หนูเป็นลูกสาวคนกลาง มีพี่สาว1คน และน้องชาย1คน ตอนนี้หนูพึ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย ครอบครัวหนูมีฐานะปานกลางค่ะ ในความทรงจำหนู หนูรู้สึกว่าพ่อแม่รักหนูน้อยที่สุด ตั้งแต่จำความได้หนูมักถูกล้อว่าแม่เก็บหนูมาเลี้ยง ถูกล้อแบบนั้นจากคนในครอบครัวของตัวเอง พ่อกับแม่มักจะดูเกรงใจพี่สาวหนูมาก พี่สาวหนูไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรพ่อแม่ไม่เคยขัด และน้องชายหนูมักจะถูกตามใจมากที่สุด หนูเริ่มโตๆจากคำล้อว่าลูกที่เก็บมาเลี้ยง จนหนูเคยเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง ของเล่นและเสื้อผ้าของหนูมักเป็นของที่ส่งต่อมาจากพี่สาว แต่ของน้องชายจะเป็นของใหม่หมด ตอน10ขวบ หนูจำได้เเม่นว่า ไปเดินตลาดกับแม่ หนูเห็นของเล่นตุ๊กตาตัวเล็กๆ ราคาไม่ถึงร้อยบาท หนูขอให้แม่ซื้อให้ แต่แม่กลับพูดว่า'จะซื้อไปทำไม' คำนั้นดังก้องในหูและยังจำได้ดีจนวันนี้ แต่เมื่อถึงวัย10ขวบของน้องชาย เขากลับได้มีของเล่นในราคาหลายๆพัน ได้หลายๆชิ้น นั่นเป็นความค้างคาใจในช่วงที่สองของความทรงจำ โตขึ้นมาอีกหน่อยในวัยมัธยม พ่อแม่จะเปิดบัญชีธนาคารให้เพื่อจะโอนเงินให้เป็นรายเดือน และให้เราเริ่มบริหารเงินเอง หนูพยายามบริหารเงินใน1เดือนอย่างสุดความสามารถ ไม่เคยขอเงินเพิ่มเลยหากไม่มีค่าใช้จ่ายอื่นๆเพิ่มขึ้นมา แม่จะคอยพูดกับหนูเสมอว่า 'อย่าใช้เงินเปลือง ถ้าเงินหมดก่อนสิ้นเดือน แม่จะไม่ให้เพิ่ม จะปล่อยให้อด' แต่น้องชายหนูจะสามารถขอเงินเพิ่มได้ตลอดๆเป็นแบบนั้นเสมอ นั่นทำให้หนูเริ่มคิดอะไรมากมายเพิ่มขึ้น หนูไม่ค่อยได้ไปเที่ยวที่ไหนอย่างใครๆ เพราะเมื่อขอพ่อแม่ไปเที่ยว คำตอบเกือบทั้งหมดคือ'ไม่' ทำให้หนูแอบไปโดยไม่บอกบ่อยครั้ง ต่างกับพี่สาวและน้องชาย เมื่อขอจะได้ไปทุกครั้ง ชีวิตมหาลัย หนูกลายเป็นเด็กที่ประหยัดมากขึ้น เวลาจะซื้อของอะไรหนูมักเก็บเงินและซื้อเอง แทบไม่ขอพ่อแม่เพิ่มเลย หนูมีของทุกอย่างที่จำเป็นต้องมี ไม่ต้องยืม หรือหยิบจับของใคร พร้อมๆกันนั้นหนูเริ่มโมโห เมื่อเพื่อนใช้ ขอ หรือยืมของๆหนู หนูหวงของทุกๆชิ้น หนูกลายเป็นคนไม่ยอมใคร หนูไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบ พูดจาตรงมากๆ และทำอะไรด้วยตัวเองทุกอย่าง ไม่พึ่งพาใครเลย แทบจะเรียนคนเดียว พ่อมักจะถามเสมอว่า ตอนนี้เรียนได้ลำดับเท่าไหร่ เกรดแค่นี้จะได้เกียรตินิยมมั้ย หรือที่จบมาในรุ่นทั้งหมดได้เกียรตินิยมกี่คน หนูจบมหาลัยด้วยเกียรตินิยมอันดับ1 เหรียญเงิน แต่ก็ไม่เคยมีคำชมหรือรางวัลใดๆ หนูจะมีเงินเก็บของหนู ที่พ่อจะถามตลอดว่ามีเงินเก็บเท่าไหร่ และมักจะบอกให้หนูซื้อนั่นนี่ให้น้องชาย ซึ่งหนูจะถามตัวเองเสมอว่า'ทำไมหนูต้องให้' ตอนปี3มือถือหนูพัง หนูต้องซื้อใหม่ พ่อบอกพ่อให้แค่3,000น่ะ ซึ่งนั่นไม่พอ ทำให้หนูต้องไปทำงานเสิร์ฟอาหาร ที่ร้านอาหารใกล้ๆมหาลัยเพื่อหาเงินในส่วนที่ขาด แต่เมื่อน้องชายหนูเข้ามหาลัย พ่อแม่ให้เงินใช้เกือบ2เท่าจากที่เคยให้หนู ทั้งๆที่มหาลัยหนูตั้งในที่ๆค่าครองชีพสูงกว่าและในตอนเกือบสิ้นเดือนน้องชายจะมีการขอเพิ่มทุกเดือน พ่อแม่ก็ให้แบบไม่เคยบ่น ยอมซื้อมือถือราคากว่า20,000บาทให้น้องชายด้วยเงินผ่อนตามความต้องการของน้อง นั่นยิ่งทำให้หนูมั่นใจในความรู้สึกที่รู้สึกมาตลอด หลังจากผ่านเรื่องราวๆต่างๆมากขึ้นเรื่อยๆ หนูยิ่งมั่นใจมากขึ้น หนูเริ่มมองครอบครัวด้วยสายตาเฉยชา หนูเริ่มอยากอยู่ที่อื่นมากกว่าอยู่บ้าน ไม่อยากคุยเรื่องส่วนตัวกับพ่อแม่เลย แต่ละวันที่อยู่บ้านหนูมักใช้เวลาในการเล่นกับสัตว์เลี้ยงนานกว่าคุยกับพ่อแม่ ขังตัวเองอยุ่ในห้องคนเดียวนานๆ แม่จะบ่นที่หนุสั่งของออนไลน์บ่อย แน่นอนเพราะแม่ไม่ค่อยให้อะไร ของที่หนูสั่งซื้อถึงดูมากมายนัก ของขวัญวันเกิดชิ้นสุดท้ายที่จำได้คือตุ๊กตาตัวหนึ่งตอนอายุ11 และไม่เคยมีของขวัญหรือรางวัลใดๆเลยจนทุกวันนี้. แต่ด้วยนิสัยของหนุ ที่ไม่เคยพูดความรู้สึกออกไป และไม่เคยร้องขอใดๆ เค้าจึงคิดว่าหนุไม่ต้องการ หนูมองว่าการร้องขอมันดูน่าสมเพส เวลาไปพบปะผู้คนข้างนอก บางครั้งแม่จะแสดงความรักต่อหนูให้คนอื่นๆเห็น แต่หนูกลับรู้สึกผะอืดผะอม เพราะเมื่ออยู่บ้าน แม่ไม่เคยแสดงความรักกับหนูเลย หนูไม่ค่อยจะดูดีในสายตาแม่ ไม่ว่าจะทำอะไรหนูกับแม่จะขัดกับบ่อยครั้ง หนูมีแฟนที่คบกันมาหลายปี พ่อแม่หนูไม่ค่อยชอบพี่เค้าเท่าไหร่ คอยพูดจาถากถางเป็นประจำ พี่เค้าเป็นคนขยันมากๆ พยายามรีบสร้างตัวขยายฟาร์มเพื่อให้พ่อแม่หนูยอมรับ ให้พ้นจากคำดูถูก พ่อแม่มองว่าอาชีพเกษตรกรของพี่เค้ามันต่ำต้อยมาก แต่ความจริงมันไม่ใช่ มันสร้างรายได้ให้ได้เยอะมาก พี่เค้าเป็นคนเดียวที่อยุ่ข้างๆคอยให้กำลังใจเวลาเหนื่อยหรืออ่อนแอ เหมือนเค้าคือคนเดียวในโลกที่มองเห็นหนุ คอยบอกให้หนุใจเย็นๆ บอกไม่ให้คิดมาก พ่อแม่ต้องการได้คนเป็นข้าราชการ หนูพูดกับตัวเองมาตลอดว่าถ้าต่อไปมีลูก จะไม่มีสามคน หนูสงสารลูกหากจะต้องมีเด็กมารู้สึกแบบเดียวกัน
เมื่อก่อนหนูเคยมีความสุขเมื่อได้อยู่บ้าน มีความสุขกับครอบครัวมากกว่านี้ แต่วันนี้มันไม่เหมือนเดิม หนูอยากมีความสุขแบบเก่า แต่ก็หาวิธีกำจัดเรื่องราวบ้าๆในหัวไม่ได้ เรื่องราวที่ฝังใจมาตั้งแต่เล็ก เคยได้ลองปรึกษาจิตแพทย์มาบ้าง แต่ก็ไม่เคยมีใครทำให้รู้สึกดีขึ้นได้. ตอนนี้หัวใจเราด้านชามาก มันก้าวผ่านความรู้สึกน้อยใจ เจ็บปวดและสับสนมาแล้ว เหลือเพียงความว่างเปล่าและชาชินต่อความลำเอียงในครอบครัว หนูรู้ว่าหนูดูเลวมากที่คิดแบบนี้ ดูอกตัญญูมาก หนูขอโทษค่ะ
หนูจะทำยังไงดีค่ะ?
เพราะเป็นลูกคนกลางจึงเจ็บปวด
เมื่อก่อนหนูเคยมีความสุขเมื่อได้อยู่บ้าน มีความสุขกับครอบครัวมากกว่านี้ แต่วันนี้มันไม่เหมือนเดิม หนูอยากมีความสุขแบบเก่า แต่ก็หาวิธีกำจัดเรื่องราวบ้าๆในหัวไม่ได้ เรื่องราวที่ฝังใจมาตั้งแต่เล็ก เคยได้ลองปรึกษาจิตแพทย์มาบ้าง แต่ก็ไม่เคยมีใครทำให้รู้สึกดีขึ้นได้. ตอนนี้หัวใจเราด้านชามาก มันก้าวผ่านความรู้สึกน้อยใจ เจ็บปวดและสับสนมาแล้ว เหลือเพียงความว่างเปล่าและชาชินต่อความลำเอียงในครอบครัว หนูรู้ว่าหนูดูเลวมากที่คิดแบบนี้ ดูอกตัญญูมาก หนูขอโทษค่ะ
หนูจะทำยังไงดีค่ะ?