สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ทริปนี้เราจะเดินทางไปยังบาหลี ประเทศอินโดนีเซียกันนะคะ ทริปนี้ 4 วัน 3 คืนค่ะ

บาหลีเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ และวัฒนาธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ใครเป็นสายมูห้ามพลาดนะ

สถานที่ที่เราจะไปกันมีทั้งหมด 9 แห่ง ถือเป็น highlight ที่น่าสนใจเลยค่ะ

Day-1 : ทริปแรกของการเดินทางโดยไม่มีสามีมาด้วย (ตื่นเต้นพอควร) และเป็นทริปที่โชคดีมากๆ เหมือนจับได้รางวัลทริปท่องเที่ยวมา

เพราะได้รับการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ใจดีค่ะ กราบขอบพระคุณอย่างสูง

เรามาถึงสนามบินดอนเมืองภายในเวลาไม่เกินตี 4 ครึ่ง และพร้อมออกเดินทางไปยังท่าอากาศยานนานาชาติงูระห์ไร บาหลี

ประเทศอินโดนีเซีย ด้วยเที่ยวบิน FD 396 สายการบินแอร์เอเชีย เวลา 06:15 โชคดีมากที่ได้นั่งริมหน้าต่าง เราจึงได้เห็นสภาพอากาศตลอดเส้นทาง

ทั้งแดด-ฝน แม้ในบางช่วงสภาพอากาศจะไม่ค่อยเป็นใจ แต่ยังดีที่ตอนใกล้ถึงท้องฟ้าเปิด ทำให้เรามองเห็นภูเขาไฟอันยิ่งใหญ่ สวยงาม

สมกับเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยภูเขาไฟจริงๆ ดูภูเขาไฟเพลินๆ เราก็มาถึงสนามบินตามแผน ประมาณ 11:00 น.

ถึงสนามบินงูระห์ไรเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินทางไปทานมื้อเที่ยงกันก่อนเลย ที่ร้าน Pondok Tempo Doeloe

ห่างจากสนามบินประมาณ 15 นาที ร้านนี้เค้าดังไก่ย่างและน้ำจิ้มที่มีหน้าตาคล้าย ๆ บ้านเรา ประมาณน้ำพริกหนุ่ม แต่เค้าใช้พริกสีแดง

รสชาติไม่จัดจ้านมากนัก ส่วนเมนูปลาก็จะคล้าย ๆ ปลาสามรส รสชาติใช้ได้ หรือหิวก็ไม่รู้ อร่อยไปหมด 

บนโต๊ะจะมีชามใส่น้ำเปล่าไว้ให้เราล้างมือ (อย่าเผลอดื่มหละ..55)

นอกจากอาหารก็มีเครื่องดื่มเป็นชาคล้ายชาดำเย็นอร่อยดีชอบค่ะ ส่วนของหวานเหมือนน้ำแข็งใสบ้านเรา

ใส่เฉาก๋วยข้าวโพดใส่น้ำแดงใส่นม ประมาณนั้น แต่เค้าใส่อะโวคโด้ด้วย (โคตรไม่เข้ากัน..55++) 

อิ่มแล้วก็ไปเที่ยวกันได้เลย สถานที่แห่งแรกมีชื่อว่า Pura Ulun Danu Bratan หรือเรียกสั้น ๆ ว่า Pura Bratan

เป็นวัดประจำศาสนาฮินดูที่ถูกก่อสร้างขึ้นกลางทะเลสาบ Bratan เพื่อบูชา Dewi Danu เทพเจ้าฮินดูผู้ดูแลน้ำและทะเลสาบแห่งนี้ค่ะ

เราใช้เวลาเดินทางจากร้านอาหารมายังวัดกลางน้ำนี้ประมาณ 2 ชั่วโมงนิด ๆ จากแผนที่วิ่งขึ้นไปทางตอนเหนือเกาะ

ก็เกือบบนสุดของเกาะบาหลีเลย ในแผนไม่มีการไปสถานที่แห่งนี้นะ แต่ไกด์เราอยากให้เรามาชมที่นี่

เพราะถือว่าที่นี่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ประจำประเทศ และถ้าลองหยิบธนบัตร 50,000 รูเปียมาดู จะสังเกตเห็นวัดทรงสูง

ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางแม่น้ำ ก็คือสถานที่แห่งนี้นั่นเองจ๊ะ...

จากนั้นเราจะลงเขาเพื่อเดินทางไปยังวัดทานาล็อต เพื่อชมความงามของวัดเมื่อยามพระอาทิตย์ตกดิน แต่ก็ไม่เป็นไปตามคาด

เรามาไม่ทันพระอาทิตย์ตกดินจ้า และความสวยก็ลาลับไปกับแสงพระอาทิตย์เป็นที่เรียบร้อยค่ะ

ก็กว่าจะลงเขาจากวัดลอยน้ำมาใช้เวลาเกือบชั่วโมงครึ่ง (17.00-18.30 น.) แต่ไหนๆ มาแล้ว ก็ต้องลงไปดูสักหน่อย

เราผ่านซุ้มประตูทางเข้าซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของบาหลีเช่นเคย ละก็ต้องเดินผ่านถนนคนเดิน ซึ่งเป็นแหล่งรวมของฝาก ของที่ระลึก

รวมถึงร้านอาหารด้วยค่ะ บรรยากาศก็จะคล้ายๆ ข้าวสารบ้านเรานะ เดินชมข้างทางสักพักเราก็จะถึงทางเข้าวัด

ซึ่งเป็นซุ้มประตู และสามารถเดินลงไปฟังเสียงคลื่นบริเวณด้านล่าง แต่ก็ถ่ายอะไรไม่ค่อยได้เพราะมันมืดแล้ว

เวลาเดินก็ต้องระวังด้วย เพราะมีโขดหินที่ลื่นมาก ที่นี่จึงไม่เหมาะกับการมาตอนเย็นหรือตอนกลางคืนเลย (น่าจะต้องมาใหม่)

จากวัดทานาล็อต เราก็เดินทางมารับประทานอาหารเย็นกันที่ Istana Naga Purba ซึ่งเป็นร้านอาหารจีน ส่วนตัวคิดว่าไม่แย่นะ

ก่อนมาบาหลีก็หวั่นใจเบาๆ ว่าจะกินอาหารบ้านเค้าได้มากน้อยแค่ไหน แต่ก็อยากลอง เค้ามีอะไรให้กินก็ต้องลองกินดู 
จากวัดทานาล็อตมาที่ร้านอาหารนี้ก็ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนิดๆ ได้ (ประมาณ 20 กิโล) กำลังหิวขั้นสุดพอดี
ร้านนี้เป็นร้านอาหารจีนและอาหารทะเล เปิดให้บริการสองชั้นเป็นสถานที่เปิดโล่ง บรรยากาศจี๊นจีน (ดังภาพประกอบ)

ที่อร่อยมากคือไข่เจียว 55++ ตบท้ายด้วยผลไม้ประหลาดน่าสนใจคือ “สละ” หน้าตาแปลกดีรสชาติก็แปลกด้วย มาแล้วก็ต้องลองทานดูนะ

อิ่มแล้วก็เดินทางไปเช็คอินกันค่ะ เราจะไปพักกันที่ Grand Ixora Kuta Resort พักที่นี่ตลอด 3คืน

โรงแรมอยู่ห่างจากสนามบินเพียง 3 กิโลเมตร บรรยากาศที่นี่ก็จะเงียบๆ ไม่ได้วุ่นวาย เหมาะแก่การพักผ่อน

Day-2 อรุณสวัสดิ์ยามเช้าอันงัวเงีย...เช้านี้เราจะออกไปเที่ยวเกาะบาหลีกันบ้างนะคะ หาดสวย ทะเลใส บางคนตั้งใจมาดำน้ำโดยเฉพาะเลย

เพราะน้ำทะเลใส ปะการังสวยงามค่ะ และเกาะที่เราจะไปเที่ยวกันในวันมี้ชื่อว่า เกาะ Nusa Penida แต่เราไม่ได้ไปดำน้ำหรอกนะคะ

เราจะไปชมความงามตามธรรมชาติของเค้ากันค่ะ  โดยจะมี 4 จุดที่เราจะไปกันได้แก่ เกาะไดโนเสาร์,

Broken beach เป็นผาแอ่งน้ำ, Angel Billabong เป็นแหล่งน้ำที่ขังตัวในก้อนหินที่โดนกัดเซาะ

และ Crystal beach ชายหาดที่น้ำใสราวกับคริสตัล

เราจะรับประทานอาหารเช้ากันก่อนออกเดินทางนะคะ เป็นบุฟเฟ่ของโรงแรมค่ะ แต่เล็งแล้วไม่โปรดสักอย่าง

ไม่อยากคาดเดารสชาติ และเพื่อความปลอดภัยกินหนมปัง 1 ชิ้นถ้วนพอแค่รองท้องกรุบกริบละกัน

เราออกเดินทางไปยังท่าเรือซานูร์ โดยผ่านทางด่วนพิเศษที่ทอดยาวไปบนทะเล เพื่อเลี่ยงการจราจรติดขัดในตัวเมือง

และใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที (17.6 กิโลเมตร) เราสามารถซื้อตั๋วเรือไป-กลับได้ที่จุดจำหน่าย หรือจะจองผ่านออนไลน์ก่อนล่วงหน้าก็ได้นะ

เรือที่ไปจะเป็นเรือเฟอร์รี่ ขาไปประมาณ 9 โมงเช้า ก็น่าจะเป็นรอบแรกแหละ ใช้เวลาเดินทางไปยังเกาะประมาณ 40 นาที

มื่อมาถึงบนเกาะ ไกด์แบ่งกลุ่ม 4 - 5 คน เพื่อสะดวกในการเดินทาง เพราะเส้นทางเป็นทางท้องถิ่น บนเขา โค้งคดเคี้ยวและขรุขระ

ดังนั้นเราจึงมีพลขับท้องถิ่นนำทาง เป็นเหมือนไกด์ดูแลเราตลอดวัน ไกด์คันเรามีชื่อว่า “Arata” หนุ่มน้อยประจำเกาะนูซาเปนิดา
เมื่อได้รถแล้ว ได้พลขับแล้วก็ออกเดินทางกันก่อนเลยไม่รีรอ...ลุยยย

Hi light บนเกาะ Nusa penida ที่เราจะไปเที่ยวกันในทริปนี้จะมีอยู่ 4 จุดนะคะ ซึ่งเราจะไปเกาะไดโนเสาร์ หรือ Kelingking beach
กันเป็นที่แรกค่ะ คุณ ARATAR ไกด์ท้องถิ่นของเราพาเรามุ่งตรงมาที่เกาะด้วยเส้นทางทุลักทุเล เส้นทางแคบพร้อมดินลูกรัง

แต่ก็ถูลู่ถูกังจนถึงด้วยระยะทางประมาณเกือบ 15 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีก็ถึง คือนางก็ซิ่งอะนะ

ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคนที่มา บ้างก็เช่ารถมอเตอร์ไซด์ขับกัน เพราะสะดวกมากกว่า แต่ทางเขาก็คงต้องระวังมาก ๆ
ที่เกาะไดโนเสาร์นี้เราสามารถมานอนค้างริมหาดได้ด้วยนะ มีที่พักหลายที่จะเดินชิลล์ แต่เราไปจุดชมวิวด้านบนที่สามารถเห็นชายหาดสีขาว

และรูปทรงของผาหินที่มีลักษณะคล้ายรูปหัวไดโนเสาร์ยื่นออกไปสู่ท้องทะเลสีครามสวยงามมากค่ะ 

ก่อนจะไปจุดที่ 2 ก็ใกล้เวลาอาหารเที่ยงแล้วไกด์พาเราไปรวมตัวกันที่ร้าน Sri Seganing Resto & Bar ห่างจากเกาะไดโนเสาร์
ประมาณเกือบ 2 กิโลเมตร ไม่ถึง 10 นาทีก็มาถึง อาหารมื้อนี้เป็นบุฟเฟ่ต์แบบพิเศษ เป็นอาหารของคนอินโดเลยอะ ข้าวเกรียบ ผัดมาม่าแบบแปลกตา

ไก่อะไรก็ไม่รู้ ไปไม่ทันไม่ได้กินเลยจ้า ผลไม้ตามฤดูคือแตงโมอย่างเดียว พร้อมน้ำชาอะไรก็ไม่รู้

สรุปว่าไม่รู้ได้อะไรมากิน ไปยืนต่อคิวเป็นคนสุดท้ายไม่เหลือสภาพของความเป็นอาหารเลย (อยากจิร้องไห้)

จากเกาะไดโนเสาร์เรามุ่งหน้ามายังจุด Hilight ที่ 2 เป็นแหล่งน้ำที่ขังตัวในก้อนหินที่โดนกัดเซาะ กลายเป็นเหมือนสระว่ายน้ำส่วนตัว
สวยงามแปลกตา โดยไกด์ขาซิ่งของเราใช้เวลาเพียง 30 นาทีก็ถึงที่หมาย (9.6 กิโลเมตร จากเกาะไดโนเสาร์)

จุดที่ 2 : Angel’s Billabong เป็นเหมือนสระน้ำแบบ Infinity Pool มองออกไปเห็นมหาสมุทรอินเดียอันกว้างใหญ่ ๆ 
ความอลังการของที่นี่คือ คลื่นที่สามารถซัดเข้ามาได้ ความพยายามในการกัดเซาะของน้ำทะเลทำให้เห็นเป็นแอ่งน้ำ หรือสระน้ำส่วนตัว
และนักท่องเที่ยวสามารถลงไปว่ายน้ำได้ในช่วงคลื่นลง แต่เค้าจะมีป้ายเตือนนะ หากฝนตกก้อนหินบริเวณนี้ก็จะลื่นมากต้องระวังเป็นพิเศษ

ช่วงที่มีแดดจัด อ่างน้ำตรงนี้จะสีสวยมาก ๆ เป็นสีเขียวมรกตเลยค่ะ

จุดที่ 3 : Broken Beach หน้าผาที่ถูกน้ำกัดเซาะจนเป็นหลุมน้ำขนาดใหญ่ทำให้เกิดเป็นสะพาน ส่วนด้านล่างจะเป็นพื้นน้ำทะเลใส ๆ

ตัดกับทรายขาว ๆ สวยงามเหมือนภาพวาด ห่างจาก Angel Billabong มานิดเดียวสามารถเดินมาได้

เมื่อเดินมาถึงก็ถึงกับร้องว้าวเลย เพราะมันสวยมากจริง ๆ ค่ะ

จุดที่ 4 : Crystal Bay BEACH จาก Broken beach มา Crystal Bay Beach นั้นจะต้องขับรถอ้อมสักหน่อย ไปอีกมุมตามแผนที่

ด้วยระยะทางประมาณ 17.5 กิโลเมตร หรือราว ๆ 40 นาทีได้ ที่นี่จะเป็นจุดสุดท้ายบนเกาะแห่งนี้กันแล้วนะคะ และถือว่าเป็นจุดดำน้ำที่ฮิตที่สุดของบาหลี
ในการดูสัตว์ใหญ่อย่างโมลาโมล่าและแมนต้า เพราะน้ำที่นี่เย็นและเป็นทะเลเปิด มีคลื่นค่อนข้างใหญ่นักท่องเที่ยวส่วนมาก ชอบมาเล่นน้ำ

นอนอาบแดดกัน ส่วนตัวฉันถ้ามีส้มตำไก่ย่างมานั่งกินริมเลด้วยหละก็...ฟินแน่นอนจ๊ะ 

หาดทรายที่นี่มีความวิบวับเมื่อต้องแสงราวกับคริสตัล มิน่าถึงชื่อว่า คริสตัล บีซ เค้าให้เวลาเราเดินเล่นกันประมาณ 1 ชม.
จะเล่นน้ำก็ไม่มีชุด ได้แต่มองดูฝรั่งนุ่งน้อยห่มน้อยเดินไปเดินมาก็เพลินตาดี

เดินเล่นไม่นานก็มารวมตัวกันที่รถเพื่อเดินทางกลับไปยังท่าเรือ รอข้ามกลับไปที่เดิม และก็คงต้องโบกมือลาคุณ ARATAR ไปก่อน

สำหรับการดูแลเป็นอย่างดี ทั้งถ่ายภาพเดินตามคอยระวัง และนางคงจะเหนื่อยใจกับดิฉันมาก

เพราะไม่อยู่กับที่เลยเด่วแว้บไปตรงนั้นตรงนี้ที นางก็จะคอยมองหาละตามกลับมาที่รถ กลัวลูกทัวร์หายอะนะ...55++