สวัสดีทุกๆท่านที่ได้แวะเข้ามาและสละเวลาอ่านเรื่องราวที่ผมจะได้แชร์ต่อจากนี้ อยากจะบอกทุกๆคนด้วยความซื่อสัตย์ว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ตัดสินใจเขียนกระทู้หรือบล๊อก ที่ถ่ายทอดเรื่องราวประสบการณ์ตรงของตัวเองให้ทุกๆท่านได้อ่านได้ฟัง จากที่เคยได้อ่านการแชร์ประสบการณ์ของผู้เสียสละคนอื่นๆมาอย่างนับไม่ถ้วน และครั้งนี้ผมจึงอยากจะขอทดแทนคืนต่อสังคมโซเชียลและทุกๆคนบ้าง ถ้าเรื่องราวที่ผมจะถ่ายทอดนี้นั้น มันพอจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นต่อๆไป ไม่มากก็น้อย สำหรับแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมถ่ายทอดเรื่องราวครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณบุคคลสำคัญคนหนึ่งของชีวิตผมผู้ซึ่งเป็นทั้งพี่ชาย เป็นคนมอบโอกาส เป็นคนสนับสนุนความก้าวหน้า และเป็นทั้งหัวหน้าที่แสนดีของผม ผู้ซึ่งให้กำลังใจและทำให้ผมได้ถ่ายทอดเรื่องราวเพื่อแบ่งบันให้กับทุกๆท่านได้อ่านต่อจากนี้ สำหรับผิดตกยกเว้นประการใดที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ผมก็กราบขออภัยต่อท่านผู้อ่านทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
รูปด้านบนนี้เป็นแผนที่ประเทศต่างๆในยุโรป สังเกตุในรูปนี้นั้นมีจุดดาวสีเหลืองกระจายตามตำแหน่งต่างๆ ซึ่งเป็นตัวแทนตำแหน่งที่ผมได้เคยผ่านไปในช่วงเวลาตั้งแต่ที่ผมได้มาทำงานที่สวีเดน นับจากวันที่ย้ายมาก็ราวจะ 1 ปีเต็มได้ เปิดมาก็โชว์ของซะแระ อย่าพึ่งคิดอคติว่าผมมาอวดที่เที่ยวนะครับ (55555) ผมอยากจะขอให้ทุกท่านที่อ่าน ช่วยทำใจให้สบายและมองในมุมบวกไว้เสมอกับเรื่องราวที่ผมได้แชร์นะครับ ผมแสดงรูปนี้ก็เพื่อเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านที่จะมีโอกาสมาใช้ชีวิตที่ยุโรป หรือกับรุ่นน้องๆทั้งหลายที่ฝันว่าจะมาทำงานยุโรป ว่าถ้าโอกาสมาถึงทุกท่านสามารถท่องเที่ยวในกลุ่มเชงเก้นในอย่างเสรี กระทู้นี้ผมคงจะไม่ลงรายละเอียดการไปเที่ยวในที่ต่างๆ แต่บอกไว้อย่างว่า ผมขับรถไปนะครับไม่ได้บินไป(ระยะทางรวมราว 8000 กิโลเมตร) ใครสนใจก็สอบถามได้นะครับ การที่เราได้เชงเก็นวีซ่าถือว่าเป็นเอกสารที่มีประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวกอย่างมากให้กับคนที่มายุโรป ซึ่งท่านที่จะมาทำงานที่ยุโรปแทบทุกคนจะได้อานิสงฆ์ของเชงเก้นวีซ่า แต่คนที่มาทำงานระดับปีขึ้นไปก็จะต้องทำเป็นเวิร์คเพอร์มิตซึ่งจะมีอายุตามแต่สัญญาการจ้างงานของนายจ้าง กรณีของผมก็ใช้เวิร์คเพอร์มิตเช่นกันและจะใช้แทนวีซ่าเพื่อผ่าน ตม ตลอดจนถึงวันหมดอายุ
เล่ามาถึงตรงนี้ก็ขอเข้าเรื่องความเป็นมาว่าผมมาทำงานที่สวีเดนนี้ได้อย่างไรเลยล่ะกัน ผมเป็นพนักงานเงินเดือนอยู่ที่โรงงานวอล์โว่ทรัคที่ บางนาตราด กม25 ที่นี่เป็นจุดเริ่มที่ทำให้ผมได้โอกาสมาทำงานที่ประเทศแม่ของวอล์โว่คือสวีเดน กรณีผมนี้เป็นลักษณะการยืมตัวพนักงาน ซึ่งวอลโว่เองมีระเบียบและกระบวนการรองรับสำหรับโปรแกรมนี้อย่างดี พนักงานของวอล์โว่กรุ๊ปทุกคนทั่วโลกมีสิทธิที่จะได้รับการดูแลโดยโปรแกรมนี้ทุกคน เราเรียกสั้นๆ ว่า Expat program (Expatriation) ส่วนระยะเวลา ก็เริ่มตั้ง 2-5 ปีตามแต่ Host country จะต้องการ คำว่ายืมตัวก็ตรงๆครับเหมือนการยืมตัวนักแตะฟุตบอลนั่นล่ะครับ ผมยังมีต้นสังกัดเดิมคือเมืองไทยเรียกว่า Home country และมีประเทศที่ยืมตัวเรียกว่า Host country ก็เอาเป็นพอสังเขปล่ะกันนะครับลงลึกไปมากกว่านี้ก็จะเยิ่นเย้อเกินไป กระบวนการที่เหลือผมก็ปฏิบัติตามขั้นตอนของ Expat program เริ่มตั้งแต่การเจรจาค่าตอบแทนสวัสดิการและเดินเอกสารการยื่นขอเวิร์คเพอร์มิตซึ่งทางหน่วยงานที่สวีเดนจะดำเนินการให้ทั้งหมด ผมแค่ส่งเอกสาร ไปถ่ายรูปที่สถานทุต และไปรับใบเวิร์คเพอร์มิต ในขณะเดียวกันเรื่องการย้ายของย้ายคน การหาที่พักการหารถก็ดำเนินควบคู่กันไป ทุกอย่างได้รับการดูแลจากวอล์โว่ทั้งหมดระยะเวลานับตั้งแต่เราตอบตกลงในสัญญาจนมาเริ่มทำงานที่สวีเดนก็ประมาณ 6 เดือน
อ่านดูผิวเผินก็ ผมทำงานที่โรงงานในไทยแล้วเค้าส่งมาทำงานที่สวีเดนก็พอเข้าใจได้สั้นๆได้แค่นั้น แต่ผมว่ามันจะไม่มีประโยชน์กับท่านผู้อ่านเลยถ้าผมไม่กล่าวถึงสาเหตุของการได้รับโอกาสที่มีค่ายิ่งเช่นนี้ โอกาสที่จะได้มานี้นั้นไม่ได้ให้กับทุกคนที่เป็นพนักงานนะครับ มันขึ้นอยู่กับจังหวะ(โอกาส)และความเหมาะสม ผมมองว่าสองสิ่งนี้เป็นคีย์พอยท์ที่ทำให้ผมได้มาทำงานที่นี่ จังหวะหรือโอกาสนั่นเป็นสิ่งที่เราต้องสร้างให้กับตนเอง และความเหมาะสมก็เช่นกันเราก็ต้องพัฒนาตัวเราเองให้เหมาะกับโอกาส มันเหมือนแม่กุญแจกับลูกกุญแจประมาณนั้น มาอย่างเดียวเปิดประตูสู่ความสำเร็จไม่ได้ ต้องมาทั้งคู่ ตัวผมเองก็ไม่สามารถจะบอกได้ว่าทำแบบนี้อย่างนี้เสต็บนี้แล้วจะได้รับโอกาสการมาทำงานเมืองนอก ผมบอกตรงๆว่าผมต้องหว่านแหเหมือนกัน แต่แน่นอนครับเราจะจับปลาก็ต้องรู้แหล่งปลา และก็ต้องขยันหว่านถึงจะได้ปลา ผมเองไม่ใช่ลูกคนรวยที่จะมีเงินกองทุนทางบ้านส่งมาเรียนเมืองนอกเมืองนา ประวัติส่วนตัวสั้นๆก็เป็นเด็กอีสานเรียนสายช่างภาษาอังกฤษไม่เก่งเกรดปานกลางอาศัยดีกรีสามพระจอมอีกทั้งยังกู้กองทุนเพื่อการศึกษา (อยู่ระหว่างชำระหนี้นะครับไม่ขาดส่ง 5555) แต่พยายามพัฒนาตัวเองตลอดเวลา การได้มีโอกาสมาทำงานต่างแดนก็เป็นหนึ่งความปรารถนาของผมตั้งแต่ยังเรียนไม่จบเช่นกัน ตอนแรกผมก็คิดว่าต้องเก่งถึงจะมีโอกาส ตั้งแต่เริ่มทำงานก็พยายามทำตัวเองให้เก่ง ไม่ค่อยรู้อย่างอื่นก็จะเก่งแต่งานที่ตัวเองทำ ทำๆไปก็เก่งแล้วผลลัพธ์ก็ไม่น่าประทับใจตามที่เราทุ่มลงไป ก็พยายามเก่งด้านอื่นอีก ผมทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรซะส่วนใหญ่ จนได้มาอยู่ที่วอล์โว่เนี่ยล่ะ ได้ใช้ความรู้แบบบูรณาการเลย ผมได้ใช้ความรู้ทั้งสายบุ๋นสายบู้ในการสร้างสายการผลิตโรงประกอบบอดี้ เหนื่อยแต่หนุก 5555 ต้องขอขอบคุณลูกพี่ที่ให้โอกาสได้ลุย และเพราะที่ได้เหนื่อยครั้งนั้นทำให้ผมมีความเหมาะสมกับงานที่ทำในวันนี้
ขอกล่าวประเด็นสำคัญตรงนี้ที่อยากจะแนะนำท่านๆที่กำลังทำงานหนักอยู่และรู้สึกท้อ ผมอยากให้ทุกท่านลองกลับมานั่งคิดกับงานที่เหนื่อยอยู่สักนิดนึง การที่ท่านได้ทำงานที่เหนื่อยผมบอกได้เลยว่าคือโอกาส มันเป็นสถานะการณ์อันดีที่ท่านจะได้ใช้ความสามารถในการพัฒนาสิ่งที่เป็นปัญหาให้หมดปัญหาหรือลดลงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ และนั้นมันคือช่วงเวลาที่ท่านจะได้โชว์ศักยภาพให้แมวมองต่างๆได้สนใจในตัวท่าน อ่านตรงนี้แล้วบางท่านบอกว่าผมพูดเชียร์หลอกให้โง่ทำงานอีกล่ะซิ 5555 ถ้าใครคิดแบบนี้อยู่ก็บอกได้ว่าคุณมีความสามารถในการอ่านเกมหรือปัญหาได้ครึ่งนึงแระ แล้วอีกครึ่งล่ะจะทำอย่างไร ง่ายๆก็คือ คุณต้องคิดว่ามันคือโอกาสและเชื่อว่ามันคือโอกาสอย่างที่ผมบอก ถ้าคุณคิดว่าคุณจะเหมาะสมกับการทำงานในองค์กรนานาชาติ สิ่งที่ยากที่เหนื่อยคือโอกาสในการแสดงศักยภาพทั้งนั้น ผมบอกได้ว่ามีแต่ได้กับได้ไม่ว่าคุณจะสำเร็จหรือล้มเหลว ต่อให้แก้ปัญหาไม่ได้แต่คุณจะรู้เหตุผลที่ทำไมมันแก้ไม่ได้ มันไม่ใช่แค่เหตุผลที่เป็นเพียงคำพูด แต่เป็นเหตุผลเชิงทางการที่เพื่อนร่วมงานของท่านจะรับทราบและเห็นความพยายามของท่านในการทุ่มเทเสียสละเพื่อองค์กร และในกรณีตรงกันข้ามถ้าสำเร็จท่านก็ได้ผลงานความภูมิใจการยอมรับ และแน่นอนว่าโอกาสที่ท้าทายสูงขึ้นก็จะเป็นของท่าน จะเห็นได้ว่าการพุ่งชนต่อสู้กับปัญหาคือสิ่งเกื้อหนุนทั้งโอกาสและความเหมาะสม และเมื่อวันนึงที่มันสุกงอม ความหอมหวานของผลลัพธ์ มันจะทำให้ท่านประทับใจอยู่ในความทรงจำจนชั่วชีวิต
กลับมาที่เคสของผมที่ว่า แล้วผมได้โอกาสมาได้อย่างไร จากนิสัยที่ชอบลุยอย่างผมก็ทำให้งานเข้าอยู่เป็นประจำ(ฟังทะ
ๆนะ) แน่นอนครับว่าคือความท้าทายวิ่งเข้ามามากขึ้น ผมโดนน้องๆในทีมบ่นตลอดว่ารับแต่งานไม่ปล่อยบ้าง แต่ทุกคนก็ร่วมแรงร่วมใจสู้ตลอดครับ ต้องขอขอบคุณทุกๆคนในทีมของผมมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ถ้าไม่ได้ทุกคนร่วมมือกันปัญหาหลายๆอย่างคงไม่สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี อ่านแล้วบางท่านอาจจะมองว่าทำแบบนี้ก็เหนื่อยแย่อ่ะดิ ผมอยากจะบอกว่าสิ่งที่ผมทำและรับมาทำเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตนเองและผู้อื่นเสมอ ถ้าเปรียบง่ายๆก็เทียบกับการเล่นฟุตบอลได้ว่า ผมไม่เลือกที่จะยืนอยู่แค่ในตำแหน่งและรอให้เพื่อนๆส่งบอลมาให้ แต่ผมเลือกที่จะวิ่งไปหาเพื่อนที่กำลังได้บอลและยกมือให้เค้าส่งมาถ้าผมจะช่วยเค้าได้ น่าจะพอเห็นภาพได้บ้างนะครับ วิธีการที่ผมทำแบบนี้ อาจไม่เหมาะกับทุกคนนะครับ มันขึ้นอยู่กับพื้นฐานของแต่ละคนด้วยว่าคุณแกร่งกับตำแหน่งที่คุณอยู่แล้วหรือไม่ การแกร่งในตำแหน่งที่ตนเองอยู่นั้นเป็นพื้นฐานสำคัญในระดับต่อๆไป น้องๆที่ประสบการณ์ยังไม่ถึงที่ เป็นสิ่งสมควรและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำงานในสายงานของตนให้เชี่ยวชาญ มันเป็นเรื่องสำคัญกับตัวเราเอง ถ้าเรามองว่าเรายังต้องการความก้าวหน้าในองค์กร ซึ่งบางคนอาจจะบอกว่า จะอยู่นานๆไปทำไมล่ะพี่เงินเดือนก็เพิ่มไม่กี่เปอร์เซ็นต์ กระโดดไปที่ใหม่ดีกว่าเงินก้าวกระโดด ขอนอกประเด็นในเรื่องนี้อีกกรณีนะครับ พักหลังนี้รูปแบบการสร้างความก้าวหน้าในอาชีพเปลี่ยนไปจะใช้วิธีแบบทางลัด เรียนจบมาทำที่นึงได้ไม่นานก็กระโดดย้ายงานอัพเงินเดือน และทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องความเชี่ยวชาญในสายงานที่ตนเป็น ผมอยากให้มองถึงความเชี่ยวชาญในสายงานเป็นหลัก อย่ากระโดดแต่เพียงเฉพาะเรื่องเงินอย่างเดียว เพราะท่านจะกลายเป็นปลาติดกับ เอ๊ะ!ติดยังไงกัน จากความเห็นส่วนตัวและประสบการณ์ตรงที่เห็นๆมาหลายชีวิต คนที่ใช้วิธีการเติบโตในสายงานแบบกระโดดไปมาจะเกิดปัญหาเมื่ออายุงานเริ่มมากขึ้นและตำแหน่งที่กระโดดก็เริ่มสูงขึ้นความรับผิดชอบก็มากขึ้นและแน่นอนความคาดหวังมากขึ้นและมันมาพร้อมกับความกดดัน และเมื่อเราไม่แกร่งพอ คุณจะเป็นทุกข์อย่างมากและอึดอัดกับที่ทำงาน แน่นอนคุณจะต้องหางานใหม่เหมือนที่คุณทำมาตลอด แต่โอกาสเงินเดือนและตำแหน่งที่คุณขึ้นไปมันน้อยลงแล้วไม่เหมือนตอนสมัยจูเนีย ตรงนี้ล่ะจุดเปลี่ยน ในความเห็นผมถ้าคุณทำงานมาถึง ณ จุดนี้ แต่คุณยังไม่มีความเชี่ยวชาญในสายงานในระดับที่จะเติบโตต่อไปในองค์กรได้ คุณจะเข้าสู่โหมดเลือกเส้นทางการทำงานของคุณในสามเส้นทางนี้ คือ หนึ่งลาออกด้วยเหตุผลคลาสสิกคือไปทำธุรกิจส่วนตัว สองยอมอยู่ในองค์กรต่อไปในสภาพคนหมดไฟในการทำงาน และทางสุดท้ายก็กลับไปวนลูบหางานใหม่จนกว่าจะมีความเชี่ยวชาญในสายงานสักด้านหนึ่ง ตรงนี้คือจุดที่ธรรมชาติในองค์กรคัดกรองกลุ่มคนเพื่อก้าวเป็นกลุ่มผู้นำองค์กรในรุ่นต่อไป ครับอ่านมาถึงจุดนี้บางคนคงมีข้อเห็นต่างจากที่ผมกล่าวไม่มากก็น้อย ก็ไม่ผิดนะครับสภาวะแวดล้อมของแต่ละบุคคลมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันตามลักษณะนิสัยหรือสภาพองค์กร ส่วนท่านที่เห็นด้วยก็ลองนำไปพิจารณาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเอานะครับ
เขียนๆไปท่าจะเยอะ หุหุ ยังไม่ได้มาถึงสวีเดนเลยเนี่ย ความจริงก็จะถ่ายทอดให้เกิดประโยชน์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นะครับ การจะอธิบายบางสิ่งบางทีมันไม่ได้ง่ายที่จะเขียนว่ามั๊ยครับ งั้นผมขอสรุปให้เข้าใจสั้นๆ เพื่อท่านผู้อ่านจะได้นำไปปรับใช้กันนะครับ สำหรับการที่ผมจะได้โอกาสมาทำงานที่สวีเดนนี้ ก็ต้องเป็นคนมองมุมบวกให้เป็นและใช้มันสร้างโอกาสให้กับตัวเอง ลุยกับงานที่ท้าทายแม้มันจะเหนื่อหรือยากก็สู้ หาโอกาสที่จะได้ทำงานท้าทายอยู่เสมอ และแน่นอนครับฝึกฝนตนเองตลอดเวลาและทำงานในสายงานตนเองให้เชี่ยวชาญเพราะมันคือพื้นฐานสำคัญในการทำงานในระดับต่อไป ครับผมคิดว่าคงต้องขอยกส่วนที่เหลือไปอีกตอนเป็นตอนจบ ซึ่งจะได้เล่าถึงประสบการณ์ดีๆในต่างแดนที่สวีเดนดินแดนแสกนดิเนเวียร์ แห่งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าประสบการณ์ที่ได้แชร์ให้ท่านผู้อ่านได้ฟังจะเป็นประโยขน์แก่ท่านไม่มากก็น้อย ติชมประการใดหรือต้องการส่วนใดเพิ่มเติมก็ถามกันมาได้นะครับ ยินดีน้อมรับด้วยใจเพื่อพี่น้องคนไทยได้ไปถึงฝันนะครับ เดี๋ยวสัปดาห์หน้ามาอ่านตอนจบกันนะครับ.😊
https://ppantip.com/topic/36779909
แชร์เรื่องราวและความประทับใจกับการมาทำงานที่ Volvo Group Truck สวีเดน
รูปด้านบนนี้เป็นแผนที่ประเทศต่างๆในยุโรป สังเกตุในรูปนี้นั้นมีจุดดาวสีเหลืองกระจายตามตำแหน่งต่างๆ ซึ่งเป็นตัวแทนตำแหน่งที่ผมได้เคยผ่านไปในช่วงเวลาตั้งแต่ที่ผมได้มาทำงานที่สวีเดน นับจากวันที่ย้ายมาก็ราวจะ 1 ปีเต็มได้ เปิดมาก็โชว์ของซะแระ อย่าพึ่งคิดอคติว่าผมมาอวดที่เที่ยวนะครับ (55555) ผมอยากจะขอให้ทุกท่านที่อ่าน ช่วยทำใจให้สบายและมองในมุมบวกไว้เสมอกับเรื่องราวที่ผมได้แชร์นะครับ ผมแสดงรูปนี้ก็เพื่อเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านที่จะมีโอกาสมาใช้ชีวิตที่ยุโรป หรือกับรุ่นน้องๆทั้งหลายที่ฝันว่าจะมาทำงานยุโรป ว่าถ้าโอกาสมาถึงทุกท่านสามารถท่องเที่ยวในกลุ่มเชงเก้นในอย่างเสรี กระทู้นี้ผมคงจะไม่ลงรายละเอียดการไปเที่ยวในที่ต่างๆ แต่บอกไว้อย่างว่า ผมขับรถไปนะครับไม่ได้บินไป(ระยะทางรวมราว 8000 กิโลเมตร) ใครสนใจก็สอบถามได้นะครับ การที่เราได้เชงเก็นวีซ่าถือว่าเป็นเอกสารที่มีประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวกอย่างมากให้กับคนที่มายุโรป ซึ่งท่านที่จะมาทำงานที่ยุโรปแทบทุกคนจะได้อานิสงฆ์ของเชงเก้นวีซ่า แต่คนที่มาทำงานระดับปีขึ้นไปก็จะต้องทำเป็นเวิร์คเพอร์มิตซึ่งจะมีอายุตามแต่สัญญาการจ้างงานของนายจ้าง กรณีของผมก็ใช้เวิร์คเพอร์มิตเช่นกันและจะใช้แทนวีซ่าเพื่อผ่าน ตม ตลอดจนถึงวันหมดอายุ
เล่ามาถึงตรงนี้ก็ขอเข้าเรื่องความเป็นมาว่าผมมาทำงานที่สวีเดนนี้ได้อย่างไรเลยล่ะกัน ผมเป็นพนักงานเงินเดือนอยู่ที่โรงงานวอล์โว่ทรัคที่ บางนาตราด กม25 ที่นี่เป็นจุดเริ่มที่ทำให้ผมได้โอกาสมาทำงานที่ประเทศแม่ของวอล์โว่คือสวีเดน กรณีผมนี้เป็นลักษณะการยืมตัวพนักงาน ซึ่งวอลโว่เองมีระเบียบและกระบวนการรองรับสำหรับโปรแกรมนี้อย่างดี พนักงานของวอล์โว่กรุ๊ปทุกคนทั่วโลกมีสิทธิที่จะได้รับการดูแลโดยโปรแกรมนี้ทุกคน เราเรียกสั้นๆ ว่า Expat program (Expatriation) ส่วนระยะเวลา ก็เริ่มตั้ง 2-5 ปีตามแต่ Host country จะต้องการ คำว่ายืมตัวก็ตรงๆครับเหมือนการยืมตัวนักแตะฟุตบอลนั่นล่ะครับ ผมยังมีต้นสังกัดเดิมคือเมืองไทยเรียกว่า Home country และมีประเทศที่ยืมตัวเรียกว่า Host country ก็เอาเป็นพอสังเขปล่ะกันนะครับลงลึกไปมากกว่านี้ก็จะเยิ่นเย้อเกินไป กระบวนการที่เหลือผมก็ปฏิบัติตามขั้นตอนของ Expat program เริ่มตั้งแต่การเจรจาค่าตอบแทนสวัสดิการและเดินเอกสารการยื่นขอเวิร์คเพอร์มิตซึ่งทางหน่วยงานที่สวีเดนจะดำเนินการให้ทั้งหมด ผมแค่ส่งเอกสาร ไปถ่ายรูปที่สถานทุต และไปรับใบเวิร์คเพอร์มิต ในขณะเดียวกันเรื่องการย้ายของย้ายคน การหาที่พักการหารถก็ดำเนินควบคู่กันไป ทุกอย่างได้รับการดูแลจากวอล์โว่ทั้งหมดระยะเวลานับตั้งแต่เราตอบตกลงในสัญญาจนมาเริ่มทำงานที่สวีเดนก็ประมาณ 6 เดือน
อ่านดูผิวเผินก็ ผมทำงานที่โรงงานในไทยแล้วเค้าส่งมาทำงานที่สวีเดนก็พอเข้าใจได้สั้นๆได้แค่นั้น แต่ผมว่ามันจะไม่มีประโยชน์กับท่านผู้อ่านเลยถ้าผมไม่กล่าวถึงสาเหตุของการได้รับโอกาสที่มีค่ายิ่งเช่นนี้ โอกาสที่จะได้มานี้นั้นไม่ได้ให้กับทุกคนที่เป็นพนักงานนะครับ มันขึ้นอยู่กับจังหวะ(โอกาส)และความเหมาะสม ผมมองว่าสองสิ่งนี้เป็นคีย์พอยท์ที่ทำให้ผมได้มาทำงานที่นี่ จังหวะหรือโอกาสนั่นเป็นสิ่งที่เราต้องสร้างให้กับตนเอง และความเหมาะสมก็เช่นกันเราก็ต้องพัฒนาตัวเราเองให้เหมาะกับโอกาส มันเหมือนแม่กุญแจกับลูกกุญแจประมาณนั้น มาอย่างเดียวเปิดประตูสู่ความสำเร็จไม่ได้ ต้องมาทั้งคู่ ตัวผมเองก็ไม่สามารถจะบอกได้ว่าทำแบบนี้อย่างนี้เสต็บนี้แล้วจะได้รับโอกาสการมาทำงานเมืองนอก ผมบอกตรงๆว่าผมต้องหว่านแหเหมือนกัน แต่แน่นอนครับเราจะจับปลาก็ต้องรู้แหล่งปลา และก็ต้องขยันหว่านถึงจะได้ปลา ผมเองไม่ใช่ลูกคนรวยที่จะมีเงินกองทุนทางบ้านส่งมาเรียนเมืองนอกเมืองนา ประวัติส่วนตัวสั้นๆก็เป็นเด็กอีสานเรียนสายช่างภาษาอังกฤษไม่เก่งเกรดปานกลางอาศัยดีกรีสามพระจอมอีกทั้งยังกู้กองทุนเพื่อการศึกษา (อยู่ระหว่างชำระหนี้นะครับไม่ขาดส่ง 5555) แต่พยายามพัฒนาตัวเองตลอดเวลา การได้มีโอกาสมาทำงานต่างแดนก็เป็นหนึ่งความปรารถนาของผมตั้งแต่ยังเรียนไม่จบเช่นกัน ตอนแรกผมก็คิดว่าต้องเก่งถึงจะมีโอกาส ตั้งแต่เริ่มทำงานก็พยายามทำตัวเองให้เก่ง ไม่ค่อยรู้อย่างอื่นก็จะเก่งแต่งานที่ตัวเองทำ ทำๆไปก็เก่งแล้วผลลัพธ์ก็ไม่น่าประทับใจตามที่เราทุ่มลงไป ก็พยายามเก่งด้านอื่นอีก ผมทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรซะส่วนใหญ่ จนได้มาอยู่ที่วอล์โว่เนี่ยล่ะ ได้ใช้ความรู้แบบบูรณาการเลย ผมได้ใช้ความรู้ทั้งสายบุ๋นสายบู้ในการสร้างสายการผลิตโรงประกอบบอดี้ เหนื่อยแต่หนุก 5555 ต้องขอขอบคุณลูกพี่ที่ให้โอกาสได้ลุย และเพราะที่ได้เหนื่อยครั้งนั้นทำให้ผมมีความเหมาะสมกับงานที่ทำในวันนี้
ขอกล่าวประเด็นสำคัญตรงนี้ที่อยากจะแนะนำท่านๆที่กำลังทำงานหนักอยู่และรู้สึกท้อ ผมอยากให้ทุกท่านลองกลับมานั่งคิดกับงานที่เหนื่อยอยู่สักนิดนึง การที่ท่านได้ทำงานที่เหนื่อยผมบอกได้เลยว่าคือโอกาส มันเป็นสถานะการณ์อันดีที่ท่านจะได้ใช้ความสามารถในการพัฒนาสิ่งที่เป็นปัญหาให้หมดปัญหาหรือลดลงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ และนั้นมันคือช่วงเวลาที่ท่านจะได้โชว์ศักยภาพให้แมวมองต่างๆได้สนใจในตัวท่าน อ่านตรงนี้แล้วบางท่านบอกว่าผมพูดเชียร์หลอกให้โง่ทำงานอีกล่ะซิ 5555 ถ้าใครคิดแบบนี้อยู่ก็บอกได้ว่าคุณมีความสามารถในการอ่านเกมหรือปัญหาได้ครึ่งนึงแระ แล้วอีกครึ่งล่ะจะทำอย่างไร ง่ายๆก็คือ คุณต้องคิดว่ามันคือโอกาสและเชื่อว่ามันคือโอกาสอย่างที่ผมบอก ถ้าคุณคิดว่าคุณจะเหมาะสมกับการทำงานในองค์กรนานาชาติ สิ่งที่ยากที่เหนื่อยคือโอกาสในการแสดงศักยภาพทั้งนั้น ผมบอกได้ว่ามีแต่ได้กับได้ไม่ว่าคุณจะสำเร็จหรือล้มเหลว ต่อให้แก้ปัญหาไม่ได้แต่คุณจะรู้เหตุผลที่ทำไมมันแก้ไม่ได้ มันไม่ใช่แค่เหตุผลที่เป็นเพียงคำพูด แต่เป็นเหตุผลเชิงทางการที่เพื่อนร่วมงานของท่านจะรับทราบและเห็นความพยายามของท่านในการทุ่มเทเสียสละเพื่อองค์กร และในกรณีตรงกันข้ามถ้าสำเร็จท่านก็ได้ผลงานความภูมิใจการยอมรับ และแน่นอนว่าโอกาสที่ท้าทายสูงขึ้นก็จะเป็นของท่าน จะเห็นได้ว่าการพุ่งชนต่อสู้กับปัญหาคือสิ่งเกื้อหนุนทั้งโอกาสและความเหมาะสม และเมื่อวันนึงที่มันสุกงอม ความหอมหวานของผลลัพธ์ มันจะทำให้ท่านประทับใจอยู่ในความทรงจำจนชั่วชีวิต
กลับมาที่เคสของผมที่ว่า แล้วผมได้โอกาสมาได้อย่างไร จากนิสัยที่ชอบลุยอย่างผมก็ทำให้งานเข้าอยู่เป็นประจำ(ฟังทะๆนะ) แน่นอนครับว่าคือความท้าทายวิ่งเข้ามามากขึ้น ผมโดนน้องๆในทีมบ่นตลอดว่ารับแต่งานไม่ปล่อยบ้าง แต่ทุกคนก็ร่วมแรงร่วมใจสู้ตลอดครับ ต้องขอขอบคุณทุกๆคนในทีมของผมมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ถ้าไม่ได้ทุกคนร่วมมือกันปัญหาหลายๆอย่างคงไม่สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี อ่านแล้วบางท่านอาจจะมองว่าทำแบบนี้ก็เหนื่อยแย่อ่ะดิ ผมอยากจะบอกว่าสิ่งที่ผมทำและรับมาทำเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตนเองและผู้อื่นเสมอ ถ้าเปรียบง่ายๆก็เทียบกับการเล่นฟุตบอลได้ว่า ผมไม่เลือกที่จะยืนอยู่แค่ในตำแหน่งและรอให้เพื่อนๆส่งบอลมาให้ แต่ผมเลือกที่จะวิ่งไปหาเพื่อนที่กำลังได้บอลและยกมือให้เค้าส่งมาถ้าผมจะช่วยเค้าได้ น่าจะพอเห็นภาพได้บ้างนะครับ วิธีการที่ผมทำแบบนี้ อาจไม่เหมาะกับทุกคนนะครับ มันขึ้นอยู่กับพื้นฐานของแต่ละคนด้วยว่าคุณแกร่งกับตำแหน่งที่คุณอยู่แล้วหรือไม่ การแกร่งในตำแหน่งที่ตนเองอยู่นั้นเป็นพื้นฐานสำคัญในระดับต่อๆไป น้องๆที่ประสบการณ์ยังไม่ถึงที่ เป็นสิ่งสมควรและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำงานในสายงานของตนให้เชี่ยวชาญ มันเป็นเรื่องสำคัญกับตัวเราเอง ถ้าเรามองว่าเรายังต้องการความก้าวหน้าในองค์กร ซึ่งบางคนอาจจะบอกว่า จะอยู่นานๆไปทำไมล่ะพี่เงินเดือนก็เพิ่มไม่กี่เปอร์เซ็นต์ กระโดดไปที่ใหม่ดีกว่าเงินก้าวกระโดด ขอนอกประเด็นในเรื่องนี้อีกกรณีนะครับ พักหลังนี้รูปแบบการสร้างความก้าวหน้าในอาชีพเปลี่ยนไปจะใช้วิธีแบบทางลัด เรียนจบมาทำที่นึงได้ไม่นานก็กระโดดย้ายงานอัพเงินเดือน และทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องความเชี่ยวชาญในสายงานที่ตนเป็น ผมอยากให้มองถึงความเชี่ยวชาญในสายงานเป็นหลัก อย่ากระโดดแต่เพียงเฉพาะเรื่องเงินอย่างเดียว เพราะท่านจะกลายเป็นปลาติดกับ เอ๊ะ!ติดยังไงกัน จากความเห็นส่วนตัวและประสบการณ์ตรงที่เห็นๆมาหลายชีวิต คนที่ใช้วิธีการเติบโตในสายงานแบบกระโดดไปมาจะเกิดปัญหาเมื่ออายุงานเริ่มมากขึ้นและตำแหน่งที่กระโดดก็เริ่มสูงขึ้นความรับผิดชอบก็มากขึ้นและแน่นอนความคาดหวังมากขึ้นและมันมาพร้อมกับความกดดัน และเมื่อเราไม่แกร่งพอ คุณจะเป็นทุกข์อย่างมากและอึดอัดกับที่ทำงาน แน่นอนคุณจะต้องหางานใหม่เหมือนที่คุณทำมาตลอด แต่โอกาสเงินเดือนและตำแหน่งที่คุณขึ้นไปมันน้อยลงแล้วไม่เหมือนตอนสมัยจูเนีย ตรงนี้ล่ะจุดเปลี่ยน ในความเห็นผมถ้าคุณทำงานมาถึง ณ จุดนี้ แต่คุณยังไม่มีความเชี่ยวชาญในสายงานในระดับที่จะเติบโตต่อไปในองค์กรได้ คุณจะเข้าสู่โหมดเลือกเส้นทางการทำงานของคุณในสามเส้นทางนี้ คือ หนึ่งลาออกด้วยเหตุผลคลาสสิกคือไปทำธุรกิจส่วนตัว สองยอมอยู่ในองค์กรต่อไปในสภาพคนหมดไฟในการทำงาน และทางสุดท้ายก็กลับไปวนลูบหางานใหม่จนกว่าจะมีความเชี่ยวชาญในสายงานสักด้านหนึ่ง ตรงนี้คือจุดที่ธรรมชาติในองค์กรคัดกรองกลุ่มคนเพื่อก้าวเป็นกลุ่มผู้นำองค์กรในรุ่นต่อไป ครับอ่านมาถึงจุดนี้บางคนคงมีข้อเห็นต่างจากที่ผมกล่าวไม่มากก็น้อย ก็ไม่ผิดนะครับสภาวะแวดล้อมของแต่ละบุคคลมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันตามลักษณะนิสัยหรือสภาพองค์กร ส่วนท่านที่เห็นด้วยก็ลองนำไปพิจารณาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเอานะครับ
เขียนๆไปท่าจะเยอะ หุหุ ยังไม่ได้มาถึงสวีเดนเลยเนี่ย ความจริงก็จะถ่ายทอดให้เกิดประโยชน์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นะครับ การจะอธิบายบางสิ่งบางทีมันไม่ได้ง่ายที่จะเขียนว่ามั๊ยครับ งั้นผมขอสรุปให้เข้าใจสั้นๆ เพื่อท่านผู้อ่านจะได้นำไปปรับใช้กันนะครับ สำหรับการที่ผมจะได้โอกาสมาทำงานที่สวีเดนนี้ ก็ต้องเป็นคนมองมุมบวกให้เป็นและใช้มันสร้างโอกาสให้กับตัวเอง ลุยกับงานที่ท้าทายแม้มันจะเหนื่อหรือยากก็สู้ หาโอกาสที่จะได้ทำงานท้าทายอยู่เสมอ และแน่นอนครับฝึกฝนตนเองตลอดเวลาและทำงานในสายงานตนเองให้เชี่ยวชาญเพราะมันคือพื้นฐานสำคัญในการทำงานในระดับต่อไป ครับผมคิดว่าคงต้องขอยกส่วนที่เหลือไปอีกตอนเป็นตอนจบ ซึ่งจะได้เล่าถึงประสบการณ์ดีๆในต่างแดนที่สวีเดนดินแดนแสกนดิเนเวียร์ แห่งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าประสบการณ์ที่ได้แชร์ให้ท่านผู้อ่านได้ฟังจะเป็นประโยขน์แก่ท่านไม่มากก็น้อย ติชมประการใดหรือต้องการส่วนใดเพิ่มเติมก็ถามกันมาได้นะครับ ยินดีน้อมรับด้วยใจเพื่อพี่น้องคนไทยได้ไปถึงฝันนะครับ เดี๋ยวสัปดาห์หน้ามาอ่านตอนจบกันนะครับ.😊
https://ppantip.com/topic/36779909