สวัสดีค่ะ เมื่อปีที่แล้วเราได้โปรตั๋วถูกจากหางแดง ดอนเมืองไปบาหลี และขากลับขึ้นจากเมืองสุรบายามาดอนเมือง ช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 59 เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์เที่ยวอินโดนีเซียครั้งแรกในแบบเรื่องเล่าที่เราไปพบเจอมาค่ะ จริงๆ มีเรื่อง โหด มันส์ ฮา หลายเรื่องแต่ว่าเราลืมไปบ้างแล้ว เลยเขียนเท่าที่พอจะนึกขึ้นมาได้ ลองไปอ่านกันดูนะคะ
ตอนที่ 1 : บาหลีจ๋า พี่มาแล้ว
ปึ้งงงงงง....... เสียงล้อหลังของเครื่องบินกระแทกรันเวย์ ณ สนามบินเดนปาซาร์ งูราห์ไร (DPS/WADD) นั่นเป็นสัญญานบอกว่าเราได้เดินทางมาถึงที่หมายแล้ว และเสียงนั้นก็ยังเป็นเหมือนนาฬิกาปลุกให้ตื่นขึ้นจากการหลับไหลตลอดสี่ชั่วโมงของการเดินทาง หลังจากผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองเสร็จเรียบร้อยเราก็ออกมาด้านหน้าอาคารเพื่อมองหารถแท็กซี่เข้าไปยังอูบุด เขตเมืองเก่าที่ห่างออกไปจากสนามบินราวๆ หนึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ สุดท้ายเราก็ได้แท็กซี่ในราคาที่ต่อรองแล้ว สนนราคาอยู่ที่ 270,000 IDR (รูเปียอินโดนีเซีย) ตอนนั้นก็ยังคิดว่าแพงอยู่นะ แต่เมื่อเดินวนๆ ถามอยู่หลายคน นี่เป็นราคาที่ถูกที่สุดเท่าที่สามารถต่อรองได้แล้ว ยิ่งพอไปถามเค้าเตอร์ราคาก็แพงเพิ่มขึ้นกว่านี้ เลยตัดสินใจเลือกพี่คนนี้แหละ เอาวะมากันสองคน คงไม่แพงมากเท่าไหร่ พี่คนขับแท็กซี่พาเราขึ้นไปบนอาคารจอดรถ รถของพี่เขาเป็นรถบ้านธรรมดาทั่วไปนี่ล่ะ แต่เอามารับจ้างและเขาก็มีบัตรประจำตัวคนขับแท็กซี่ด้วยนะ ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงอูบุด ไกลจริงๆ แต่ก็คงสมแก่ราคาที่เสียไปล่ะเนาะ
ที่พักของเราชื่อ Indalodge hostel เราพักที่นี่กันสองคืน ห้องพักเป็นห้องรวมแบบ 8 เตียงมีห้องน้ำในตัวแต่ไม่มีแอร์ มีแต่พัดลมเพดานและลมธรรมชาติเท่านั้น ตอนนอนก็จะเหนียวตัวอยู่หน่อยๆ แอบชื้นเบาๆ เพราะฝนตกทุกคืน บรรยากาศมันช่างดี๊ดี มีเสียงกบเขียดร้องรำไร อื้อหือ คิดฮอดอิสานบ้านนาขึ้นมาทันทีเลย
การเดินทางในเกาะบาหลีนี้สามารถทำได้หลายแบบทั้งการซื้อทัวร์ หรือเช่ารถพร้อมคนขับเที่ยวก็ได้ แต่เราเลือกที่เช่ารถมอเตอร์ไซต์ตะลอนไปทั่วเกาะเพราะประหยัดกว่ากันเยอะ เอ้าาาาา แว้นกันไปยาวๆ ให้ดากด้านกันไปข้างหนึ่งเลยจ้าาาา ทำไมถึงจะด้านน่ะเหรอ ก็มันไกลมากกกเลยน่ะสิคะ สถานที่เที่ยวแต่ละแห่งห่างกันราวๆ 30-50 กิโลจ้า มือใหม่หัดแว้นอย่างเราก็ต้องเปิด google map สิ หลงบ้าง เลี้ยวผิดบ้าง ต้องขอบคุณซิมฟรีที่มีเน็ตพร้อมใช้ จากพี่และน้องที่ให้เรามาใช้ต่อ ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ
(Uluwatu Temple - Pura Luhur Uluwatu)
วัด Uluwatu เป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูง และมีจุดชมวิวที่สวยงาม มองไปเห็นทะเลไกลสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว เหมาะแก่การไปชมพระอาทิตย์ตกด้วยนะ แต่เราไม่มีเวลาอยู่ดู เพราะต้องไปยังสถานที่อื่นๆ ต่อ เวลามีน้อยต้องใช้สอยอย่างประหยัด การเดินทางมาที่นี่เราขี่มอเตอร์ไซต์มาทางสนามบินเดนปาซาร์ และขี่ผ่านทางด่วนที่ตัดผ่านท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ทีแรกเราก็คิดว่า "เห้ยยยย มอเตอร์ไซต์จะผ่านไปได้เหรอวะ" แต่พอเห็นเพื่อนร่วมทางที่เป็นสายแว้นเหมือนกันขับไปอย่างมั่นใจแค่นั้นแหละ เราก็เลยขี่ตามไป เออ มันก็ดีแฮะ ไม่เคยขี่รถมอเตอร์ไซต์ขึ้นทางด่วนแบบนี้มาก่อน เห้ยยยยยยย !!! มันดีเว้ยยยย ลมพัดตีหน้าพรึบๆ ด้วยยยยยอ่ะ
(Tanah Lot Temple)
วัด Tanah Lot เป็นอีกหนึ่งวัดที่ตั้งอยู่ริมทะเล ที่นี่ยังถือว่าเป็นแลนด์มาร์คหรือสัญลักษณ์สำคัญของเกาะบาหลีด้วย ไม่ว่าใครๆ ก็ต้องมาชมให้ได้ ภาพของวัดนี้คงจะเห็นผ่านตากันมามากจากโปสการ์ดหรือหนังสือโปรโมทการท่องเที่ยวของเกาะบาหลี หลังจากที่นำรถเครื่องคู่ใจของเราจอดแล้วเราก็เดินตามทางลาดยาว ที่มีร้านรวงขายอาหาร ขายของฝากอยู่สองข้างทางก่อนเดินไปถึงตัววัด แต่เราไม่ได้ใช้ตังค์หรอกค่ะ เพราะเราขี้งก ว่ะฮ่าๆๆๆๆๆ ขากลับสามารถเดินมาที่จอดรถโดยที่ไม่ต้องผ่านร้านรวงพวกนั้นได้เลย
(Pura Ulun Danu Bratan)
วัด Ulun Danu Bratan หรื่อชื่อเรียกย่อๆ คือ Pura Bratan (วัดบราตัน) เป็นวัดริมทะเลสาบแห่งเกาะบาหลีที่ตั้งอยู่บนเขา และในการเดินทางขึ้นเขาครั้งนี้เราก็ขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นเช่นเดิม ต้องแวะถามคนแถวนั้นอยู่เป็นระยะๆ ว่าเรามาถูกทางหรือเปล่า ทางขึ้นค่อนข้างไกลและในตอนนั้นก็ใกล้จะมืดแล้วด้วย หากว่าเราไปผิดที่และหลงทางขึ้นมาจะทำให้เราเสียเวลาอย่างมาก แต่จนแล้วจนรอดเราก็ดั้นด้นจนขึ้นมาถึงวัดนี้ได้ ตอนไปถึงก็ไม่ค่อยจะมีคนแล้ว เจ้าหน้าที่จึงลดราคาค่าบัตรเข้าชมให้ด้วย (แหม พี่ๆใจดีจังเลยค่ะ ^^) โชคดีที่แสงยังมีทำให้เราพอถ่ายรูปได้ อยู่ได้เพียงแปปเดียว เราก็ต้องรีบกลับลงมา ด้วยเกรงว่าถ้ามืดแล้วขาลงเขาจะเป็นอันตรายและจะไปคืนรถไม่ทัน ซึ่งเราก็คืนรถไม่ทันจริงๆ ค่ะ ก็เลยโทรไปบอกร้านเช่ารถว่าจะคืนช้าหน่อย ให้คิดค่าล่วงเวลาได้เลยจ้า การขี่มอเตอร์ไชต์ลงเขาในเวลาสองทุ่มคงจะไม่น่ากลัวมากนัก หากว่าที่นั่นเป็นบ้านเมืองของเรา แต่นี่ไม่ใช่ไงคะ ก็เลยรู้สึกหวั่นๆ ไหวๆ กันบ้าง ข้างทางมืดไปหมด พร้อมกับอากาศเย็นๆ ของฤดูฝน ทำให้ต้องรีบขี่เพื่อจะให้เข้าเขตชุมชน และถึงที่พักโดยเร็วที่สุด
ระหว่างทางกลับที่พักเราก็เห็นว่ามีงานวัดแบบฮินดูอยู่ เลยขอแวะสักหน่อยก่อนกลับที่พัก บรรยากาศภายในก็คล้ายกับงานวัดบ้านเราอยู่หน่อยๆ เป็นงานวัดเล็กๆ มีขนม ลูกชิ้น ก๋วยเตี๋ยว ขายอยู่ 4-5 ร้าน ภายในโบสถ์ด้านในมีการทำพิธีกรรมอยู่แต่เราไม่สามารถเข้าไปดูได้ เพราะไม่ได้ใส่โสร่ง ซึ่งจะเห็นได้จากในภาพว่าทุกคนทั้งหญิงและชายสวมใส่โสร่งกันหมด เอาล่ะ ชิมของท้องถิ่นแปลกๆ และซึบซับบรรยากาศงานวัดเสร็จก็ได้เวลาไปคืนรถ (พร้อมทั้งเสียค่าล่วงเวลาด้วยนะ) และกลับไปพักผ่อนละจ้าาา
(Balinese cuisine)
อาหารสไตล์บาหลี ไม่ใช่แค่หน้าตาดีนะ รสชาติก็ดีอีกด้วย โดยเฉพาะหมูชิ้นนั้น มันจะหวานๆ อร่อยๆ หน่อย อ่ะฮื้อออ กินกับเบียร์บาหลี จิบเบาๆ นะแก เข้ากั๊นเข้ากันนน
ถึงเวลาที่จะต้องโบกมือบ้ายบายเกาะบาหลีแล้วสินะ รู้สึกว่ายังไม่ค่อยเต็มอิ่มและยังไปได้ไม่ทั่วเกาะเลย เอาเป็นว่าหากมีเวลาจะมาเยี่ยมพี่บาหลีใหม่นะ
ครั้งแรกไม่รู้ลืมที่ INDONESIA
ตอนที่ 1 : บาหลีจ๋า พี่มาแล้ว
ปึ้งงงงงง....... เสียงล้อหลังของเครื่องบินกระแทกรันเวย์ ณ สนามบินเดนปาซาร์ งูราห์ไร (DPS/WADD) นั่นเป็นสัญญานบอกว่าเราได้เดินทางมาถึงที่หมายแล้ว และเสียงนั้นก็ยังเป็นเหมือนนาฬิกาปลุกให้ตื่นขึ้นจากการหลับไหลตลอดสี่ชั่วโมงของการเดินทาง หลังจากผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองเสร็จเรียบร้อยเราก็ออกมาด้านหน้าอาคารเพื่อมองหารถแท็กซี่เข้าไปยังอูบุด เขตเมืองเก่าที่ห่างออกไปจากสนามบินราวๆ หนึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ สุดท้ายเราก็ได้แท็กซี่ในราคาที่ต่อรองแล้ว สนนราคาอยู่ที่ 270,000 IDR (รูเปียอินโดนีเซีย) ตอนนั้นก็ยังคิดว่าแพงอยู่นะ แต่เมื่อเดินวนๆ ถามอยู่หลายคน นี่เป็นราคาที่ถูกที่สุดเท่าที่สามารถต่อรองได้แล้ว ยิ่งพอไปถามเค้าเตอร์ราคาก็แพงเพิ่มขึ้นกว่านี้ เลยตัดสินใจเลือกพี่คนนี้แหละ เอาวะมากันสองคน คงไม่แพงมากเท่าไหร่ พี่คนขับแท็กซี่พาเราขึ้นไปบนอาคารจอดรถ รถของพี่เขาเป็นรถบ้านธรรมดาทั่วไปนี่ล่ะ แต่เอามารับจ้างและเขาก็มีบัตรประจำตัวคนขับแท็กซี่ด้วยนะ ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงอูบุด ไกลจริงๆ แต่ก็คงสมแก่ราคาที่เสียไปล่ะเนาะ
ที่พักของเราชื่อ Indalodge hostel เราพักที่นี่กันสองคืน ห้องพักเป็นห้องรวมแบบ 8 เตียงมีห้องน้ำในตัวแต่ไม่มีแอร์ มีแต่พัดลมเพดานและลมธรรมชาติเท่านั้น ตอนนอนก็จะเหนียวตัวอยู่หน่อยๆ แอบชื้นเบาๆ เพราะฝนตกทุกคืน บรรยากาศมันช่างดี๊ดี มีเสียงกบเขียดร้องรำไร อื้อหือ คิดฮอดอิสานบ้านนาขึ้นมาทันทีเลย
การเดินทางในเกาะบาหลีนี้สามารถทำได้หลายแบบทั้งการซื้อทัวร์ หรือเช่ารถพร้อมคนขับเที่ยวก็ได้ แต่เราเลือกที่เช่ารถมอเตอร์ไซต์ตะลอนไปทั่วเกาะเพราะประหยัดกว่ากันเยอะ เอ้าาาาา แว้นกันไปยาวๆ ให้ดากด้านกันไปข้างหนึ่งเลยจ้าาาา ทำไมถึงจะด้านน่ะเหรอ ก็มันไกลมากกกเลยน่ะสิคะ สถานที่เที่ยวแต่ละแห่งห่างกันราวๆ 30-50 กิโลจ้า มือใหม่หัดแว้นอย่างเราก็ต้องเปิด google map สิ หลงบ้าง เลี้ยวผิดบ้าง ต้องขอบคุณซิมฟรีที่มีเน็ตพร้อมใช้ จากพี่และน้องที่ให้เรามาใช้ต่อ ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ
(Uluwatu Temple - Pura Luhur Uluwatu)
วัด Uluwatu เป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูง และมีจุดชมวิวที่สวยงาม มองไปเห็นทะเลไกลสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว เหมาะแก่การไปชมพระอาทิตย์ตกด้วยนะ แต่เราไม่มีเวลาอยู่ดู เพราะต้องไปยังสถานที่อื่นๆ ต่อ เวลามีน้อยต้องใช้สอยอย่างประหยัด การเดินทางมาที่นี่เราขี่มอเตอร์ไซต์มาทางสนามบินเดนปาซาร์ และขี่ผ่านทางด่วนที่ตัดผ่านท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ทีแรกเราก็คิดว่า "เห้ยยยย มอเตอร์ไซต์จะผ่านไปได้เหรอวะ" แต่พอเห็นเพื่อนร่วมทางที่เป็นสายแว้นเหมือนกันขับไปอย่างมั่นใจแค่นั้นแหละ เราก็เลยขี่ตามไป เออ มันก็ดีแฮะ ไม่เคยขี่รถมอเตอร์ไซต์ขึ้นทางด่วนแบบนี้มาก่อน เห้ยยยยยยย !!! มันดีเว้ยยยย ลมพัดตีหน้าพรึบๆ ด้วยยยยยอ่ะ
(Tanah Lot Temple)
วัด Tanah Lot เป็นอีกหนึ่งวัดที่ตั้งอยู่ริมทะเล ที่นี่ยังถือว่าเป็นแลนด์มาร์คหรือสัญลักษณ์สำคัญของเกาะบาหลีด้วย ไม่ว่าใครๆ ก็ต้องมาชมให้ได้ ภาพของวัดนี้คงจะเห็นผ่านตากันมามากจากโปสการ์ดหรือหนังสือโปรโมทการท่องเที่ยวของเกาะบาหลี หลังจากที่นำรถเครื่องคู่ใจของเราจอดแล้วเราก็เดินตามทางลาดยาว ที่มีร้านรวงขายอาหาร ขายของฝากอยู่สองข้างทางก่อนเดินไปถึงตัววัด แต่เราไม่ได้ใช้ตังค์หรอกค่ะ เพราะเราขี้งก ว่ะฮ่าๆๆๆๆๆ ขากลับสามารถเดินมาที่จอดรถโดยที่ไม่ต้องผ่านร้านรวงพวกนั้นได้เลย
(Pura Ulun Danu Bratan)
วัด Ulun Danu Bratan หรื่อชื่อเรียกย่อๆ คือ Pura Bratan (วัดบราตัน) เป็นวัดริมทะเลสาบแห่งเกาะบาหลีที่ตั้งอยู่บนเขา และในการเดินทางขึ้นเขาครั้งนี้เราก็ขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นเช่นเดิม ต้องแวะถามคนแถวนั้นอยู่เป็นระยะๆ ว่าเรามาถูกทางหรือเปล่า ทางขึ้นค่อนข้างไกลและในตอนนั้นก็ใกล้จะมืดแล้วด้วย หากว่าเราไปผิดที่และหลงทางขึ้นมาจะทำให้เราเสียเวลาอย่างมาก แต่จนแล้วจนรอดเราก็ดั้นด้นจนขึ้นมาถึงวัดนี้ได้ ตอนไปถึงก็ไม่ค่อยจะมีคนแล้ว เจ้าหน้าที่จึงลดราคาค่าบัตรเข้าชมให้ด้วย (แหม พี่ๆใจดีจังเลยค่ะ ^^) โชคดีที่แสงยังมีทำให้เราพอถ่ายรูปได้ อยู่ได้เพียงแปปเดียว เราก็ต้องรีบกลับลงมา ด้วยเกรงว่าถ้ามืดแล้วขาลงเขาจะเป็นอันตรายและจะไปคืนรถไม่ทัน ซึ่งเราก็คืนรถไม่ทันจริงๆ ค่ะ ก็เลยโทรไปบอกร้านเช่ารถว่าจะคืนช้าหน่อย ให้คิดค่าล่วงเวลาได้เลยจ้า การขี่มอเตอร์ไชต์ลงเขาในเวลาสองทุ่มคงจะไม่น่ากลัวมากนัก หากว่าที่นั่นเป็นบ้านเมืองของเรา แต่นี่ไม่ใช่ไงคะ ก็เลยรู้สึกหวั่นๆ ไหวๆ กันบ้าง ข้างทางมืดไปหมด พร้อมกับอากาศเย็นๆ ของฤดูฝน ทำให้ต้องรีบขี่เพื่อจะให้เข้าเขตชุมชน และถึงที่พักโดยเร็วที่สุด
ระหว่างทางกลับที่พักเราก็เห็นว่ามีงานวัดแบบฮินดูอยู่ เลยขอแวะสักหน่อยก่อนกลับที่พัก บรรยากาศภายในก็คล้ายกับงานวัดบ้านเราอยู่หน่อยๆ เป็นงานวัดเล็กๆ มีขนม ลูกชิ้น ก๋วยเตี๋ยว ขายอยู่ 4-5 ร้าน ภายในโบสถ์ด้านในมีการทำพิธีกรรมอยู่แต่เราไม่สามารถเข้าไปดูได้ เพราะไม่ได้ใส่โสร่ง ซึ่งจะเห็นได้จากในภาพว่าทุกคนทั้งหญิงและชายสวมใส่โสร่งกันหมด เอาล่ะ ชิมของท้องถิ่นแปลกๆ และซึบซับบรรยากาศงานวัดเสร็จก็ได้เวลาไปคืนรถ (พร้อมทั้งเสียค่าล่วงเวลาด้วยนะ) และกลับไปพักผ่อนละจ้าาา
(Balinese cuisine)
อาหารสไตล์บาหลี ไม่ใช่แค่หน้าตาดีนะ รสชาติก็ดีอีกด้วย โดยเฉพาะหมูชิ้นนั้น มันจะหวานๆ อร่อยๆ หน่อย อ่ะฮื้อออ กินกับเบียร์บาหลี จิบเบาๆ นะแก เข้ากั๊นเข้ากันนน
ถึงเวลาที่จะต้องโบกมือบ้ายบายเกาะบาหลีแล้วสินะ รู้สึกว่ายังไม่ค่อยเต็มอิ่มและยังไปได้ไม่ทั่วเกาะเลย เอาเป็นว่าหากมีเวลาจะมาเยี่ยมพี่บาหลีใหม่นะ