ายรถเมล์อีกครั้ง แต่ขณะนั้นยังไม่มีรถที่ต้องการจะขึ้นผ่านมา และถนนสายนี้ก็มีรถเมล์ผ่านเพียงสายเดียวเท่านั้น จึงลงนั่งที่ม้าหินในศาลาพักผู้โดยสาร ล้วงกระเป๋าเงินหยิบธนบัตรใบละยี่สิบบาทใส่กระเป๋าเสื้อ เตรียมไว้ให้ค่าโดยสาร แล้วก็คอยอย่างใจเย็นพร้อมกับคนอื่นที่ทยอยกันมานั่งบ้างยืนบ้าง มากขึ้นทุกที

ตามปกติผมจะหาเรื่องออกจากบ้านเกือบทุกวัน ตั้งแต่เลิกรับราชการ แรก ๆ ก็ขึ้นรถเมล์รถไฟไปเที่ยวเมืองที่อยู่ใกล้ ๆ กรุงเทพ ต่อมาก็ลดลงเพียงแค่สุดสายรถเมล์เรือเมล์ ที่แล่น ออกไปแถวชานเมือง ครั้นอายุมากขึ้นเรี่ยวแรงลดถอยลง ขึ้นลงรถเมล์ไม่ค่อยทันใจคนขับ ลงเรือก็กลัวจะโดดพลาดจากเรือหรือท่าลงไปในน้ำ เลยไม่ค่อยได้ไปไกลจากหมู่บ้าน นอกจากมีธุระที่ จำเป็น เพราะรอบหมู่บ้านของผมมีทั้ง ตลาดสด โรงพยาบาล วัด และร้านค้าแบบบริการยี่สิบสี่ชั่วโมง รวมทั้งตู้เงินด่วน และสาขาย่อยของธนาคารหลายโรง ซึ่งเดินไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น หมอท่านแนะนำว่าให้ออกกำลังด้วยการเดิน อย่างน้อยวันละสองกิโลเมตร หรือไม่น้อยกว่าสามสิบนาที ผมก็เลยใช้วิธีเดินไปใช้บริการเหล่านั้น ทั้งไปทั้งกลับ

เมื่อก่อนวานซืนนี้ผมก็ไปถอนเงินที่สาขาของธนาคารของทหาร ที่ผมบังเอิญเป็น ผู้ถือหุ้นอยู่ด้วย ปรากฎว่าแผ่นลงรายการในสมุดเต็ม จะต้องไปเปลี่ยนที่สาขาเจ้าของสมุด ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ อยู่ที่ถนนพหลโยธิน ใกล้แยกลาดพร้าว เมื่อวานนี้จึงขึ้นรถเมล์ไปที่สาขานั้น แต่บังเอิญเป็นวันสิ้นเดือน มีผู้มาเบิกเงินเดือนมากมาย ผมได้บัตรคิวลำดับที่สี่ร้อยกว่า ขณะที่กำลังเรียกลำดับที่สองร้อยกว่าเท่านั้น พอดีเป็นเวลาอาหารกลางวัน จึงออกไปหาก๋วยเตี๋ยวกินให้อิ่มท้องเสียก่อน จะได้ไม่เป็นลมเป็นแล้งให้ผู้อื่นเดือดร้อน แม้กระนั้นเมื่อกลับมา ก็ยังเรียกแค่สามร้อยกว่า พอจะเขียนเบิกเงินให้เจ้าหน้าที่ช่วยเปลี่ยนสมุดใหม่ ก็พบว่าสมุดเล่มนั้นเป็นสมุดฝากของสาขาพหลโยธิน ซึ่งอยู่ใกล้มาทางสนามเป้า และสมุดยังไม่เต็ม ต้องกลับบ้านเสียเวลาไปเปล่า ๆ หนึ่งวัน เพราะความไม่รอบคอบ

ผมเคยมีเรื่องหยิบของผิด หรือหาของไม่เจอเป็นประจำ แล้วก็ฝึกทำใจไม่ให้หงุดหงิด พอวันหลังไปหาของสิ่งอื่น ก็มักจะเจอเจ้าสิ่งนั้นจนได้ เวลาออกจากบ้านไปไหน บางทีต้องกลับไปกลับมาถึงสองสามครั้ง เพราะลืมสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่เสมอ ถึงกับต้องจดรายการว่าจะไปที่ไหนก่อนหลัง เพื่อจะได้ไปตามลำดับไม่ต้องย้อนไปย้อนมา แต่บางทีก็หากระดาษที่จดบันทึกไม่เจอเหมือนกัน

ผมนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย อยู่นานจนกระทั่ง มีรถโดยสารขนาดเล็กร่วมบริการ แล่นฉวัดเฉวียนเข้ามาจอดป้าย ผู้คนที่รออยู่เป็นจำนวนมากก็กรูกันเข้าไป พยายามเบียดเสียดขึ้น บันไดรถ แต่ก็ไปได้ไม่กี่คน เพราะคนบนรถก็แน่นอยู่แล้ว สำหรับผมไม่สนใจเพราะแย่งกับเขาไม่ไหว และไม่ชอบขึ้นรถเมล์เล็กที่มีความรู้สึกเหมือนว่า รถคันนั้นเป็นรถส่วนตัวของเขา ผู้โดยสารเป็นเพียงผู้ขออาศัยเขาไปด้วยเท่านั้น

พอรถเล็กออกจากป้าย ก็มีรถขนาดใหญ่สีครีมแดง แล่นเข้ามาจอด แม้จะมีคนโดยสารยืนเต็ม แต่ก็ยังพอยัดเยียดขึ้นไปได้อีกจนหมด เมื่อรถเคลื่อนตัวผมก็ก้าวแทรกไปทางด้านหน้ามือขวาจับราว มือซ้ายหิ้วถุงผ้าสีน้ำตาลบรรจุสัมภาระกระจุกกระจิกจนโป่ง พอดีรถเลี้ยวขวาค่อนข้างเร็วตัวผมจึงโยกไปทางซ้าย มือขวาหลุดจากราว แต่ดีที่คนแน่นจึงไม่ล้มลงไปกับพื้น ทันใดนั้นก็มีคนยื่นมือมาฉุดแขนผมไว้ ผู้นั้นเป็นหญิงสาวในชุดทำงานเรียบร้อย และน่ารักด้วย เธอลุกขึ้นจากที่นั่งข้างหน้าต่างขวาซึ่งเป็นเก้าอี้เดี่ยว แล้วดึงให้ผมนั่งลงแทน ก่อนที่จะมีใครอีกมากมายเข้ามานั่งเสียก่อน ผมยิ้มและกล่าวขอบคุณเธอด้วยความสำนึกจากใจจริง แต่เธอก็ไม่ได้ลงป้ายถัดไปอย่างที่ผมคิด เธอเจตนาสละที่นั่งให้ผมด้วยความเมตตานั่นเอง พอดีเหลือบไปเห็นตัวหนังสือตรงที่นั่งนั้นเขียนไว้ว่า ที่นั่งสำรองสำหรับคนชราและคนพิการ ผมจึงพอจะเข้าใจ

กระเป๋าหญิง หรือที่เรียกกันติดปากว่ากระปี๋ เดินแทรกเข้ามาเก็บค่าโดยสาร ผมจึงล้วงกระเป๋ากางเกงกำเงินเหรียญออกมานับ ปรากฎว่าเป็นเหรียญห้าสิบสตางค์และเหรียญสลึงทั้งนั้น ซึ่งก็ได้รับทอนมาจากรถประจำทางนั่นเอง ผมจึงนับรวมให้ได้ตามราคา แล้วก็เงยหน้าขึ้นจะยื่นสตางค์ให้ แต่กระปี๋คนนั้นคงจะขี้เกียจยืนรอ จึงเดินไปเก็บเงินคนอื่นเสียแล้ว ผมต้องคอยอยู่จนเธอเดินกลับมา เมื่อผู้โดยสารค่อยว่าง เพราะลงไปแล้วสองสามป้าย แต่เธอมองดูมือผมแล้วก็ผ่านเลยไป ไม่ทราบว่าเธอสงสารว่าผมจะหมดตัว หรือรำคาญที่จะรับเอาเศษเหรียญ ซึ่งพยายามยัดเยียดทอนให้ผู้โดยสารอื่นไปแล้ว กลับมาใส่กระบอกไว้อีกก็ไม่ทราบ ถ้าเหรียญที่น่าสงสารเหล่านี้ ใช้เป็นค่าโดยสารรถเมล์ก็ไม่ได้แล้ว ผมจะเอาไปใช้ที่ใดได้อีก เพราะแม้แต่ซื้อลูกอม ก็ยังไม่ได้เลย

ผมจึงเอาเหรียญเหล่านั้นใส่ลงในกระเป๋าเสื้อ แล้วมือของผมก็กระทบกับธนบัตร ที่เตรียมไว้สำหรับให้ค่าโดยสาร เมื่อก่อนที่จะขึ้นรถ แต่กลับลืมเสียได้ ทำให้ทุ่นเงินค่ารถไป โดยไม่เจตนา

ผมลงจากรถโดยสารเมื่อถึงโรงพยาบาล ห้องสำหรับเจาะเลือดอยู่บนชั้นสอง ถ้าเดินจากตึกเก่า แต่เป็นชั้นหนึ่งของตึกใหม่ เขามีบริการรับบัตรคิวด้วยเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เช่นเดียวกับกิจการที่เจริญแล้วทุกแห่ง แต่วันนี้ปิดป้ายบอกว่าเครื่องเสีย จึงต้องรับบัตรกระดาษแข็งเขียนหมายเลขอย่างเดิม คำว่าคิวนี้เป็นภาษาต่างประเทศ ซึ่งกลายมาเป็นคำไทยแล้วอย่างสมบูรณ์ เพราะไม่รู้ว่าจะแปลอย่างไรให้กระทัดรัดเท่านี้ เหมือนคำว่าเคอร์ฟิวเช่นกัน ถ้าพูดเป็นภาษาไทยกว่าจะเข้าใจความก็จะเสียเวลาไปไม่น้อยทีเดียว

ผมได้หมายเลขที่ห่างกว่าเลขที่เขากำลังเรียก ประมาณห้าสิบคน จึงหาที่นั่งรอแล้วก็งัดเอาหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คส์ สำหรับคนมีระดับปานกลาง ไม่สูงไม่ต่ำอย่างผม มาอ่านฆ่าเวลา กว่าครึ่งชั่วโมงจึงถึงคิวของผม เมื่อส่งใบนัดให้เจ้าหน้าที่เขาก็บอกว่า นัดวันจันทร์หน้า ทำไมมาวันจันทร์นี้ ผมก็ขอโทษที่จำวันผิด แต่ไหน ๆ ก็อดข้าวมาแล้ว ขอเจาะเสียวันนี้เลย เจ้าหน้าที่ก็อนุโลมให้ คงจะเห็นแก่ความอาวุโสทั้งอายุและยศก็ได้

ผมก็ขอบคุณแล้วก็รอการดำเนินกรรมวิธีเจาะเลือด ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็เรียกผู้รับบริการด้วยเครื่องอิเล็กทรอนิกส์เช่นกัน เป็นเสียงของสตรีเรียกหมายเลขที่เราได้คิวมาให้เข้าไปนั่งที่โต๊ะหมายเลขเท่าไร ตามลำดับ แต่เมื่อวันนี้เครื่องจ่ายบัตรคิวเสีย จึงไม่มีการเรียกทางเครื่องขยายเสียง ผู้ป่วยจึงต้องจ้องหาโอกาสเอาเอง ใครอยู่ใกล้โต๊ะไหนก็คอยระวัง พอคนที่นั่งอยู่ก่อนลุกขึ้น ก็รีบเข้าไปนั่งให้เร็วกว่าคนอื่น

ผมรออยู่ไม่นานก็มีที่ว่าง พอที่จะไม่ต้องไปแย่งกับใคร เดี๋ยวนี้การดูดเลือดใส่หลอดก็เป็นวิธีใหม่ คือเขาเอาเข็มแทงเข้าไปให้ตรงเส้นเลือดที่ข้อพับ แขนใดแขนหนึ่งในจำนวนสองแขนของเราแล้ว ก็ถอดเอากระบอกออกปล่อยเข็มให้คาไว้ แล้วก็เอากระบอกใหม่ใส่เข้าไปแทน เลือดก็ไหลผ่านเข็มเข้าไปในกระบอกนั้นเอง โดยไม่ต้องมีลูกสูบ เมื่อเต็มกระบอกแล้วถ้าไม่พอก็ถอดกระบอกเก่าออก เอากระบอกใหม่ใส่เข้าไปแทน ผมไม่กล้ามองเข็มจึงไม่รู้ว่าเลือดมันไหลเข้ากระบอกได้อย่างไร เขาดูดเอาเลือดของผม ใส่หลอดยาวขนาดนิ้วชี้ ไปตั้งสี่หลอด เสร็จแล้วจึงได้ไปกินข้าวเช้ากับต้มเลือดหมู ทดแทนเลือดที่ถูกดูดออกไป อาการตาลายจึงค่อยทุเลาลง

ผมเอาหลักฐานการคิดเงินค่าเจาะเลือด มาให้เจ้าหน้าที่เขียนใบเบิก เพื่อจะได้ไม่ต้องไปเบิกเองที่กระทรวง นั่งรออยู่เพียงครู่เดียว เจ้าหน้าที่ก็เรียกไปเซ็นชื่อในใบเบิกสองชื่อ แล้วก็ถามว่าเป็นโรคอะไร ผมต้องเสียเวลาคิดว่า โรคประจำตัวของผมก็คือกระเพาะอาหารไม่ปกติ ท้องผูกบ้างท้องเสียบ้าง สลับกันไป และกระดูกคอข้อที่สี่หรือห้า กดทับเส้นประสาท ทำให้ปวดเมื่อยหัวไหล่และต้นคอเป็นประจำ กับนิ้วเท้าข้างขวาชาไปสี่นิ้ว แต่ที่หมอสั่งเจาะเลือดครั้งนี้ ก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับโรคทั้งสาม คงจะเป็นการตรวจสุขภาพทั่วไปเมื่อครบรอบปีมากกว่า ผมมัวแต่คิดอยู่ เจ้าหน้าที่คงจะขี้เกียจรอ จึงตัดบทว่าไม่เป็นไรเธอจะเขียนให้เอง

เมื่อเสร็จเรื่องแล้ว ผมก็ออกมานั่งรอรถเมล์ที่ศาลาพักผู้โดยสาร ที่หน้าโรงพยาบาล และนั่งอยู่ตั้งนานก็นึกไม่ออกว่า จะขึ้นรถเมล์สายไหนดี เพราะหากระดาษที่จดไม่พบ ว่าต่อจากนี้จะไปทำอะไรที่ไหน ก่อนที่จะกลับบ้าน

ผมนึกได้ราง ๆ ว่า หมอเคยบอกว่าคนที่มีความจำสั้น ซึ่งเป็นอาการของคนสูงอายุ แบบที่ผมเป็นอยู่นี้ เขาเรียกชื่อคล้ายนักมวย หรือชื่อห้างสรรพสินค้า อะไรทำนองนั้น

แต่ที่จำได้แม่น และเข้าใจง่ายที่สุด ก็คือโรคที่เจ้าหน้าที่หญิงเขียนให้ผมในใบเบิกค่ารักษาพยาบาล เมื่อกี้นี้ เธอเขียนว่า โรคสมองเสื่อม.

###########

วารสารข่าวทหารอากาศ
ตุลาคม ๒๕๔๗
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่