Lost in Translation : หลง เหงา รัก
" ดื่มด่ำกับอารมณ์เหงาเปลี่ยว ท่ามกลางความสับสนในมหานครโตเกียว "
Lost in Translation หนังที่เล่นเกี่ยวกับความเหงา เป็นหนังอีกเรื่องที่ผมรู้สึกชอบและเป็นหนังที่ดูธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาเลย พอลองค้นข้อมูลดู ก็พบว่า เข้าชิงออสการ์หลายรางวัลและได้รับคำวิจารณ์ดีๆมากมาย [ ออสการ์ - ชนะรางวัลบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม , ลูกโลกทองคำ - ชนะรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประเภทคอมเมดี้หรือละครเพลง นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ]
Lost in Translation (2003) ได้รับการกำกับและเขียนบทโดย
Sofia Coppola มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของ
Bob Harris (Bill Murray) อดีตดาราดังที่เข้าสู่วัยร่วงโรย ชีวิตมีแต่ร่วงลง ชีวิตคู่ก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด จนแฮริสได้มารับจ๊อบถ่ายโฆษณาเหล้าที่ญี่ปุ่น ทำให้เขาต้องมาใช้ชีวิตในมหานครโตเกียว ท่ามกลางบรรยากาศที่สับสน วัฒนธรรมที่ไม่คุ้นชิน แถมยังเป็นเมืองที่คนพูดภาษาอังกฤษกันได้น้อย ช่วงเวลานั้น เขาได้พบกับ
Charlotte (Scarlett Johansson) แฟนสาวของหนุ่มช่างภาพฝรั่งคนหนึ่งที่รับงานมาถ่ายรูปในโตเกียวเหมือนกันและมักปล่อยให้ชาร์ล็อตต้องอยู่คนเดียว จึงเป็นเรื่องบังเอิญที่คนขี้เหงาทั้งสองได้มาพบกัน แฮริสและชาร์ล็อตต่างรู้สึกโดดเดี่ยว เปลี่ยวเหงาทั้งคู่
Lost in translation เป็นอีกเรื่องที่ผมชอบมาก อันเนื่องมาจากแนวหนังที่ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้าน แล้วก็ไม่ค่อยมีหนังแนวนี้ออกมาสักเท่าไร (แนวเหงาๆ ที่ดูคล้ายกับเรื่อง
Her (2013) บ้างว่าคล้ายแนวหนังของหว่อง กาไว) หนังมีบทเรื่องที่แน่นแม้จะพูดกันน้อย ภายในเรื่องเพียงพูดกันไม่กี่คำ แต่ก็ถ่ายทอดผ่านอารมณ์และภาพ เป็นการเล่าเรื่องแทนคำพูด จุดนี้นับว่าเป็นจุดแข็งของหนังที่โดดเด่น รวมถึง
Cinematography ยังสวยงามมากๆ
ที่ชอบมากอีกอย่างคือ การใช้ภาพสื่อความหมายในหนัง เนื่องจากหนังดำเนินเรื่องเรื่อยๆ ปล่อยให้เราค่อยๆดื่มด่ำกับบรรยากาศในเมืองโตเกียว หนังใช้ภาพ มุมกล้อง ได้เป็นประโยชน์มาก ในการสื่อความเหงา ความโดดเดี่ยวในเมืองใหญ่ นอกจากการใช้ภาพแล้ว ยังใช้การแสดงได้เป็นประโยชน์เล่นน้อยๆ ไม่เยอะ แต่ส่งผลดีต่อหนัง ในส่วนการดำเนินเรื่อง หนังก็ดำเนินเรื่องแบบเนิบๆ เรื่อยๆ ตามสไตล์หนังนอกกระแส เรียลๆ ไม่มีจุดพีคใดๆ แต่ก็ชวนให้ติดตามได้ มีการปล่อยมุกตลกลึกเอาไว้ระหว่างทาง ทำให้เราอมยิ้มได้ตลอดเวลา หนังเป็นธรรมชาติมาก บางทีขณะดูยังรู้สึกเลยว่า มันไม่ค่อยดูเหมือนหนังมากเท่าไร เหมือนดูชีวิตคนจริงๆ มากกว่า (มันถึงเนิบๆไง) นอกจากนี้ยังมีแอบจิกกัดสังคมวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบขำๆด้วย 555
นักแสดง
นักแสดง ผมชอบการแสดงของ
Bill Murray มาก ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงได้เข้าชิงออสการ์นักแสดงชาย เพราะ ลุงแสดงได้ดีเหลือเกิน ในมาดชายแก่ ท่าทางเหงาๆ แต่แอบเท่ บางทีก็มีมุกตลกบ้าง
แต่ที่ผมแปลกใจกว่าคือ
Scarlett Johansson (ฺ
Black Widow จากทีม
Avenger นั่นเอง) ผมไม่เคยเห็นการแสดงของเธอในมุมนี้เลย เพราะ ปกติก็จะเห็นแสดงหนังแอ็คชันซะมากกว่า อย่างหนังของมาร์เวล , Ghost in the Shell (2016) , Lucy (2014) มาแสดงหนังในมุมนี้ ก็แสดงได้ดีเลยแหละ (แถมยังได้เข้าชิงลูกโลกทองคำนักแสดงนำหญิงด้วย)
Lost in Translation Ending Scene
ท่ามกลางความสับสน เหงาเปลี่ยวในมหานครโตเกียว ชายแก่และหญิงสาวที่ไม่สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้ ก็ได้มาอยู่ด้วยกัน เที่ยวด้วยกันในเวลาไม่นาน แต่เวลาที่พวกเขาใช้ไปด้วยกันนั้น เต็มไปด้วยความลึกซึ้ง ซึ่งก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นความรักในแง่มิตรภาพ หรือความรักแบบคู่รัก
....ผมชอบตอนจบของหนังที่บ็อบเห็นชาร์ล็อต บ็อบเปิดประตูรถ ลุกขึ้นออกจากรถไป เดินไปกอดชาร์ล็อตขณะอยู่ในเมือง เขายืนกอดค้างเหมือนไม่อยากให้เวลานี้ผ่านไป มันให้ความรู้สึกอบอุ่น เติมเต็มความเหงาของคนทั้งคู่ แฮริสและชาร์ล็อต ก็ไม่ได้แลกเบอร์กัน ยังไงทั้งคู่ก็คงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว แต่อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตทั้งสองก็เคยมีมิตรภาพดีๆต่อกัน (หรือความรัก?)
Just Like Honey - The Jesus and Mary Chain (Lost in Translation ending scene)
สรุป
Lost in Translation ผมให้
8.5/10 ผมชอบสไตล์หนังที่ไม่ค่อยจะเหมือนใครดี ออกไปทางแนวนอกกระแส (ซึ่งเป็นแนวที่ผมชอบ 555) หนังทำให้สัมผัสถึงบรรยากาศเหงาๆได้ดีเยี่ยม มี Cinematography ที่สวยงามและถ่ายทอดอารมณ์ได้ลึกซึ้ง การแสดงของ Bill Murray และ Scarlett Johansson ในมุมที่ไม่ค่อยจะได้เห็น
สารภาพว่า ผมดูรอบแรกหลับ ก็อยากจะแนะนำว่า หนังไม่เหมาะกับตอนง่วงสักเท่าไร เพราะ หนังดำเนินเรื่องเรื่อยๆ ควรดูตอนมีสติเต็มที่ จะทำให้ดื่มด่ำกับหนังได้อย่างเต็มอรรถรส ส่วนถ้าใครชอบหนังหวือหวา ก็ไม่ควรดู อาจจะเบื่อและหลับได้
" Everyone wants to be found. "
8.5/10
Lost in Translation OST
The Jesus And Mary Chain - Just Like Honey (Lost in Translation OST)
----------------------------------------------------------------------
Lost in Translation (2003) (Imdb)
A faded movie star and a neglected young woman form an unlikely bond after crossing paths in Tokyo.
Director: Sofia Coppola
Writer: Sofia Coppola
Stars: Bill Murray, Scarlett Johansson, Giovanni Ribisi | See full cast & crew »
----------------------------------------------------------------------
ป.ล. สำหรับคนที่ดูแล้วหรือยังไม่ได้ดู ก็สามารถมาคุยกันได้นะครับ ชอบฉากไหน ประทับใจเรื่องใด ก็มาคุยแลกเปลี่ยนกันได้เลยครับ
ป.ล.2 ดูไปดูมา บางทีผมก็รู้สึกนึกถึงเรื่อง
Otoko no isshou (2014) ในแง่ชายแก่กับหญิงสาวมาเจอกัน บรรยากาศเหงาๆ เงียบๆ แต่เรื่องนี้เน้นไปที่รักกันจริงๆ ไว้มีโอกาสก็จะมาบอกเล่านะครับ (เป็นเรื่องที่ผมชอบเหมือนกัน)
[CR] (Review หนังดีนอกกระแส) Lost in Translation (2003) : ดื่มด่ำกับอารมณ์เหงาเปลี่ยว ท่ามกลางความสับสนในมหานครโตเกียว
Lost in Translation หนังที่เล่นเกี่ยวกับความเหงา เป็นหนังอีกเรื่องที่ผมรู้สึกชอบและเป็นหนังที่ดูธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาเลย พอลองค้นข้อมูลดู ก็พบว่า เข้าชิงออสการ์หลายรางวัลและได้รับคำวิจารณ์ดีๆมากมาย [ ออสการ์ - ชนะรางวัลบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม , ลูกโลกทองคำ - ชนะรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประเภทคอมเมดี้หรือละครเพลง นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ]
Lost in Translation (2003) ได้รับการกำกับและเขียนบทโดย Sofia Coppola มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของ Bob Harris (Bill Murray) อดีตดาราดังที่เข้าสู่วัยร่วงโรย ชีวิตมีแต่ร่วงลง ชีวิตคู่ก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด จนแฮริสได้มารับจ๊อบถ่ายโฆษณาเหล้าที่ญี่ปุ่น ทำให้เขาต้องมาใช้ชีวิตในมหานครโตเกียว ท่ามกลางบรรยากาศที่สับสน วัฒนธรรมที่ไม่คุ้นชิน แถมยังเป็นเมืองที่คนพูดภาษาอังกฤษกันได้น้อย ช่วงเวลานั้น เขาได้พบกับ Charlotte (Scarlett Johansson) แฟนสาวของหนุ่มช่างภาพฝรั่งคนหนึ่งที่รับงานมาถ่ายรูปในโตเกียวเหมือนกันและมักปล่อยให้ชาร์ล็อตต้องอยู่คนเดียว จึงเป็นเรื่องบังเอิญที่คนขี้เหงาทั้งสองได้มาพบกัน แฮริสและชาร์ล็อตต่างรู้สึกโดดเดี่ยว เปลี่ยวเหงาทั้งคู่
Lost in translation เป็นอีกเรื่องที่ผมชอบมาก อันเนื่องมาจากแนวหนังที่ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้าน แล้วก็ไม่ค่อยมีหนังแนวนี้ออกมาสักเท่าไร (แนวเหงาๆ ที่ดูคล้ายกับเรื่อง Her (2013) บ้างว่าคล้ายแนวหนังของหว่อง กาไว) หนังมีบทเรื่องที่แน่นแม้จะพูดกันน้อย ภายในเรื่องเพียงพูดกันไม่กี่คำ แต่ก็ถ่ายทอดผ่านอารมณ์และภาพ เป็นการเล่าเรื่องแทนคำพูด จุดนี้นับว่าเป็นจุดแข็งของหนังที่โดดเด่น รวมถึง Cinematography ยังสวยงามมากๆ
ที่ชอบมากอีกอย่างคือ การใช้ภาพสื่อความหมายในหนัง เนื่องจากหนังดำเนินเรื่องเรื่อยๆ ปล่อยให้เราค่อยๆดื่มด่ำกับบรรยากาศในเมืองโตเกียว หนังใช้ภาพ มุมกล้อง ได้เป็นประโยชน์มาก ในการสื่อความเหงา ความโดดเดี่ยวในเมืองใหญ่ นอกจากการใช้ภาพแล้ว ยังใช้การแสดงได้เป็นประโยชน์เล่นน้อยๆ ไม่เยอะ แต่ส่งผลดีต่อหนัง ในส่วนการดำเนินเรื่อง หนังก็ดำเนินเรื่องแบบเนิบๆ เรื่อยๆ ตามสไตล์หนังนอกกระแส เรียลๆ ไม่มีจุดพีคใดๆ แต่ก็ชวนให้ติดตามได้ มีการปล่อยมุกตลกลึกเอาไว้ระหว่างทาง ทำให้เราอมยิ้มได้ตลอดเวลา หนังเป็นธรรมชาติมาก บางทีขณะดูยังรู้สึกเลยว่า มันไม่ค่อยดูเหมือนหนังมากเท่าไร เหมือนดูชีวิตคนจริงๆ มากกว่า (มันถึงเนิบๆไง) นอกจากนี้ยังมีแอบจิกกัดสังคมวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบขำๆด้วย 555
นักแสดง
นักแสดง ผมชอบการแสดงของ Bill Murray มาก ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงได้เข้าชิงออสการ์นักแสดงชาย เพราะ ลุงแสดงได้ดีเหลือเกิน ในมาดชายแก่ ท่าทางเหงาๆ แต่แอบเท่ บางทีก็มีมุกตลกบ้าง
แต่ที่ผมแปลกใจกว่าคือ Scarlett Johansson (ฺBlack Widow จากทีม Avenger นั่นเอง) ผมไม่เคยเห็นการแสดงของเธอในมุมนี้เลย เพราะ ปกติก็จะเห็นแสดงหนังแอ็คชันซะมากกว่า อย่างหนังของมาร์เวล , Ghost in the Shell (2016) , Lucy (2014) มาแสดงหนังในมุมนี้ ก็แสดงได้ดีเลยแหละ (แถมยังได้เข้าชิงลูกโลกทองคำนักแสดงนำหญิงด้วย)
Lost in Translation Ending Scene
ท่ามกลางความสับสน เหงาเปลี่ยวในมหานครโตเกียว ชายแก่และหญิงสาวที่ไม่สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้ ก็ได้มาอยู่ด้วยกัน เที่ยวด้วยกันในเวลาไม่นาน แต่เวลาที่พวกเขาใช้ไปด้วยกันนั้น เต็มไปด้วยความลึกซึ้ง ซึ่งก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นความรักในแง่มิตรภาพ หรือความรักแบบคู่รัก
....ผมชอบตอนจบของหนังที่บ็อบเห็นชาร์ล็อต บ็อบเปิดประตูรถ ลุกขึ้นออกจากรถไป เดินไปกอดชาร์ล็อตขณะอยู่ในเมือง เขายืนกอดค้างเหมือนไม่อยากให้เวลานี้ผ่านไป มันให้ความรู้สึกอบอุ่น เติมเต็มความเหงาของคนทั้งคู่ แฮริสและชาร์ล็อต ก็ไม่ได้แลกเบอร์กัน ยังไงทั้งคู่ก็คงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว แต่อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตทั้งสองก็เคยมีมิตรภาพดีๆต่อกัน (หรือความรัก?)
สรุป
Lost in Translation ผมให้ 8.5/10 ผมชอบสไตล์หนังที่ไม่ค่อยจะเหมือนใครดี ออกไปทางแนวนอกกระแส (ซึ่งเป็นแนวที่ผมชอบ 555) หนังทำให้สัมผัสถึงบรรยากาศเหงาๆได้ดีเยี่ยม มี Cinematography ที่สวยงามและถ่ายทอดอารมณ์ได้ลึกซึ้ง การแสดงของ Bill Murray และ Scarlett Johansson ในมุมที่ไม่ค่อยจะได้เห็น
สารภาพว่า ผมดูรอบแรกหลับ ก็อยากจะแนะนำว่า หนังไม่เหมาะกับตอนง่วงสักเท่าไร เพราะ หนังดำเนินเรื่องเรื่อยๆ ควรดูตอนมีสติเต็มที่ จะทำให้ดื่มด่ำกับหนังได้อย่างเต็มอรรถรส ส่วนถ้าใครชอบหนังหวือหวา ก็ไม่ควรดู อาจจะเบื่อและหลับได้
Lost in Translation OST
Lost in Translation (2003) (Imdb)
A faded movie star and a neglected young woman form an unlikely bond after crossing paths in Tokyo.
Director: Sofia Coppola
Writer: Sofia Coppola
Stars: Bill Murray, Scarlett Johansson, Giovanni Ribisi | See full cast & crew »
ป.ล. สำหรับคนที่ดูแล้วหรือยังไม่ได้ดู ก็สามารถมาคุยกันได้นะครับ ชอบฉากไหน ประทับใจเรื่องใด ก็มาคุยแลกเปลี่ยนกันได้เลยครับ
ป.ล.2 ดูไปดูมา บางทีผมก็รู้สึกนึกถึงเรื่อง Otoko no isshou (2014) ในแง่ชายแก่กับหญิงสาวมาเจอกัน บรรยากาศเหงาๆ เงียบๆ แต่เรื่องนี้เน้นไปที่รักกันจริงๆ ไว้มีโอกาสก็จะมาบอกเล่านะครับ (เป็นเรื่องที่ผมชอบเหมือนกัน)