+ + + น้ำตาพญานาค – ตำนานเมืองหนองหานหลวง สกลนคร + + +

น้ำท่วมเมืองสกลฯครั้งนี้ นับว่าหนักหนาสาหัสพอสมควร พ่อบอกว่า ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเห็นน้ำท่วมหนักและไหลบ่ามาอย่างรวดเร็วเท่าครั้งนี้ โชคดีที่บ้านคุณอาที่อยู่ในเขตเทศบาลนครนั้นตั้งอยู่ที่เนินสูง น้ำก็ไม่ได้ท่วม มีเพียงแต่โตโยต้ายารีส  ที่เป็นรถของน้องลูกคุณอา ที่ขับไปเที่ยวและจอดไว้บ้านเพื่อนในตัวเมือง อันนี้คงลอยไปกับน้ำแล้ว  อ่ะ ล้อเล่นค่ะ ก็ไม่ได้ลอยไปกับน้ำหรอก แต่ว่าเสียหายทั้งคัน



ที่บ้านของนู๋นิดนั้น ไม่ได้มีความเสียหายอะไร เพราะบ้านอยู่ใต้อ่างเก็บน้ำถ้ำพระทอง แม้อ่างเก็บน้ำบนภู จะมีน้ำล้นเอ่อ แต่ก็มีการระบายน้ำทันก่อนที่อ่างจะแตก ที่บ้านจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไร มีเพียงแค่น้ำป่าบนภูไหลบ่ามาท่วมมิดนาข้าว จนกลายเป็นทะเลไปชั่วขณะ แต่ก็แค่วันเดียวเท่านั้น น้ำก็ลดแล้ว
แม่กับเพื่อนๆยกโขยงไปยกยอกันสนุกสนาน ได้ปลาช่อน ปลาหมอ ปลาดุก ปลาตะเพียนมามากมาย  พ่อกับลุงไหม ก็พากันออกไปปักเบ็ดที่นา ได้ปลาช่อนตัวโตเกือบกิโลมาขาย ได้เงินกันเป็นหลักหลายพันอยู่



ที่เล่ามานี้ ไม่ได้หมายความว่า พวกเรามีความสุขสนุกสนาน อยู่บนความทุกข์ของคนอื่นหรอกนะคะ วันก่อนโทรฯหาพ่อ พ่อบอกว่า ที่หมู่บ้านเค้าพากันจัดตั้งกองทุน รับบริจาคทั้งเงิน สิ่งของ ข้าวปลาอาหารแห้ง เพื่อนำไปช่วยคนในเมือง พ่อก็นำข้าวสารทั้งข้าวเจ้า ข้าวเหนียว อย่างละ 2 กระสอบ ปลาแดดเดียว (ที่พ่อได้มาจากการปักเบ็ด) ถุงใหญ่ๆ  ฝรั่งในสวนของเราอีก 20 กว่ากิโล  มารวมกันที่ศูนย์ศาลาเอนกประสงค์ของหมู่บ้าน  ก็ได้ของที่รวบรวมกันจากหมู่บ้านเราเยอะอยู่ ค่ะ  5คันรถปิ๊กอัพ จากนั้นก็พากันเคลื่อนคาราวาน ไปตัวเมือง ไปช่วยแจกข้าวปลาอาหาร น้ำดื่ม ให้กับผู้ที่ประสบภัยน้ำท่วม
นู๋นิดเองได้โอนตังค์ ไปให้พ่อ เพื่อนำไปบริจาคช่วยเหลือคนประสบภัยน้ำท่วมด้วยค่ะ



ดอกไม้  [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ตัวเมืองสกลฯ ลักษณะทางภูมิศาสตร์จะเป็นแอ่งกระทะ ลาดเอียงใต้เทือกเขาภูพาน เป็นเมืองที่เป็นร่องมรสุม หน้าร้อนร้อนจัด หน้าหนาว(บางปี)หนาวจัด  เมื่อปี 58 ที่บ้านนู๋นิดวัดอุณหภูมิตอนเช้าได้ 8 องศาเซลเซียส  เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ ประเพณีวัฒนธรรมที่หลากหลายยาวนาน และน่าสนใจ ชาวคนสกลฯ สืบเชื้อสายเผ่าพันธุ์มาจากชนหลายกลุ่ม จึงมีภาษาพูด ประเพณีและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไป ในแต่ละอำเภอ  นู๋นิดเองเป็นคนภูไทจึงสวย (โห ... มันกล้าเล่นมุขนี้เนาะ)

เมืองสกลฯ มีนิทานปรัมปรา ที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย ก็คือ เรื่องท้าวผาแดงกับนางไอ่คำ และท้าวภังคี  ใครอยากอ่านก็สามารถค้นหาอ่านกันได้จากอากู๋  แต่สำหรับนู๋นิด เป็นนิทานที่คุณย่าเล่าให้ฟัง สมัยที่นู๋นิดยังเป็นเด็ก วันไหนเดือนหงาย พวกเราเด็กๆ ก็มานอนหนุนตักคุณย่าที่นอกชานเรือนที่เปิดโล่ง เป็นทางเชื่อมระหว่าง ตัวเรือนใหญ่ กับ เรือนครัว นอนนับดาวไป ก็ฟังคุณย่าเล่านิทานไป ช่างมีความสุขและไร้เดียงสาจริงหนอ .... โอย อยากกลับไปเป็นเด็กอีกจัง

นิทานอาจจะแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น ออกตัวไว้ก่อนว่า อาจจะไม่เหมือนที่เค้าเขียนไว้ในหน้าประวัติศาสตร์เมืองสกลนคร อันนี้คุณย่านู๋นิดเคยเล่าให้ฟัง แต่ที่นำมาเขียนกระทู้นี้ เป็นการรีไรท์จากคุณอาอีกทีหนึ่งค่ะ

กาลครั้งกระนู้น สมัยอดีตชาติ มีครอบครัวอยู่ 2 ครอบครัว สมมุติชื่อว่า เป็นนายมี กะ นายมาก็แล้วกันเนาะ  เป็นเพื่อนรักกันมาก  ต่อมาผู้เป็นภรรยาของทั้งสองครอบครัว ก็เกิดตั้งครรภ์ขึ้นพร้อมกันอีก  และต่างได้ตกลงกันว่า ถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ลูกสาว หรือลูกชาย ก็จะให้มั่นหมายแต่งงานกันเมื่อตอนโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว

ต่อมา เมียของนายมี ได้ไปเยี่ยมเมียของนายมา เพื่อจะถามข่าวคราวเรื่องท้องเรื่องไส้ และบังเอิญไปเห็นส้มโอออกลูกเต็มต้น จึงเกิดอาการแพ้ท้องอยากกินส้มโอขึ้นมา จึงได้เอ่ยปากขอส้มโอกับเมียนายมา เพื่อจะเอามากินให้หายแพ้ท้อง

อันเมียนายมานี้เป็นคนมีนิสัยตระหนี่ถี่เหนียวอยู่เป็นทุนเดิม ก็หวงส้มโอเอาไว้ โดยบอกกับเมียนายมีว่า ส้มโอมันยังไม่สุก กินไปก็ขมไม่อร่อย ไม่ดีต่อสุขภาพว่างั้น  ทำให้เมียนายมีได้แต่เก็บอาการโกรธและเสียหน้าเอาไว้ แล้วก็ขอลากลับบ้านทันที

พอถึงบ้านเมียนายมี ก็ได้เล่าเรื่องนี้ให้สามีฟัง นายมีเองก็พลอยโกรธขึ้งขึ้นมาเช่นกัน  อะไรวะ ของแค่นี้ขอกันกินก็ไม่ได้  นายมีจึงได้ไปที่บ้านนายมา และขอยกเลิกสัญญาที่จะให้ลูกแต่งงานกัน และขาดความเป็นเพื่อนซี้กันนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ต่อมา เมื่อต่างฝ่ายต่างก็คลอดลูกออกมาพร้อมๆกัน นายมี ได้ลูกชายให้ชื่อว่า “ท้าวขูลู”  ส่วนนายมาได้ลูกสาว ให้ชื่อว่า “นางอั้ว” เมื่อเด็กทั้งสองเติบโตขึ้นมา ท้าวขูลูนั้น เป็นชายหนุ่มรูปหล่อปานเทพบุตร ส่วนนางอั้ว ก็เป็นสาวสวยสะพรั่ง  ผิวขาวยังกะหยวกกล้วย ผมดำยาวสลวย ตาโตดำขลับ ปากแดงระเรื่อจิ้มลิ้ม ยังกะเทพธิดาจำแลงมา (ป้าดดดดดด)

และก็เหมือนกรรมเก่าดลบันดาลให้ทั้งสองได้มาพบกัน ทันทีที่เจอหน้า ทั้งสองคนก็ต่างตกหลุมรักซึ่งกันและกันในบัดดล เมื่อศรกามเทพปักอก คนทั้งคู่ก็ไม่เป็นอันกินอันนอน หัวใจได้แต่เรียกร้องร่ำหา อยากเจอหน้าอยากพูดคุย แต่ก็ถูกพ่อแม่ของทั้งคู่กีดกัน (เพราะส้มโอแท้ๆ)

เมื่อถูกกีดกัน แต่คนทั้งคู่ต่างก็ไม่ย่อท้อ ได้พยายามลักลอบพบปะกัน  แต่แล้ว นางอั้วก็ถูกพ่อแม่จับได้  จึงได้ขังนางอั้วเอาไว้ในห้องนอน เมื่อท้าวขูลูมาหา ก็ถูกโกหกว่า นางอั้ว ได้แต่งงานกับชายอื่นไปแล้ว ท้าวขูลู จึงกลับบ้านไปด้วยความเสียใจสุดๆ

ส่วนนางอั้วนั้น ก็ถูกโกหกว่า ท้าวขูลู ไปแต่งงานกับหญิงอื่นเช่นกัน  นางอั้ว เสียใจมาก ร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ในที่สุดนางอั้วก็แอบปีนต้นมะม่วงที่ขึ้นตรงหน้าต่าง หนีไปผูกคอตายที่ในป่า นางเลือกต้นไม้สูงใหญ่ต้นหนึ่งที่มีกิ่งก้านสาขามากมาย  นางจึงได้อธิษฐานต่อต้นไม้ว่า หากกิ่งใดจะให้นางผูกคอ ขอให้โน้มกิ่งลงมา แล้วก็มีกิ่งหนึ่งค่อยๆโน้มกิ่งลงมา จนนางอั้วสามารถใช้ผ้าขาวม้า ผูกกับกิ่งไม้นั้นได้แน่นหนา เสร็จแล้วนางก็หันมาผูกอีกปลายทำเป็นห่วงคล้องคอตัวเอง เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางก็อธิฐานให้กิ่งไม้นั้น ดีดตัวขึ้นไป และกิ่งไม้ก็ดีดตัวผลึ่งขึ้นทันที ทำให้ร่างนางอั้วลอยตามขึ้นไปและสิ้นใจตายในร่มไม้ใหญ่นั่นเอง

เมื่อพ่อแม่รู้ข่าวนางอั้วผูกคอตาย ก็เสียใจมาก นำศพลูกสาวลงมาฝังไว้ใต้ต้นไม้ต้นนั้น สามวันผ่านไป ก็ได้มีต้นดอกไม้ชนิดหนึ่งขึ้นอยู่บนหลุมศพของนางอั้ว  มีดอกสีขาว แต่จะมีกลีบดอกกลีบหนึ่งยาวแหลมเล็ก ยื่นออกมา มองดูคล้ายลิ้นที่แลบออกมา เมื่อถูกรัดคอ ของคนที่ผูกคอตาย  และดอกไม้ชนิดนี้จะแปลก ตรงที่มีกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่ว เฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น  ส่วนตอนกลางวันจะไม่มีกลิ่นเลย จึงเรียกดอกไม้นี้ว่า “ดอกนางอั้ว”



ข้างฝ่ายท้าวขูลู เมื่อถูกกีดกันไม่ให้พบเจอนางอั้ว ก็ยังมีเคราะห์กรรมซ้ำสอง เมื่อพ่อแม่ ให้แต่งงานกับหญิงงามอีกคนหนึ่ง ซึ่งตรงนี้ท้าวขูลู ไม่ยินดียินร้ายอะไรกับนางเมียคนนี้เลย ไม่พูดไม่คุย ไม่มีปฏิกิริยาสัมพันธ์ เนื่องจากว่า หัวใจของท้าวขูลู นั้น เรียกร้องหาแต่นางอั้วคนเดียวเท่านั้น

ส่วนนางเมียของท้าวขูลู ก็ได้แต่ชอกช้ำเสียใจเพราะสามีไม่รัก จนทนไม่ได้ จึงได้ขอกลับไปอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านของนางตามเดิม เมื่อเป็นดังนี้ พ่อแม่ของท้าวขูลู จึงได้ขอให้ลูกชายไปเป็นเพื่อนเมียตน ในระหว่างที่เดินทางกันนั้น ท้าวขูลูก็ไม่หือไม่อือกับเมียตนแม้แต่น้อย เดินตัวปลิวลิ่วๆ ไปจนนางตามไม่ทัน
เมื่อมาถึงต้นมะเดื่อใหญ่ต้นหนึ่งที่มีลูกสุกอยู่เต็มต้น ด้วยความหิว ท้าวขูลู จึงได้ปีนขึ้นไปเก็บกินลูกมะเดื่อกินอย่างเอร็ดอร่อย นางเมียตามมาถึง ก็ขอร้องให้ท้าวขูลูเก็บลูกมะเดื่อให้นางบ้าง แต่ท้าวขูลูก็ไม่ได้นำพา เมื่อกินอิ่มแล้วก็ปีนลงมาและก็เดินทางต่อไป (โห อะไรมันจะใจดำจัง)  นางเมียจึงต้องปีนขึ้นไปเก็บลูกมะเดื่อกินเอง  เมื่อนางกินอิ่มแล้วก็ปีนลงมาและเดินตามท้าวขูลูไป แต่ก็ไม่ทัน

นางทั้งเหนื่อยและอ่อนแรง ประกอบกับสภาพจิตใจที่อ่อนล้าและบอบช้ำ  เมื่อมาถึงหนองน้ำแห่งหนึ่ง นางจึงวักกินน้ำและ ได้อธิฐานด้วยความแค้นเคืองว่า ขอจองเวรกับท้าวขูลู ถ้าเกิดชาติหน้า ขอให้ท้าวขูลู จงตกหลุมรักนางอย่างถอนตัวไม่ขึ้น และนางจะไม่เหลียวแลท้าวขูลู เหมือนที่เค้าทำกับนางในชาตินี้เช่นกัน  เมื่ออธิฐานจบ นางก็สิ้นใจตาย

ส่วนท้าวขูลูนั้น เมื่อได้รู้แน่ชัดแล้วว่า นางอั้ว ได้ผูกคอตายไปก่อนหน้านั้น ก็สุดที่จะต้านทานความโศกเศร้าเสียใจไว้ได้ จึงได้ใช้มีดแทงคอตัวเองตายตามไป

ต่อภาค 2 ที่คอมเม้นท์ 1 ค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่