[4DX] BABY DRIVER : เสียบหูฟัง นั่งให้ดี เดี๋ยวพี่พาไปปล้น!



BABY DRIVER (2017)
ALL YOU NEED IS ONE KILLER TRACK


**เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ**
*ขออภัยที่มีคำหยาบเยอะเพื่อความอรรถรส*


หนังเรื่องนี้ ทำให้พึ่งรู้ว่ามี 4DX ไว้ทำไม


ชีวิตนี้เราดูหนังในระบบ 4DX มาประมาณสัก 6-7 รอบได้ แต่ละครั้งก็ไม่ได้เลือกดูเพราะอยากสัมผัสประสบการณ์พิเศษอะไรด้วย แต่ดูเพราะมันไม่มีทางเลือก และ Baby Driver เป็นหนึ่งในนั้น เราซื้อบัตรไปดูเพราะหนังมันไม่เข้าฉายในระบบอื่น ซึ่งไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายกับประสบการณ์ 4DX เพราะตั้งใจจะมาดูเนื้อหนังอยู่แล้ว

ปรากฏว่า 4DX รอบนี้เปลี่ยนประสบการณ์การดูหนังไปอย่างสิ้นเชิงเลย
สามารถพูดได้ว่า นี่เป็นประสบการณ์การดู 4DX ที่ดีที่สุดในชีวิต



Story


Baby Driver เป็นเรื่องราวของ Baby ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีฝีมือการขับรถที่โคตรเทพ เขามีอาชีพเป็นคนขับรถให้แก๊งโจรที่ออกปล้นในเมือง โดยพรสวรรค์ในด้านการเป็นตรีนผีของเขานั้นเรียกได้ว่าหาตัวจับยากเลยทีเดียว โดยเขาทำงานให้กับ Docs บอสใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังการปล้นโดยมีหน้าที่เป็นฝ่ายวางแผนและควบคุมดูแลกิจการ โดยแก๊งโจรนั้นจะเปลี่ยนสมาชิกไปเรื่อยๆแล้วแต่ลักษณะของงาน โดยมี Buddy และ Darling เป็นสองผัวเมียสวยหล่อเป็นมือวางอันดับต้นๆ และ Bats โจรผิวสีที่นิสัยโผงผางไม่น่าไว้วางใจเท่าไร เป็นแก๊งโจรในมิชชั่นการปล้นแต่ละครั้ง ซึ่ง Baby นั้นหลงรักสาวเสิร์ฟคนหนึ่งเข้าเธอคือ Debora และเขาต้องดูแลคุณลุงที่พิการอยู่กับบ้านด้วย Baby จึงเริ่มคิดที่จะวางมือจากวงการนี้ เพราะโดยเนื้อแท้แล้วเขาก็ไม่ชอบวงการนี้เลย แต่ขึ้นหลังเสือแล้ว มันลงได้ง่ายๆเสียทีไหน

เรื่องราวที่เกิดขึ้นใน Baby Driver ไม่ได้มีอะไรสดใหม่ มันเป็นเรื่องราวของคนดีที่อยู่ในกลุ่มคนเลวแล้วต้องการวางมือ แต่เพื่อนๆไม่เห็นด้วย เขาจึงต้องฝืนอยู่ในวงการนั้นต่อไปจนกระทั่ง ถึงจุดที่ทนไม่ได้



Director


การกลับมาครั้งนี้ของ Edgar Wright ไม่ได้เน้นไปที่ ความเซอร์ไพรซ์ หรือความShipหาย ว้อท เดอะ ฟัค ของตัวพล็อตแบบงานชิ้นที่ผ่านๆมา แต่เป็นการผสานเทคนิคการทำภาพยนตร์, การผูกพล็อตเรื่อง, การดำเนินเรื่อง, การตัดต่อ, การสนองนี้ดตัวเอง ความบ้าระห่ำแบบที่โคตรนุ่มนวล ยำรวมมิตรกันแบบที่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะออกมาดีขนาดนี้ได้ เพราะมันจะเป็นหนังแอคชั่น กลิ่นมิวสิคัล ที่โรแมนติคขนาดนี้ไม่ได้!!!! (ซึ่งฮากริบเหมือนเดิมด้วย!)

มันอาจเริ่มต้นด้วยไอเดียโง่ๆแบบว่า
"ชอบความรู้สึกตอนขับรถแล้วฟังเพลงโปรดจัง"
ต่อด้วย
"จะเป็นไงถ้าตอนขับรถไปปล้นคนอื่นแล้วเราฟังเพลงโปรดไปด้วย"

อะไรทำนองนั้น ซึ่ง เอ็ดกา ไรท์ จับมันปั่นรวมกันออกมาเป็นหนังแอคชั่นที่ควบคุมจังหวะด้วยเพลงและเสียงดนตรีตลอดทั้งเรื่อง ในแบบนี้ ไอบ้าาาาาาาาาาาาาาาาาา มันเจ๋งโคตรๆเลยที่เราได้เห็นการยิงปืนตามจังหวะเพลง หรือแม้แต่การจะทำบ้าอะไรในหนังก็ตาม ต้องรอจังหวะทั้งหมด แต่แมร่งออกมาเท่shipหายวายป่วง!




Action & Musical


หลายคนคงสงสัยว่า มันดูเหมือนมันจะเป็นหนัง มิวสิคัล ที่มีคนมาร้องเพลงอะไรแบบนั้นหรือเปล่า ตอบเลยว่าไม่ใช่ มันคือหนังแอคชั่นเต็มสูบที่มีฉากขับรถที่โคตรมันและสวยงามในระดับที่น่าจะเป็นฉากเด็ดในทำเนียบหนังแอคชั่นแข่งรถได้เลย! เพียงแต่การดำเนินเรื่องของ Baby Driver มันถูกผูกติดอยู่กับ "แนวเพลง" และ Mood ของเพลงที่พระเอกฟัง (จะเห็นว่า Baby ใส่หูฟังตลอด) และนอกจากมันจะถูกใช้เป็นตัวเบลนด์รอยแยกต่างๆของแต่ละเหตุการณ์ในเรื่องแล้ว เพลงยังเป็นปัจจัยที่สำคัญมากในชีวิต Baby ซึ่งมันกลายมาเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆสำหรับคนดูแบบเราด้วยเช่นกัน

สิ่งที่เอ็ดกา ไรท์ พยายามถ่ายถอดออกมาด้วยการให้เราได้ฟังเพลงต่างๆที่ Baby ฟังตลอดทั้งเรื่อง มันคือการพาเราไปสวมบทเป็นตัว Baby เอง ซึ่งแว้บนึงเรารู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในหนังด้วยจริงๆ แบบที่ไม่ได้พยายามบีบบังคับเราด้วยมุมกล้องแบบหนังเรื่องอื่นๆ แต่ไรท์กลับเลือก "ดนตรี" เป็นตัวหว่านล้อมเราเข้าสู่เหตุการณ์ที่ Baby เผชิญแทน มันมีหลายช่วงมากๆที่เรารู้สึกว่า เหมือนเรานั่งอยู่ในรถคันที่ Baby กำลังขับ ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่เรากำลังจะได้ดูในซีนถัดไปมากๆ

นอกจากการเลือกใช้เพลง หรือการพยายามดึงเอาเพลงมาใช้ดำเนินเรื่องให้มีประโยชน์ที่สุด ซีนแอคชั่นในเรื่องนี้ยังมันส์มากๆ ทุกครั้งที่มีฉากแอคชั่น แม้จะไม่ถึงขั้นขี่รถทะลุตึก หรือ ระเบิดเครื่องบินทิ้ง แต่มันเป็นการโชว์ซีนขับรถที่ดูเพลินแล้วสนุกมาก เหมือนตอนเราได้ดูหนัง The Transporter ภาคแรก มันรู้สึกว้าวได้แบบนั้นเลย และมันยิ่งรู้สึกเข้าถึงง่ายไปอีกเมื่อพระเอกไม่ได้เพอร์เฟค หรือดาวบู๊แอคชั่นระห่ำแตกแบบ Jason Statham ใน The Transporter นี่ก็แค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ขับรถโคตะระเก่งก็เท่านั้นเอง



Editor & Razor Cut


นอกจากดนตรีที่เป็นเหมือนหัวใจของเรื่อง ต้องคารวะการตัดต่อของ Baby Driver ที่ทำออกมาได้ไร้ที่ติจนอยากลุกขึ้นเต้นแท็บกลางโรง เพราะจังหวะจะโคนและการตัดต่อมันไปด้วยกันได้ดีจนเราหมดแรงจะต้านทาน ทำได้แค่ปล่อยให้ Baby พาเราไปต่อ ไปต่อ และ ไปต่อ มีช่วงที่ Baby พาเราแวะปั๊ม พักดื่มน้ำ หรือไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ จนไปถึงขั้นหลับสักงีบเลยก็มี แต่สุดท้าย Baby ก็จะปลุกเราขึ้นมาอีกรอบ และเร่งให้เรา ไปต่อ ไปต่อ และ ไปต่อ จนกว่า เราจะพุ่งลงเหวไปพร้อมกับเขาในที่สุด



Cast


ยอมรับว่าไม่ได้ประทับใจอะไรในตัว Ansel Elgort มาก่อน นอกจากเคยเห็นเล่นหนังวัยเลิฟ ฮอร์โมนว้าวุ่นมาบ้าง และหน้าตาก็โอเค จนกระทั่งมาเห็นในเรื่องนี้ นี่แบบ โคตรยิ้ม โคตรของโคตรของโคตรน่ารัก!!!! แล้วมร่มมมมมมมมมมมมมเก่งมากกกกกกกกก!!!!!

แอนเซลแสดงเป็น Baby ได้โคตร Baby! เป็น Baby ในแบบที่เหมาะจะถูกเรียกว่า เบบี้-ที่รัก-เด็กดี-คนดี-ไอ้หนู ในแบบที่เราเชื่อได้อย่างสนิทใจว่า ไอ้นี่ยิ้มโคตรเด็กดี และเราจะตกหลุมรักคนแบบนี้ได้ง่ายๆเพราะเขาน่ารักมากมาก! ซึ่งเอาเข้าจริงคาแร็คเตอร์ Baby คิดว่าน่าจะถ่ายทอดออกมาได้ยากพอสมควร เพราะต้องเป็นคนดีที่ดูเย็นชา แต่อบอุ่นในแบบที่เป็นมิตรมากๆและดื้อมากๆเช่นกัน ซึ่งแอนเซลแสดงออกมาได้เพอร์เฟ็คมาก (ดูแล้วหน้าตาก็น่าจะมีส่วนคือหน้าออกแนวดื้อๆหน่อย) หลงรักตั้งแต่ซีนแรกๆเลย กว่าจะจบเรื่องคือแบบ พูดอะไรไม่ได้นอกจากเรียกชื่อ BABY B-A-B-Y! อย่างเดียวจริงๆ!!!

Lily James มีเสน่ห์มากๆในเรื่องนี้ แม้จะยังถ่ายทอดพลังสู้คนอื่นๆไม่ได้ แต่หน้าตาน่ารักๆของเธอก็ทำให้เธอมีสเน่ห์ล้นเหลือเลยทีเดียวในบท Debora แฟนสาวของ Baby ในขณะที่บทของ Kevin Spacey ที่รับบทเป็น Docs ก็ทำได้ดีงามตามมาตรฐานซึ่งไม่ได้โดดเด่นเท่าบทของ Jon Hamm, Eiza González และ Jamie Foxx ที่รับบทเป็นเหล่าโจรเลย ซึ่งทั้ง 3 คนนี้แสดงได้ดีมากๆ และฝีมือการแสดงรวมั้งสเน่ห์ของแต่ละคน ทำให้หนังมีมิติและสีสันขึ้น



Music


ไม่อาจเขียนอะไรถึงเพลงในเรื่องนี้ได้ เพราะมันเท่ไปหมดจนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อน เพลงแต่ละเพลงที่เลือกมามันซุปเปอร์คูลเข้ากับเนื้อเรื่องและเหตุการณ์แต่ละซีนเหลือเกิน เรารู้สึกว้าวมากๆกับ การให้ "เพลง" แต่ละเพลงอธิบายความสำคัญในแต่ละซีน ยิ่งประกอบกับที่เรารู้ว่า แอนเซล เป็นนักดนตรียิ่งทำให้อินไปใหญ่ (นอกจากเป็นนักแสดง แอนเซลเป็นดีจีกึ่งๆอาชีพด้วย เพราะเปิดแผ่นตามงานเทศกาลดนตรีด้วย) เพราะมันดีเหลือเกิน เหมาะเหลือเกินไปซะทุกอย่าง ทำอะไรก็ดูรู้สึกจริง รู้สึกใช่ไปหมด รวมทั้งสัญลักษณ์ทางดนตรีที่สื่อถึงยุคสมัยต่างๆในเรื่องก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าหนังมัน เท้ เท่ไปใหญ่


4DX


ถามว่าจำเป็นไหมที่ต้องดูแบบ 4DX? ก่อนหน้านี้เราเคยดู Logan และ Dunkirk แบบ 4DX มาซึ่งจะเห็นได้ว่าอีกเรื่องเป็นแอคชั่น อีกเรื่องเป็นหนังทหาร ซึ่งสองเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกเราว่าจำเป็นต้องดูแบบ 4DX เท่าไร จนมาถึง Baby Driver เราถึงเข้าใจความหมายว่า โรง 4DX มันมีไว้ทำไม

เพราะ Baby Driver เป็นหนังที่เล่นกับจังหวะดนตรีทั้งเรื่อง ไม่ใช่แค่การเปิดเพลงคลอไป แต่มันเป็นการเน้นย้ำในแต่ละจังหวะอย่างชัดเจน และเป็นการสร้างอารมณ์ร่วมได้อย่างร้ายกาจ การได้นั่งบนเบาะที่กระตุกตามจังหวะดนตรีแต่ละตัวโน๊ต แต่ละคีย์ เลยเป็นประสบการณ์ที่โคตรเจ๋ง!

ทั้งเสียง ปืน (ที่รัวตามจังหวะเพลง) เสียงรถ ตอนฉากขับรถ เรารู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนเบาะหลัง ลมตีหน้า หนาวนิดๆเพราะรถเปิดกระจก เบาะสั่นเพราะเครื่องยนต์ที่กำลังครางกระหึ่ม แอบสะดุ้งตอนถูกชนหรือกระแทก แม้แต่ตอนพระเอกยักไหล่ เบาะก็พาเรายักไหล่ตาม

บิ้วท์จนนี่จะกลายเป็น Baby อยู่แล้ว

เราเคยรำคาญสุดๆตอนดู The Bourne Legacy และบอกตัวเองจะไม่ดู 4DX อีกเพราะเบาะมันเหวี่ยงแล้วสั่นตลอดตอนซีนขับรถ หรือตอนที่ Logan เจออัดแล้วเบาะเหวียงไปเหวี่ยงมามันก็ตื่นเต้นดี แต่มันก็ไม่ได้รู้สึกพิเศษหรือมีความหมายอะไร

แต่ใน Baby Driver ตอนที่เบาะมันโยกตอนฉากขับรถ มันกลับไม่ได้ทำให้เรารู้สึกรำคาญเลยสักนิด กลับกัน มันตื่นเต้นและสนุกมากเหมือนได้นั่งอยู่ในรถจริงๆ รวมทั้งตอนถึงฉากที่มีเพลงคลอนุ่มนวล เบาะก็พาเราพลิ้วซะจนเคลิ้มเหมือนนั่งเรือกอนโดลาตอนอยู่ในเวนิสอย่างไรอย่างนั้น! (ทั้งที่จริงๆไม่เคยนั่ง!) เพราะทุกประสาทสัมผัสมันสอดรับกันหมด ทั้งรูป เสียง สัมผัส มันเลยออกมาเพอร์เฟ็คมาก

นอกจากการสั่นไหวของเบาะที่ตอบสนองประสาทส่วนสัมผัสเราได้ดีมากๆ สิ่งที่ดีงามมากๆเช่นกันคือระบบเสียง เพราะเรื่องนี้มีเพลงคลอตลอดทั้งเรื่อง ตอน Baby ใส่หูฟัง เราได้ฟังเพลงพร้อมกับเขา พอเขาถอดหูฟัง เราก็จะได้ยินเสียงเพลงเบาจนแทบไม่ได้ยิน ตอนเขาใส่หูฟังข้างเดียว เราก็ได้ยินเพลงดังอยู่ข้างเดียว ตอนเขาปิดประตูฝั่งขวา ก็เหมือน Baby ปิดประตูอยู่ข้างเรา

Baby Driver มีการมิกซ์เสียงที่ละเอียดมากๆในแบบที่เราดูในโรง ได้ยินเสียงผ่านลำโพง แต่กลับรู้สึกเหมือนกำลังเสียบหูฟัง เสียงเล็กๆน้อยๆมันฟังดูละเอียดไปหมด เหมือนเรายืนอยู่กลางวง เหมือนเราคือ Baby

เท่าที่จำได้ตอนเราดูโรงหนังในไทย เราเคยดูหนังมาหลายระบบเสียง เคยดู 4DX 2-3 รอบ แต่ยังไม่เคยรู้สึกว่าสัมผัสความแตกต่างได้มากเท่านี้มาก่อน Baby Driver คือหนังที่มอบความแตกต่างอย่างแท้จริง ว่าทำไมเราถึงต้องมีโรงแบบ 4DX

เพราะบางครั้ง การที่เราได้ถูกกระตุ้นและชักจูงด้วยสภาวะแวดล้อมรอบตัว ไปพร้อมกับภาพที่ดู หูที่ได้ฟัง ตัวที่ได้สัมผัส
มันสามารถทำให้เรารู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในหนังได้จริงๆ

เพราะงั้นคำแรกๆที่เราคิดถึง เพื่อใช้อธิบายความรู้สึกหลังดู Baby Driver จบมันคือ

MATHA F*CKER BABYYYYYYYY!!!!!!!!!!!
โคตรแม่รมมมมมมมเอ้ย เบบี้!!!!!!

จะเจ๋งขนาดนี้ไม่ได้โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่