สวัสดีค้าบ เนื่องจาก จขกท ได้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่จีน หลังจากสอบเสร็จเลยมีโอกาสได้ออกเที่ยวตามเมืองหลักต่างๆจากใต้จรดเหนือคนเดียว และเมืองที่พลาดไม่ได้อย่างแน่นอนเลยก็คือ ปักกิ่ง นั่นเอง หลายคนคงคิดว่าทางตอนบนของจีนอากาศจะไม่ร้อน แต่ที่จริงแล้วเค้าก็มีหน้าร้อนที่ร้อนไม่แพ้เมืองไทยซึ่งก็คือช่วงเดือน มิ.ย. - ส.ค. แล้วช่วงที่น่าจะร้อนที่สุดก็คือเดือน ส.ค. วันนี้เลยจะมารีวิวการเที่ยวปักกิ่งด้วยตัวเองช่วงหน้าร้อนสุดพีคในเดือน ส.ค. ว่าบรรยากาศในแต่ละสถานที่แลนด์มาร์คสำคัญจะเป็นยังไงเพื่อให้ทุกคนได้เอาไว้เป็นข้อมูลกันคับ เริ่ม!
แลนด์มาร์คที่เราจะเที่ยวในปักกิ่งในรอบนี้ มีดังต่อไปนี้
1. จตุรัสเทียนอันเหมิน Tian'anmen Square 天安门
2. พระราชวังต้องห้ามกู้กง The Forbidden City 故宫博物院
3. สวนสาธารณะจิ่งชาน Jingshan Park 景山公园
4. ย่านช็อปปิ้งหวางฝูจิ่ง Wangfujing Street 王府井大街
5. ย่านช็อปปิ้งซันหลี่ถุน Sanlitun 三里屯
6. กำแพงเมืองจีนปาต๋าหลิ่ง Badaling Great Wall 八达岭长城
7. หอบูชาฟ้าเทียนถาน The Temple of Heaven 天坛
8. สนามกีฬาโอลิมปิกรังนก Bird's Nest Olympic Stadium 鸟巢
การเดินทางในปักกิ่งถือว่าสะดวกสบายมาก มีรถไฟจากสนามบินเข้าเมือง รถไฟใต้ดินครอบคลุม รถบัสออกไปชานเมืองก็ดีงาม เนื่องจากคนเยอะค่าโดยสารถือว่าถูกพอสมควรเมื่อเทียบกับรถไฟฟ้าในกรุงเทพของเรา มีป้ายภาษาอังกฤษกำกับ คนไม่ได้ภาษาจีนก็เที่ยวได้ แต่ถ้าได้ภาษาจีนก็จะยิ่งสะดวกสบายมากขึ้น ที่แรกที่เราจะลุยกันวันนี้คือ จตุรัสเทียนอันเหมิน
เดินออกมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน เดินตามป้ายมาเรื่อยๆ ก็จะออกมาเจอตรงหน้าลานนี้ วันนี้อากาศร้อนเฉียด 40 องศา ร้อนมาก แนะนำพกร่ม ดื่มน้ำเยอะๆ
ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม คนจีนก็ท่องเที่ยวกระจายไปทั่วประเทศ แต่ก็ไม่ได้มีคนเยอะเกินจนเป็นปัญหา
ภาพบนนี้เป็นบรรยากาศลานจตุรัสที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
บริเวณนี้คนจะยืนถ่ายรูปกันเยอะมาก หามุมดีๆถ่ายก็พอได้อยู่ จะเซลฟี่ก็ได้ หรือจะวานให้พี่จีนช่วยถ่ายก็ได้ เค้าก็ใจดียินดีช่วย แต่ก็ระวังข้าวของด้วย บริเวณหน้าประตูทางเข้าก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจความปลอดภัยเยอะพอสมควร และเราห้ามมายืนถ่ายรูปขวางตรงทางเข้า ซึ่งบางคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็จะโดนเจ้าหน้าที่ตะโกนบอก พอเดินลอดประตูเข้ามาแล้วก็จะเป็นแบบนี้คับ
ก่อนเดินเข้าไปลึกกว่านี้ ควรเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย ข้างในคนยิ่งเยอะ
ตรงนี้ก็เป็นจุดตรวจตั๋ว ทางเข้าไปพระราชวังต้องห้ามกู้กง แต่วันนั้น จขกท ดันไปช่วงบ่ายๆ เค้าบอกว่าตั๋วขายหมดแล้ว ค่อยมาใหม่พรุ่งนี้ เอ้า! อย่างงี้ก็มีด้วยทั้งๆที่เพิ่งบ่าย 2 ดังนั้นขอแนะนำให้ไปเที่ยวช่วงเช้าเลย จะได้ไม่เสียเที่ยวสำหรับคนที่มาเที่ยวไม่นาน
หลังจากที่เราเดินชมจตุรัสเทียนอันเหมินและถ่ายรูปอย่างเต็มที่ในวันแรกแล้ว วันนี้เราต้องมาตบตีแย่งซื้อตั๋วเข้าชมพระราชวังต้องห้ามกู้กงให้ได้ เรามาถึงจุดขายตั๋วและซื้อมาครอบครองจนได้ในราคานักศึกษา (ใช้บัตร นศ. ที่มหาลัยจีนออกให้ลดไปครึ่งนึง แซบนัวฟิน) เข้าไปข้างในกันเลยยย!!!
นักท่องเที่ยวส่วนมากที่เห็นก็เป็นคนจีนเอง คึกคักพอสมควร
ความรู้สึกที่ได้มาเดินในพระราชวังนี้ก็ประมาณว่า เป็นสถานที่ที่เราเห็นบ่อยในหนังจีน รู้สึกดีใจที่ได้มาเหยียบในสถานที่แห่งประวัติศาสตร์จีน มีรอยเท้าจักรพรรดิและทหารนับไม่ถ้วน พร้อมชมสถาปัตยกรรมเก่าแก่ ในอดีตตรงนี้มีคนสำคัญคนไหนเคยนั่ง เคยประชุม สั่งงานบริหารแผ่นดินจีน ประมาณนี้
พระราชวังกว้างขวางมาก สามารถหามุมถ่ายรูปสงบๆสวยๆได้แน่นอน เดินเที่ยวตามทางมาเรื่อยๆก็จะมาโผล่ทางออกประตูหลัง ซึ่งติดกับสถานที่เที่ยวอันต่อไปของเราซึ่งก็คือ สวนสาธารณะจิ่งชาน ที่จะเป็นจุดชมวิวพระราชวังต้องห้ามกู้กงจากมุมสูง ที่ทำให้เห็นพระราชวังทั้งหมด
พอออกจากประตูหลังของพระราชวังต้องห้ามมา ก็เดินลอดทางใต้ดินมาโผล่ที่ถนนฝั่งตรงข้าม ใช้บัตร นศ. ซื้อตั๋วและลดราคาเช่นเคย (ยิ้มแฉ่ง) จากนั้นก็ซื้อน้ำเปล่าดื่มเติมพลังกันซักหน่อย พักขา แล้วเดินขึ้นเขาทางชันมาก ฮึบ!!! จขกท ใช้เวลาเดินประมาณ 30 นาที แล้วเราก็มาถึงจุดสุดยอด เอ้ย! ปลายยอดเขา สิ่งที่เห็นก็เป็นดังต่อไปนี้
วิวสวยงาม ลมพัดเย็นสบาย เพราะเราขึ้นมาช่วงบ่ายแก่ๆ แอบหิวเล็กน้อยถึงปานกลางเลยล้วงแอปเปิ้ลในกระเป๋าออกมานั่งกินอย่างสบายใจ พร้อมชมวิวไปเรื่อยๆเป็นชั่วโมง ช่วงนี้อาจจะมีหมอกควันมลพิษ แต่ก็ถือว่ายังมองเห็นวิวสวยงามระดับหนึ่งอยู่ ปล.ตอนขาลงจากเขา แอบมีอาการเข่าอ่อนเป็นพักๆ ใครไม่อยากล้มหน้าแหก กรุณาจับราวบันได
ต่อมาเราจะมาพูดถึงแหล่งช็อปปิ้งสุดฮิต ถือว่าเป็นแหล่งใหญ่ใจกลางเมืองเลยล่ะ ซึ่งก็คือ หวางฝูจิ่ง แนะนำให้มาช่วงบ่ายแก่ๆหรือไม่ก็ 5-6 โมงเย็น เพราะช่วงสิงหาอากาศร้อน ย่านนี้มีห้างเยอะแยะเรียงรายตลอดทาง มีแบรนด์ธรรมดายันหรู มีแหล่งซื้อของฝาก ถนนของกิน คนคึกคักยันดึก
จากที่เห็นในรูปทางเดินเท้าเค้าจะกว้างใหญ่ไพรศาลมาก เดินง่าย เดินสะดวก มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกระจายตามพื้นที่ ทำให้เราเดินง่ายสบายใจหายห่วง (แบรนด์เสื้อผ้าสุดโปรดของ จขกท ขอแอบแนะนำ Semir 森马)
อีกแหล่งช็อปปิ้งแนวโมเดิร์น แนววัยรุ่นมีฐานะหน่อยก็จะเป็นย่านซันหลี่ถุน แต่ก่อนจะถึงขอแบ่งปันภาพบรรยากาศท้องถนนระหว่างทางที่เดินไปซันหลี่ถุน
จะเห็นว่าบ้านเมืองเค้าเจริญมาก มีรถบัสไฟฟ้า ถนนสะอาดสะอ้าน และรถก็ไม่ได้เยอะมากอย่างที่คิด พอเดินมาย่านซันหลี่ถุนตึกแถวนั้นจะมีการออกแบบที่ดูสมัยใหม่กว่า มีสีสันสะดุดตา พูดอาจจะไม่เห็นภาพ จะเป็นยังไงไปดูกันเลยคับ
แบรนด์ที่นี่ก็จะมีอันที่กลางๆไปถึงแพง ถ้าพูดเรื่องจะซื้อของฝาก ของที่ระลึก แนะนำย่านหวางฝูจิ่งกับซีตาน Xidan 西单 มากกว่า ส่วนย่านนี้ก็มาให้พอรู้ว่าเด็กวัยรุ่นมีฐานะหน่อยของปักกิ่ง เค้าช็อปปิ้ง เจอเพื่อน นัดกินข้าวกันในสถานที่อะไรยังไงแค่นั้น
ไปต่อเลยคับ คราวนี้เป็นการนั่งรถบัสออกไปชานเมือง ไปกำแพงเมืองจีนปาต๋าหลิ่งนั่นเอง อันนี้ต้องวางแผนให้ดีพอสมควร เอาจริงๆสามารถเดินทางได้หลายแบบ เช่น รถไฟ รถบัส แต่รถไฟจะเต็มเร็วมาก ถ้าใครอยากนั่งรถไฟไปควรจองตั๋วล่วงหน้านานหน่อย แต่ จขกท เดินทางโดยรถบัสสาย 877 โดยไปซื้อตั๋วและขึ้นรถได้ที่บริเวณ ป้อมระวังศรัตรูเต๋อเชิ่งเหมิน Deshengmen Watchtower 德胜门箭楼 ขาไปใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงนิดๆ ช่วงที่เราไปก็แอบมีรถติดตรงขึ้นเขาบ้าง อย่างที่รู้กันคือวันนี้เราจะไปเที่ยวกลางเขา ดังนั้นหมอกคันจะไม่มีเหมือนในตัวเมือง แดดจะแรงมาก ฟ้าจะโปร่งมาก เตรียมตัวด้วย
พอถึงก็เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ เข้าคิวซื้อบัตรขึ้นกระเช้า แบบไปกลับไม่เกิน 100 หยวน ได้บัตรมาแล้วก็เดินตามป้ายเพื่อไปขึ้นกระเช้า และแล้วสิ่งที่เคยเห็นแต่ในหนังสือ ในเน็ต ก็กำลังจะได้ไปเห็นของจริงๆซักที และก็โชคดีมากได้นั่งกระเช้าคนเดียว เป็นส่วนตัวสุดๆ
ในกระเช้ามีแอร์เย็นสบาย แต่นั่งได้ไม่ทันจะหายเมื่อยก็ถึงกำแพงเมืองจีนซะแล้ว ดื่มน้ำ เตรียมร่ม เตรียมกล้อง เตรียมแว่นกันแดดแล้วลุยกันโลด!!!
สิ่งที่คิดไว้คือ เดินตามทางเรียบๆบนกำแพงสบายๆ ลมพัดเย็นๆ ดูวิวสวยๆไป แต่ความเป็นจริงคือ ทางชันมาก บางช่วงมีขั้นบันได แต่บางช่วงเป็นทางชันพื้นเรียบ โชคดีที่มีราวไว้ให้ดึงเอาร่างขึ้นไป ส่วนอากาศเป็นไงน่ะหรอ ขอโทษนะ ร้อนเ-ี้ยๆ แต่เราก็ต้องรู้จักปรับตัว สรุปมือนึงกางร่ม มือนึงจับราวบันได ถ้าจะถ่ายรูปต้องยืนให้มั่นคง วางร่ม เอาเท้าเหยียบร่มไว้ไม่ให้ลมพัดปลิว มือนึงถือกล้อง หน้ายิ้มละมุน พร้อมอีกมือนึงที่เกร็งจับราวบันได ชีวิต!
จขกท มีเคล็ดลับการถ่ายรูปให้ไม่ติดนักท่องเที่ยวคนอื่นคับ คือ กำแพงมันปิดประมาณ 4 โมงเย็น รถบัสเข้าเมืองเที่ยวสุดท้ายหมด 5 โมงเย็น เราก็ต้องรอให้ถึงซัก 4 โมงเย็น แล้วนักท่องเที่ยวก็จะทะยอยกลับเกือบหมดแล้ว เราก็ต้องเสี่ยงรีบเดินเที่ยวแล้วถ่ายรูปงามๆช่วงนี้ เราก็ใจกล้ามากตัดสินใจทิ้งตั๋วกระเช้าขากลับ เพราะมันปิด 4 โมง เรามาทั้งทีอยากได้ภาพที่ไม่ติดคน เอาวะเป็นไงเป็นกัน!!!
ได้รูปอย่างที่ต้องการสมใจ จากนั้นก็รีบวิ่งหน้าแหกมุดลงรูทางออกใต้กำแพง ทางชันมาก แอบมีอาการเข่าอ่อน จะนั่งพักก็ไม่ได้เดี๋ยวตกรถ หิวน้ำยังไม่มีเวลาจะแวะซื้อเลย ตรงดิ่งไปที่จุดขึ้นรถบัส ตอนนั้น 5 โมงเย็นแล้ว หัวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สุดท้ายทันรถรอบสุดท้ายพร้อมได้ภาพถ่ายบนกำแพงที่ถูกใจแถมกับอาการเสียวตกรถพอสมควร 55 ขากลับได้ยืน รถวิ่งตรงยิงขาวจอดที่ปลายทางครั้งเดียว แม่ ลูกหิวน้ำมากและยืนสับปะหงกเป็นระยะๆจนถึงป้อมระวังศรัตรูปลายทาง พอลงรถวิ่งหน้าแหกไปซื้อน้ำ สรุปเหนื่อย เสียว แต่คุ้ม กลับถึงที่พักนอนตาย
[CR] เที่ยวปักกิ่งช่วงเดือนสิงหา
แลนด์มาร์คที่เราจะเที่ยวในปักกิ่งในรอบนี้ มีดังต่อไปนี้
1. จตุรัสเทียนอันเหมิน Tian'anmen Square 天安门
2. พระราชวังต้องห้ามกู้กง The Forbidden City 故宫博物院
3. สวนสาธารณะจิ่งชาน Jingshan Park 景山公园
4. ย่านช็อปปิ้งหวางฝูจิ่ง Wangfujing Street 王府井大街
5. ย่านช็อปปิ้งซันหลี่ถุน Sanlitun 三里屯
6. กำแพงเมืองจีนปาต๋าหลิ่ง Badaling Great Wall 八达岭长城
7. หอบูชาฟ้าเทียนถาน The Temple of Heaven 天坛
8. สนามกีฬาโอลิมปิกรังนก Bird's Nest Olympic Stadium 鸟巢
การเดินทางในปักกิ่งถือว่าสะดวกสบายมาก มีรถไฟจากสนามบินเข้าเมือง รถไฟใต้ดินครอบคลุม รถบัสออกไปชานเมืองก็ดีงาม เนื่องจากคนเยอะค่าโดยสารถือว่าถูกพอสมควรเมื่อเทียบกับรถไฟฟ้าในกรุงเทพของเรา มีป้ายภาษาอังกฤษกำกับ คนไม่ได้ภาษาจีนก็เที่ยวได้ แต่ถ้าได้ภาษาจีนก็จะยิ่งสะดวกสบายมากขึ้น ที่แรกที่เราจะลุยกันวันนี้คือ จตุรัสเทียนอันเหมิน
เดินออกมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน เดินตามป้ายมาเรื่อยๆ ก็จะออกมาเจอตรงหน้าลานนี้ วันนี้อากาศร้อนเฉียด 40 องศา ร้อนมาก แนะนำพกร่ม ดื่มน้ำเยอะๆ
ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม คนจีนก็ท่องเที่ยวกระจายไปทั่วประเทศ แต่ก็ไม่ได้มีคนเยอะเกินจนเป็นปัญหา
ภาพบนนี้เป็นบรรยากาศลานจตุรัสที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
บริเวณนี้คนจะยืนถ่ายรูปกันเยอะมาก หามุมดีๆถ่ายก็พอได้อยู่ จะเซลฟี่ก็ได้ หรือจะวานให้พี่จีนช่วยถ่ายก็ได้ เค้าก็ใจดียินดีช่วย แต่ก็ระวังข้าวของด้วย บริเวณหน้าประตูทางเข้าก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจความปลอดภัยเยอะพอสมควร และเราห้ามมายืนถ่ายรูปขวางตรงทางเข้า ซึ่งบางคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็จะโดนเจ้าหน้าที่ตะโกนบอก พอเดินลอดประตูเข้ามาแล้วก็จะเป็นแบบนี้คับ
ก่อนเดินเข้าไปลึกกว่านี้ ควรเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย ข้างในคนยิ่งเยอะ
ตรงนี้ก็เป็นจุดตรวจตั๋ว ทางเข้าไปพระราชวังต้องห้ามกู้กง แต่วันนั้น จขกท ดันไปช่วงบ่ายๆ เค้าบอกว่าตั๋วขายหมดแล้ว ค่อยมาใหม่พรุ่งนี้ เอ้า! อย่างงี้ก็มีด้วยทั้งๆที่เพิ่งบ่าย 2 ดังนั้นขอแนะนำให้ไปเที่ยวช่วงเช้าเลย จะได้ไม่เสียเที่ยวสำหรับคนที่มาเที่ยวไม่นาน
หลังจากที่เราเดินชมจตุรัสเทียนอันเหมินและถ่ายรูปอย่างเต็มที่ในวันแรกแล้ว วันนี้เราต้องมาตบตีแย่งซื้อตั๋วเข้าชมพระราชวังต้องห้ามกู้กงให้ได้ เรามาถึงจุดขายตั๋วและซื้อมาครอบครองจนได้ในราคานักศึกษา (ใช้บัตร นศ. ที่มหาลัยจีนออกให้ลดไปครึ่งนึง แซบนัวฟิน) เข้าไปข้างในกันเลยยย!!!
นักท่องเที่ยวส่วนมากที่เห็นก็เป็นคนจีนเอง คึกคักพอสมควร
ความรู้สึกที่ได้มาเดินในพระราชวังนี้ก็ประมาณว่า เป็นสถานที่ที่เราเห็นบ่อยในหนังจีน รู้สึกดีใจที่ได้มาเหยียบในสถานที่แห่งประวัติศาสตร์จีน มีรอยเท้าจักรพรรดิและทหารนับไม่ถ้วน พร้อมชมสถาปัตยกรรมเก่าแก่ ในอดีตตรงนี้มีคนสำคัญคนไหนเคยนั่ง เคยประชุม สั่งงานบริหารแผ่นดินจีน ประมาณนี้
พระราชวังกว้างขวางมาก สามารถหามุมถ่ายรูปสงบๆสวยๆได้แน่นอน เดินเที่ยวตามทางมาเรื่อยๆก็จะมาโผล่ทางออกประตูหลัง ซึ่งติดกับสถานที่เที่ยวอันต่อไปของเราซึ่งก็คือ สวนสาธารณะจิ่งชาน ที่จะเป็นจุดชมวิวพระราชวังต้องห้ามกู้กงจากมุมสูง ที่ทำให้เห็นพระราชวังทั้งหมด
พอออกจากประตูหลังของพระราชวังต้องห้ามมา ก็เดินลอดทางใต้ดินมาโผล่ที่ถนนฝั่งตรงข้าม ใช้บัตร นศ. ซื้อตั๋วและลดราคาเช่นเคย (ยิ้มแฉ่ง) จากนั้นก็ซื้อน้ำเปล่าดื่มเติมพลังกันซักหน่อย พักขา แล้วเดินขึ้นเขาทางชันมาก ฮึบ!!! จขกท ใช้เวลาเดินประมาณ 30 นาที แล้วเราก็มาถึงจุดสุดยอด เอ้ย! ปลายยอดเขา สิ่งที่เห็นก็เป็นดังต่อไปนี้
วิวสวยงาม ลมพัดเย็นสบาย เพราะเราขึ้นมาช่วงบ่ายแก่ๆ แอบหิวเล็กน้อยถึงปานกลางเลยล้วงแอปเปิ้ลในกระเป๋าออกมานั่งกินอย่างสบายใจ พร้อมชมวิวไปเรื่อยๆเป็นชั่วโมง ช่วงนี้อาจจะมีหมอกควันมลพิษ แต่ก็ถือว่ายังมองเห็นวิวสวยงามระดับหนึ่งอยู่ ปล.ตอนขาลงจากเขา แอบมีอาการเข่าอ่อนเป็นพักๆ ใครไม่อยากล้มหน้าแหก กรุณาจับราวบันได
ต่อมาเราจะมาพูดถึงแหล่งช็อปปิ้งสุดฮิต ถือว่าเป็นแหล่งใหญ่ใจกลางเมืองเลยล่ะ ซึ่งก็คือ หวางฝูจิ่ง แนะนำให้มาช่วงบ่ายแก่ๆหรือไม่ก็ 5-6 โมงเย็น เพราะช่วงสิงหาอากาศร้อน ย่านนี้มีห้างเยอะแยะเรียงรายตลอดทาง มีแบรนด์ธรรมดายันหรู มีแหล่งซื้อของฝาก ถนนของกิน คนคึกคักยันดึก
จากที่เห็นในรูปทางเดินเท้าเค้าจะกว้างใหญ่ไพรศาลมาก เดินง่าย เดินสะดวก มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกระจายตามพื้นที่ ทำให้เราเดินง่ายสบายใจหายห่วง (แบรนด์เสื้อผ้าสุดโปรดของ จขกท ขอแอบแนะนำ Semir 森马)
อีกแหล่งช็อปปิ้งแนวโมเดิร์น แนววัยรุ่นมีฐานะหน่อยก็จะเป็นย่านซันหลี่ถุน แต่ก่อนจะถึงขอแบ่งปันภาพบรรยากาศท้องถนนระหว่างทางที่เดินไปซันหลี่ถุน
จะเห็นว่าบ้านเมืองเค้าเจริญมาก มีรถบัสไฟฟ้า ถนนสะอาดสะอ้าน และรถก็ไม่ได้เยอะมากอย่างที่คิด พอเดินมาย่านซันหลี่ถุนตึกแถวนั้นจะมีการออกแบบที่ดูสมัยใหม่กว่า มีสีสันสะดุดตา พูดอาจจะไม่เห็นภาพ จะเป็นยังไงไปดูกันเลยคับ
แบรนด์ที่นี่ก็จะมีอันที่กลางๆไปถึงแพง ถ้าพูดเรื่องจะซื้อของฝาก ของที่ระลึก แนะนำย่านหวางฝูจิ่งกับซีตาน Xidan 西单 มากกว่า ส่วนย่านนี้ก็มาให้พอรู้ว่าเด็กวัยรุ่นมีฐานะหน่อยของปักกิ่ง เค้าช็อปปิ้ง เจอเพื่อน นัดกินข้าวกันในสถานที่อะไรยังไงแค่นั้น
ไปต่อเลยคับ คราวนี้เป็นการนั่งรถบัสออกไปชานเมือง ไปกำแพงเมืองจีนปาต๋าหลิ่งนั่นเอง อันนี้ต้องวางแผนให้ดีพอสมควร เอาจริงๆสามารถเดินทางได้หลายแบบ เช่น รถไฟ รถบัส แต่รถไฟจะเต็มเร็วมาก ถ้าใครอยากนั่งรถไฟไปควรจองตั๋วล่วงหน้านานหน่อย แต่ จขกท เดินทางโดยรถบัสสาย 877 โดยไปซื้อตั๋วและขึ้นรถได้ที่บริเวณ ป้อมระวังศรัตรูเต๋อเชิ่งเหมิน Deshengmen Watchtower 德胜门箭楼 ขาไปใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงนิดๆ ช่วงที่เราไปก็แอบมีรถติดตรงขึ้นเขาบ้าง อย่างที่รู้กันคือวันนี้เราจะไปเที่ยวกลางเขา ดังนั้นหมอกคันจะไม่มีเหมือนในตัวเมือง แดดจะแรงมาก ฟ้าจะโปร่งมาก เตรียมตัวด้วย
พอถึงก็เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ เข้าคิวซื้อบัตรขึ้นกระเช้า แบบไปกลับไม่เกิน 100 หยวน ได้บัตรมาแล้วก็เดินตามป้ายเพื่อไปขึ้นกระเช้า และแล้วสิ่งที่เคยเห็นแต่ในหนังสือ ในเน็ต ก็กำลังจะได้ไปเห็นของจริงๆซักที และก็โชคดีมากได้นั่งกระเช้าคนเดียว เป็นส่วนตัวสุดๆ
ในกระเช้ามีแอร์เย็นสบาย แต่นั่งได้ไม่ทันจะหายเมื่อยก็ถึงกำแพงเมืองจีนซะแล้ว ดื่มน้ำ เตรียมร่ม เตรียมกล้อง เตรียมแว่นกันแดดแล้วลุยกันโลด!!!
สิ่งที่คิดไว้คือ เดินตามทางเรียบๆบนกำแพงสบายๆ ลมพัดเย็นๆ ดูวิวสวยๆไป แต่ความเป็นจริงคือ ทางชันมาก บางช่วงมีขั้นบันได แต่บางช่วงเป็นทางชันพื้นเรียบ โชคดีที่มีราวไว้ให้ดึงเอาร่างขึ้นไป ส่วนอากาศเป็นไงน่ะหรอ ขอโทษนะ ร้อนเ-ี้ยๆ แต่เราก็ต้องรู้จักปรับตัว สรุปมือนึงกางร่ม มือนึงจับราวบันได ถ้าจะถ่ายรูปต้องยืนให้มั่นคง วางร่ม เอาเท้าเหยียบร่มไว้ไม่ให้ลมพัดปลิว มือนึงถือกล้อง หน้ายิ้มละมุน พร้อมอีกมือนึงที่เกร็งจับราวบันได ชีวิต!
จขกท มีเคล็ดลับการถ่ายรูปให้ไม่ติดนักท่องเที่ยวคนอื่นคับ คือ กำแพงมันปิดประมาณ 4 โมงเย็น รถบัสเข้าเมืองเที่ยวสุดท้ายหมด 5 โมงเย็น เราก็ต้องรอให้ถึงซัก 4 โมงเย็น แล้วนักท่องเที่ยวก็จะทะยอยกลับเกือบหมดแล้ว เราก็ต้องเสี่ยงรีบเดินเที่ยวแล้วถ่ายรูปงามๆช่วงนี้ เราก็ใจกล้ามากตัดสินใจทิ้งตั๋วกระเช้าขากลับ เพราะมันปิด 4 โมง เรามาทั้งทีอยากได้ภาพที่ไม่ติดคน เอาวะเป็นไงเป็นกัน!!!
ได้รูปอย่างที่ต้องการสมใจ จากนั้นก็รีบวิ่งหน้าแหกมุดลงรูทางออกใต้กำแพง ทางชันมาก แอบมีอาการเข่าอ่อน จะนั่งพักก็ไม่ได้เดี๋ยวตกรถ หิวน้ำยังไม่มีเวลาจะแวะซื้อเลย ตรงดิ่งไปที่จุดขึ้นรถบัส ตอนนั้น 5 โมงเย็นแล้ว หัวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สุดท้ายทันรถรอบสุดท้ายพร้อมได้ภาพถ่ายบนกำแพงที่ถูกใจแถมกับอาการเสียวตกรถพอสมควร 55 ขากลับได้ยืน รถวิ่งตรงยิงขาวจอดที่ปลายทางครั้งเดียว แม่ ลูกหิวน้ำมากและยืนสับปะหงกเป็นระยะๆจนถึงป้อมระวังศรัตรูปลายทาง พอลงรถวิ่งหน้าแหกไปซื้อน้ำ สรุปเหนื่อย เสียว แต่คุ้ม กลับถึงที่พักนอนตาย