หลอกผี..
ราสส์ กิโลหก
ประมาณ ปี พ.ศ. 2530 ผู้เขียนถูกเกลี่ยอัตรากำลังไปช่วยราชการ ที่จังหวัดแห่งหนึ่ง ทางภาคอีสาน จังหวัดนี้อยู่ไกลมาก และผู้เขียนยังไม่เคยได้สัมผัส หรือรู้เรื่องราวเกี่ยวกับจังหวัดนี้มากนัก
พอคำสั่งออกมา ก็เอาแผนที่มาเปิดดู ถือว่าไกลมาก ถ้านับจากจังหวัดที่ผู้เขียนประจำอยู่เดิม
มีเวลาเตรียมตัวไม่มาก เพราะเป็นนโยบายเร่งด่วน การเดินทางไปปฏิบัติงานครั้งนี้ ไม่ได้เอาครอบครัวย้ายไปด้วย มันเป็นการไปช่วยราชการ ไม่ใช่เป็นการย้ายขาด..ครบกำหนดเวลาก็กลับต้นสังกัดเดิม ระยะเวลาช่วยราชการประมาณ 1 ปี
รถยนต์คู่ชีพ เป็นรถกลางเก่ากลางใหม่ แต่ก็เชื่อใจได้ เพราะดูแลรักษาเป็นอย่างดี จะเป็นสิ่งสำคัญในการเดินทาง..
วางแผนไว้ว่า จะกลับบ้าน อาทิตย์ละครั้งหรือสองอาทิตย์ครั้ง ต้องดูตามสถานการณ์ก่อน..
เมื่อถึงกำหนด ผู้เขียนเดินทางออกจากบ้าน ประมาณ สองทุ่ม ขับไปเรื่อยๆคาดว่าจะถึงเป้าหมายประมาณ ตี สอง ได้ประสานงานทางโน้นเกี่ยวกับที่พักอาศัย ซึ่งเป็นบ้านหลวง จึงเบาใจเรื่องที่พัก สัมภาระไม่มีอะไรมาก ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเสื้อผ้า ..
ระหว่างการเดินทาง ช่วงหัวค่ำยังมีรถหนาแน่นพอสมควร แต่พอดึกๆรถเริ่มน้อยลง เส้นทางผ่านตัวจังหวัด มีถนนเลี่ยงเมือง ทำให้การเดินทางไม่ยุ่งยาก ขับไปเรื่อยๆ ถ้าเหนื่อยก็พัก ตามป้อมตำรวจ หรือปั๊มน้ำมัน ..ออกมาเดินยืดเส้นยืดสาย บรรยากาศตอนกลางคืน เย็นสบายดี..
ตีสองเศษๆ ก็ถึงเป้าหมาย
ที่ทำงาน สีออกเหลืองๆ นับว่าเก่าแก่ สร้างมานานหลายสิบปี เป็นอาคารชั้นเดียว มีมุขอยู่กลาง ด้านซ้ายและขวา เป็นปีกยื่นออกไป ยาวข้างละหลายสิบเมตร เป็นที่ซึ่งข้าราชการใช้ทำงาน .และ.เป็นที่ติดต่อของประชาชน..
ภารโรง ซึ่งเข้าเวร และนอนอยู่ในสำนักงาน ออกมาต้อนรับ
ผู้เขียนบอกว่าให้พาไปดูบ้านพักหน่อย..
ภารโรงชื่อ นายกุด คว้าจักรยานขึ้นคร่อม และหันมาบอกว่า
“ไม่ไกล หรอก หัวหน้า ขับตามมาเลย“
นายกุด ขี่จักรยานพาลัดเลาะ ไปทางหลังสำนักงาน ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่มากมาย ผู้เขียนนึกว่าคงอยู่ไม่ไกลจากสำนักงาน แต่ ไม่ใช่ นายกุดนำทางไประยะเกือบ 200 เมตร. ที่สำคัญ 200 เมตรนี่ เส้นทางมันรกดีแท้ ต้นไม้ใหญ่ๆทั้งนั้น เป็นไม้หวงห้าม ไม้สัก ไม้ตะเคียน ประมาณนี้..จึงไม่มีใครกล้าตัด
ตัวบ้านพัก เป็นบ้านไม้หลังใหญ่ สองชั้นเก่าคร่ำครึ เสาบ้านมีเป็นสิบต้น แต่ละต้นจะก่อปูนล้อมรอบช่วงล่างของเสา จนไม่อยากเรียกว่าเสาเพราะมันใหญ่เป็นเมตร ปูนตามเสากะเทาะจนเห็นอิฐมอญสีแดง ด้านล่างเป็นใต้ถุนแต่ไม่โล่งเพราะมีต้นไม่ใบหญ้าขึ้นอยู่ บันใดขึ้นบ้านก็ผุกร่อน ขั้นบันใดก็มีไม่ครบ ถ้าคิดจะเอารถจอดใต้ถุนบ้าน ต้องมาถากถาง เสียก่อน..
นายกุดพูดว่า
“บ้านหลังนี้ไม่มีใครอยู่”
“หัวหน้าคนเก่าที่เคยอยู่ที่หลังนี้ เพิ่งรถคว่ำตาย เมื่อไม่ถึงปี “
“เหรอ “ ผู้เขียนไม่รู้จะพูดอะไร
“หัวหน้าคงมารักษาการใช่มั๊ยครับ เพราะเห็นธุรการพูดอยู่เมื่อเช้า”
"ใช่ "
.........................................
ช่วงเย็นเลิกงาน ผู้เขียนขอแรงภารโรง และลูกน้องในที่ทำงาน 2-3 คน มาช่วยกันถางหญ้าใต้ถุนบ้าน เพื่อให้รถยนต์สามารถเข้าไปจอดได้..
ส่วนบนบ้าน มีห้องอยู่ สี่ห้อง มีห้องโถง และชานบ้าน เป็นแบบทรงโบราณ ประตูหน้าต่างไม่ค่อยสมบูรณ์ หักแตกใช้การได้ไม่กี่บาน ห้องน้ำอยู่หลังสุดของตัวบ้าน เวลาเหยียบที่พื้นห้องน้ำก็ต้องระวัง เพราะมันคลอนๆเหมือนไม่ค่อยแข็งแรง..
ผู้เขียนไม่นอนในห้องแต่เลือกที่จะนอน ที่ห้องโถง เพราะเห็นมีแคร่ไม้ขนาดยาวสัก 2 เมตรตั้งอยู่ ดูแล้วน่าจะใช้นอนได้. เตรียมหมอนกับผ้าห่มสักผืนก็คงเรียบร้อย..
วันนี้เป็นวันเสาร์ ไม่มีภารกิจอะไร ผู้เขียนตื่นแต่เช้าเดินสำรวจรอบๆบ้าน ซึ่งบ้านพักหลวงไม่ใช่มีหลังเดียว มีหลังอื่นๆอยู่ด้วยอีก 2 หลัง แต่หลังเล็กและอยู่ห่างออกไป เหมือนเป็นบ้านบริวาร
บ้านเหล่านั้น ไม่มีข้าราชการไปอยู่ เพราะมันเปลี่ยว จึงมีภารโรง คือนายกุด ไปอาศัยอยู่กับเมีย และลูก 2 คน (มีต่อ)
ผี...
ราสส์ กิโลหก
ประมาณ ปี พ.ศ. 2530 ผู้เขียนถูกเกลี่ยอัตรากำลังไปช่วยราชการ ที่จังหวัดแห่งหนึ่ง ทางภาคอีสาน จังหวัดนี้อยู่ไกลมาก และผู้เขียนยังไม่เคยได้สัมผัส หรือรู้เรื่องราวเกี่ยวกับจังหวัดนี้มากนัก
พอคำสั่งออกมา ก็เอาแผนที่มาเปิดดู ถือว่าไกลมาก ถ้านับจากจังหวัดที่ผู้เขียนประจำอยู่เดิม
มีเวลาเตรียมตัวไม่มาก เพราะเป็นนโยบายเร่งด่วน การเดินทางไปปฏิบัติงานครั้งนี้ ไม่ได้เอาครอบครัวย้ายไปด้วย มันเป็นการไปช่วยราชการ ไม่ใช่เป็นการย้ายขาด..ครบกำหนดเวลาก็กลับต้นสังกัดเดิม ระยะเวลาช่วยราชการประมาณ 1 ปี
รถยนต์คู่ชีพ เป็นรถกลางเก่ากลางใหม่ แต่ก็เชื่อใจได้ เพราะดูแลรักษาเป็นอย่างดี จะเป็นสิ่งสำคัญในการเดินทาง..
วางแผนไว้ว่า จะกลับบ้าน อาทิตย์ละครั้งหรือสองอาทิตย์ครั้ง ต้องดูตามสถานการณ์ก่อน..
เมื่อถึงกำหนด ผู้เขียนเดินทางออกจากบ้าน ประมาณ สองทุ่ม ขับไปเรื่อยๆคาดว่าจะถึงเป้าหมายประมาณ ตี สอง ได้ประสานงานทางโน้นเกี่ยวกับที่พักอาศัย ซึ่งเป็นบ้านหลวง จึงเบาใจเรื่องที่พัก สัมภาระไม่มีอะไรมาก ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเสื้อผ้า ..
ระหว่างการเดินทาง ช่วงหัวค่ำยังมีรถหนาแน่นพอสมควร แต่พอดึกๆรถเริ่มน้อยลง เส้นทางผ่านตัวจังหวัด มีถนนเลี่ยงเมือง ทำให้การเดินทางไม่ยุ่งยาก ขับไปเรื่อยๆ ถ้าเหนื่อยก็พัก ตามป้อมตำรวจ หรือปั๊มน้ำมัน ..ออกมาเดินยืดเส้นยืดสาย บรรยากาศตอนกลางคืน เย็นสบายดี..
ตีสองเศษๆ ก็ถึงเป้าหมาย
ที่ทำงาน สีออกเหลืองๆ นับว่าเก่าแก่ สร้างมานานหลายสิบปี เป็นอาคารชั้นเดียว มีมุขอยู่กลาง ด้านซ้ายและขวา เป็นปีกยื่นออกไป ยาวข้างละหลายสิบเมตร เป็นที่ซึ่งข้าราชการใช้ทำงาน .และ.เป็นที่ติดต่อของประชาชน..
ภารโรง ซึ่งเข้าเวร และนอนอยู่ในสำนักงาน ออกมาต้อนรับ
ผู้เขียนบอกว่าให้พาไปดูบ้านพักหน่อย..
ภารโรงชื่อ นายกุด คว้าจักรยานขึ้นคร่อม และหันมาบอกว่า
“ไม่ไกล หรอก หัวหน้า ขับตามมาเลย“
นายกุด ขี่จักรยานพาลัดเลาะ ไปทางหลังสำนักงาน ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่มากมาย ผู้เขียนนึกว่าคงอยู่ไม่ไกลจากสำนักงาน แต่ ไม่ใช่ นายกุดนำทางไประยะเกือบ 200 เมตร. ที่สำคัญ 200 เมตรนี่ เส้นทางมันรกดีแท้ ต้นไม้ใหญ่ๆทั้งนั้น เป็นไม้หวงห้าม ไม้สัก ไม้ตะเคียน ประมาณนี้..จึงไม่มีใครกล้าตัด
ตัวบ้านพัก เป็นบ้านไม้หลังใหญ่ สองชั้นเก่าคร่ำครึ เสาบ้านมีเป็นสิบต้น แต่ละต้นจะก่อปูนล้อมรอบช่วงล่างของเสา จนไม่อยากเรียกว่าเสาเพราะมันใหญ่เป็นเมตร ปูนตามเสากะเทาะจนเห็นอิฐมอญสีแดง ด้านล่างเป็นใต้ถุนแต่ไม่โล่งเพราะมีต้นไม่ใบหญ้าขึ้นอยู่ บันใดขึ้นบ้านก็ผุกร่อน ขั้นบันใดก็มีไม่ครบ ถ้าคิดจะเอารถจอดใต้ถุนบ้าน ต้องมาถากถาง เสียก่อน..
นายกุดพูดว่า
“บ้านหลังนี้ไม่มีใครอยู่”
“หัวหน้าคนเก่าที่เคยอยู่ที่หลังนี้ เพิ่งรถคว่ำตาย เมื่อไม่ถึงปี “
“เหรอ “ ผู้เขียนไม่รู้จะพูดอะไร
“หัวหน้าคงมารักษาการใช่มั๊ยครับ เพราะเห็นธุรการพูดอยู่เมื่อเช้า”
"ใช่ "
.........................................
ช่วงเย็นเลิกงาน ผู้เขียนขอแรงภารโรง และลูกน้องในที่ทำงาน 2-3 คน มาช่วยกันถางหญ้าใต้ถุนบ้าน เพื่อให้รถยนต์สามารถเข้าไปจอดได้..
ส่วนบนบ้าน มีห้องอยู่ สี่ห้อง มีห้องโถง และชานบ้าน เป็นแบบทรงโบราณ ประตูหน้าต่างไม่ค่อยสมบูรณ์ หักแตกใช้การได้ไม่กี่บาน ห้องน้ำอยู่หลังสุดของตัวบ้าน เวลาเหยียบที่พื้นห้องน้ำก็ต้องระวัง เพราะมันคลอนๆเหมือนไม่ค่อยแข็งแรง..
ผู้เขียนไม่นอนในห้องแต่เลือกที่จะนอน ที่ห้องโถง เพราะเห็นมีแคร่ไม้ขนาดยาวสัก 2 เมตรตั้งอยู่ ดูแล้วน่าจะใช้นอนได้. เตรียมหมอนกับผ้าห่มสักผืนก็คงเรียบร้อย..
วันนี้เป็นวันเสาร์ ไม่มีภารกิจอะไร ผู้เขียนตื่นแต่เช้าเดินสำรวจรอบๆบ้าน ซึ่งบ้านพักหลวงไม่ใช่มีหลังเดียว มีหลังอื่นๆอยู่ด้วยอีก 2 หลัง แต่หลังเล็กและอยู่ห่างออกไป เหมือนเป็นบ้านบริวาร
บ้านเหล่านั้น ไม่มีข้าราชการไปอยู่ เพราะมันเปลี่ยว จึงมีภารโรง คือนายกุด ไปอาศัยอยู่กับเมีย และลูก 2 คน (มีต่อ)