กรณี #พิธีถวายสัตย์
เมื่อวาน เราอยู่ในงานนั้นด้วย
และเราไม่รู้เรื่องดราม่าอะไรเลยในทันที
จนเราออกจากมหาลัยมารอแฟนตัดผมที่สยาม
เล่าย้อนในสิ่งที่เราเจอแบบไม่เข้าข้างใครเลยนะ
ตอนแรกที่ฝนเริ่มตกแหมะ ๆ
ที่แค่เหมือนละอองน้ำกระเด็นใส่
ฝั่งรุ่นพี่นิสิตชาย เราไม่รู้
แต่ฝั่งรุ่นพี่นิสิตหญิงวิ่งกันกระโปรงปลิว
แบบบ วิ่งกระโปรงปลิวจริง ๆ
อลหม่านวุ่นวายมาก วิ่งเข้าวิ่งออก
ซึ่งสาเหตุความวุ่นวายคือ
พี่ ๆ เอาเสื้อกันฝนพลาสติกวิ่งแจกรุ่นน้อง
และน้องนิสิตหญิง ได้เสื้อครบก่อนฝนจะตกหนัก
ส่วนน้องนิสิตชายก็ฉีกเสื้อแบ่งกัน เพราะแจกไม่ทัน
ทีนี้ พอฝนตกหนัก อารมณ์ คว่ำกะละมัง
พิธีกรประกาศปิดพิธีทันที และให้น้องแยกย้าย
ซึ่งถ้าว่ากันตามกำหนดการณ์แล้ว
มันยังมีพิธีอีกสองสามขั้นตอน
แต่ฝ่ายจัดกิจกรรมเลือกปิดพิธีทันที
และประกาศให้น้องวิ่งเข้าที่หลบฝนด่วน
ไม่มีการบังคับให้ทำพิธีต้องให้ครบสมบูรณ์
หรือบังคับอะไรที่เป็นการเห็นแก่ตัว
และท่านอาจารย์ในงานตอนนั้น
ก็ยังไม่ได้เดินออกไปหลบฝนนอกงาน
มีแค่เริ่มทยอยเอาร่มใหญ่มากางให้
หลังจากประกาศย้ำสุดท้ายว่าให้น้องวิ่งหาที่หลบฝน
ตอนนั้นเราหันกลับไปในสนาม
คือทุกคนวิ่งเว่ย คนละทิศคนละทาง
ส่วนเราเดินกลับมาตรงห้องเก็บของใต้พระบรมรูป
พอเห็นว่าไม่มีอะไรทำ
เราเลยเดินกลับศาลาพระเกี้ยว ไปเอากระเป๋า
ซึ่งตอนอยู่แถว ๆ ลานจักรพงษ์ ระหว่างเดินกลับ
มีสิ่งผิดปกติอย่างนึงที่มันผิดจนเราสังเกตได้
คือคนแถวนั้นเหมือนจะมองมาแถวรอบตัวเรา
นี่ก็เป็นโรคไม่สบตาใครอยู่แล้ว
ก็เลยก้มหน้าก้มตาเดินอย่างเดียว
และทันใดนั้น.. ก็ได้ยินเสียงข้าง ๆ
"ถ้ารู้ว่าฝนตกทุกปี ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่มีร่ม"
เห้ย! สำเนียงการพูดมันคุ้นหูจังวะ
นี่เลยหันไปมอง.....
'เห้ย!! เนติวิทย์!'
นี่เดินอยู่ข้าง ๆ เนติวิทย์มาพักใหญ่
ข้าง ๆ แบบไหล่ชนไหล่เลยนะ!!
ไม่แปลกใจแล้วทำไมคนมองมาแถวนี้
จากนั้นเนติวิทย์ก็เดินแยกไปทางวิดยา
ส่วนเราก็เดินตรงเข้าศาลาพระเกี้ยว
ตอนนั้นน่าจะประมาณสี่โมงเย็นได้มั้ง
แล้วนี่ก็ไม่รู้เรื่องดราม่าอะไรเลยนะ
ก็ยังไปเล่าให้แฟนฟังว่าเมื่อกี้เดินข้างเนติวิทย์เลย
แล้วก็เล่าว่าเหมือนเขากำลังหัวเสียอยู่
บ่นว่าทำไมไม่มีร่มให้ สงสัยหมายถึงให้รุ่นน้อง
แต่เขาแทนตัวเองว่าผมกับเพื่อน สุภาพดี
แล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะตอนนั้นหิวมาก
คือมือถือไม่ได้จับ มือสองข้างคว้าแต่ของกิน
จนประมาณหกโมงครึ่ง มารอแฟนตัดผมที่สยาม
ไปซื้อกระโปรงนิสิตแล้วเดินกลับมานั่งร้านตัดผม
น่าจะประมาณหกโมงสี่สิบได้มั้งตอนนั้น
เลยได้มีเวลานั่งจับโทรศัพท์มือถือ
แล้วก็ต้องร้อง 'โอ้วววว อะไรวะเนี่ย'
คือมีดราม่าเกิดขึ้นอย่างอลังการมาก
ไล่อ่านไปมีคนด่ากันเยอะมาก
ด่าทั้งตัวอาจารย์ ตัวเนติวิทย์ ตัวน้องรองประธาน
เราก็ไปไล่อ่านโพสท์ของทุกคนที่เกี่ยวข้องเลย
ซึ่งหนึ่งในนั้น มีประโยคนึงของเนติวิทย์
เขียนประมาณว่า 'เพื่อนนิสิตของผมตากฝน
ผมทนกับอะไรแบบนี้ไม่ได้ จึงเดินออกมา'
ในขณะที่มีอีกฝั่งหนึ่งเขียนว่า
'เนติวิทย์พยายามสร้างกระแส และทำสำเร็จ'
(ขอไม่ลงรายละเอียด ไม่อยากให้เกิดความเสียหาย)
ซึ่งนี่ตอบในจุดที่เดินอยู่ตรงนั้น
และได้ยินประโยคที่เนติวิทย์พูดกับสภานิสิตอีกคน
"ถ้ารู้ว่าฝนตกทุกปี ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่มีร่ม"
เราว่าเนติวิทย์ไม่ได้ต้องการสร้างกระแสให้อาจารย์
เราว่าน้องรู้สึกแบบที่น้องโพสท์จริง ๆ
และเราก็ย้อนกลับไปคิดจุดเราที่ยืนอยู่
ตรงห้องเก็บของใต้พระบรมฯ ตอนฝนลงหนัก
มีอาจารย์ผู้หญิงท่านหนึ่งในดราม่า
กล่าวด้วยเสียงที่ดังพอสมควรว่า
'ก็รู้ว่าฝนมันก็ตกทุกปี จะอะไรนัก'
ปัญหาถ้ามองกว้าง ๆ แบบไม่คิดตอนนั้น
มันคงจะมีคนเดือพร้อนโวยวายฝนตกมั้ง
เพราะอาจารย์ท่านนั้นก็ไม่ได้หลบฝน หรือมีร่ม
ซึ่งแน่นอนว่าตอนที่ได้ยิน เราไม่ได้คิดอะไรเลย
ก็คิดว่าคงพูดกับท่านอาจารย์ด้วยกัน
เพราะจุดนั้นมีแต่ท่านอาจารย์ในงาน
นิสิตฝ่าย(น่าจะ)สถานที่ก็วิ่งเก็บของกันอยู่
และอย่างที่บอก เราไม่รู้ดราม่าที่เกิดขึ้น
เพราะมัวแต่หิวและหาของกิน....
พอมาไล่ดูดราม่า ..จนแฟนเราตัดผมเสร็จ
เราก็ยื่นให้แฟนดู แล้วก็พูดกับแฟนว่า
'เธอจำที่เค้าเล่าว่าเค้าเดินข้าง ๆ เนติวิทย์ได้ไหม
เค้ารู้แล้วนะว่าประโยคที่น้องพูดคือเรื่องอะไร'
แล้วที่ด่าอาจารย์กันใหญ่โตว่ากระชากเด็ก
เหตุมาจากเด็กพุ่งขึ้นไปบนแท่นพระบรมฯ
มันก็คงไม่ใช่ (ถ้าย้อนไปคิดถึงคำพูดของอาจารย์)
พอแฟนเอาไปดูเสร็จ เราก็รับมือถือกลับมา
แล้วก็ตั้งสเตตัสว่า 'พัง...' ในเวลาทุ่มหน่อย ๆ
(อันนี้เล่าเพื่อยืนยันเวลาแบบมีหลักฐาน)
นั่นคือเวลาที่เราเพิ่งรู้เรื่องและเรียบเรียงได้
เป็นเวลาที่เพิ่งนึกย้อนกลับไปจับต้นชนปลาย
แล้วได้รายละเอียดจากมุมของเราทั้งหมดเสริม
ได้ออกมาเป็นข้อความข้างต้น
แต่นั่นแหละ นอกเหนือจากนี้เราไม่รู้
ประโยคที่ได้ยินจากเนติวิทย์ตอนนั้นมีประโยคเดียว
เช่นกันกับประโยคของท่านอาจารย์ผู้หญิง
ประโยคก่อนหรือหลัง เราไม่รู้เลย
ก็เลยเล่าละเอียดยันเวลาในเหตุการณ์
เผื่อเอาไปลองประมวลผลรวม ๆ กับข่าวอื่น
เรื่องบังคับหมอบกราบ ขอค้านว่าไม่มีในพิธี
แต่โอเคตอนแรกพิธีกรประกาศให้ลองนั่งพับเพียบ
แล้วหลังจากที่น้องลงนั่งฝนก็ลงเม็ดเลย
มันก็เลยต้องรีบเริ่มพิธีในจังหวะนั่งเลย
ก็เลยอาจจะเหมือนไม่มีจุดให้ยืนเคารพ
จริง ๆ คือเขารีบทำพิธีกันมากเว่ยยย
คนที่กล่าวเชิญอธิการบดีพูดรัวมากเว่ยย 555
ส่วนกระแสที่บอกเนติวิทย์เตี๊ยมช่างภาพไว้
หรือมีการสร้างกระแสเพื่อป่วนพิธี
เราก็ค้านเหมือนกันจากสิ่งที่เราได้ยิน
คือน้องไม่ตั้งใจพูดให้คนอื่นได้ยินหรอก
เขาก็คุยกันกับเพื่อนนั่นแหละ ปกติ
เพียงแค่เราบังเอิญได้ยินพอดี
และตรงนั้นฟุตบาธฝั่งที่น้องเดินแทบไม่มีเด็ก
เด็กเขาเดินกันอีกฝั่งของถนน
ถ้าจงใจให้มีคนได้ยิน เราว่าน้องไปเดินอีกฝั่งดีกว่า
หมดแล้ว ฝั่งเรามีเท่านี้
กรณีที่นอกกเหนือจากนี้ไม่ขอออกความเห็น
รู้แค่ว่า ตอนนี้จุฬาฯยังน่าอยู่เหมือนเดิม
ภาพรุ่นพี่วิ่งกันวุ่นวายแจกเสื้อกันฝนน้องยังติดตา
และสุดท้ายพวกรุ่นพี่นี่ไม่มีใส่กันนะ
เปียกมะล่อกมะแล่กกันทั่วหน้าแต่ดันสนุก
และความน่ารักของคนภายในยังอยู่เหมือนเดิม
ไม่โกรธเลยเวลาเห็นคอมเม้นท์ว่าดีนะไม่เรียนที่นี่
เพราะเราจะคิดแค่ว่า ทุกที่มีเรื่องขัดแย้งหมดแหละ
เพียงแค่ขัดแย้งในแง่ไหน ด้านอะไร กับใคร
และระยะเวลาที่ขัดแย้ง เทียบกับเวลาดี ๆ มีเท่าไหร่
พอคิด ๆ ไปแล้ว อัตราส่วนหนึ่งปีมีดราม่าสัก 10 วัน
นอกนั้นเป็นเรื่องให้มีความสุขได้ตลอด เราว่ามันพอ
ปล. แท็กผิดขออภัย
/มีจุดไหนทำให้ขุ่นเคืองต่อใคร เราลบออกเลย
/ตั้งเป็นกระทู้คำถามเพราะไม่ได้ยืนยันตัวตน
แต่สามารถหาตัวเราได้ไม่ยาก
ปปล. ความสุขที่ได้จากงานนี้คือ หลังจากฝนหยุด
เสื้อกันฝนและซองเสื้อกันฝนจะหมดประโยชน์
ซึ่งสิ่งที่พวกเราทำคือ ช่วยกันหิ้วถุงดำเดินเก็บ
แต่ละคณะก็ช่วยกันเก็บไป ไม่มีใครเมินใคร
และก่อนเรากลับ มีต้นไม้ล้มข้างทางแถวกรงบาส
ก็มีผู้ชายสองคนช่วยกันยกกระถางกลับมาตั้ง
คือจนแฟนเราอึ้ง พูดว่า 'ทำไมที่นี่คนดีเยอะจัง'
เนี่ยเว่ยย ความสุขที่ได้
ความภูมิใจไง ❤
ใต้พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนเป็นนิสิตจุฬาฯลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีการศึกษา 2560
เมื่อวาน เราอยู่ในงานนั้นด้วย
และเราไม่รู้เรื่องดราม่าอะไรเลยในทันที
จนเราออกจากมหาลัยมารอแฟนตัดผมที่สยาม
เล่าย้อนในสิ่งที่เราเจอแบบไม่เข้าข้างใครเลยนะ
ตอนแรกที่ฝนเริ่มตกแหมะ ๆ
ที่แค่เหมือนละอองน้ำกระเด็นใส่
ฝั่งรุ่นพี่นิสิตชาย เราไม่รู้
แต่ฝั่งรุ่นพี่นิสิตหญิงวิ่งกันกระโปรงปลิว
แบบบ วิ่งกระโปรงปลิวจริง ๆ
อลหม่านวุ่นวายมาก วิ่งเข้าวิ่งออก
ซึ่งสาเหตุความวุ่นวายคือ
พี่ ๆ เอาเสื้อกันฝนพลาสติกวิ่งแจกรุ่นน้อง
และน้องนิสิตหญิง ได้เสื้อครบก่อนฝนจะตกหนัก
ส่วนน้องนิสิตชายก็ฉีกเสื้อแบ่งกัน เพราะแจกไม่ทัน
ทีนี้ พอฝนตกหนัก อารมณ์ คว่ำกะละมัง
พิธีกรประกาศปิดพิธีทันที และให้น้องแยกย้าย
ซึ่งถ้าว่ากันตามกำหนดการณ์แล้ว
มันยังมีพิธีอีกสองสามขั้นตอน
แต่ฝ่ายจัดกิจกรรมเลือกปิดพิธีทันที
และประกาศให้น้องวิ่งเข้าที่หลบฝนด่วน
ไม่มีการบังคับให้ทำพิธีต้องให้ครบสมบูรณ์
หรือบังคับอะไรที่เป็นการเห็นแก่ตัว
และท่านอาจารย์ในงานตอนนั้น
ก็ยังไม่ได้เดินออกไปหลบฝนนอกงาน
มีแค่เริ่มทยอยเอาร่มใหญ่มากางให้
หลังจากประกาศย้ำสุดท้ายว่าให้น้องวิ่งหาที่หลบฝน
ตอนนั้นเราหันกลับไปในสนาม
คือทุกคนวิ่งเว่ย คนละทิศคนละทาง
ส่วนเราเดินกลับมาตรงห้องเก็บของใต้พระบรมรูป
พอเห็นว่าไม่มีอะไรทำ
เราเลยเดินกลับศาลาพระเกี้ยว ไปเอากระเป๋า
ซึ่งตอนอยู่แถว ๆ ลานจักรพงษ์ ระหว่างเดินกลับ
มีสิ่งผิดปกติอย่างนึงที่มันผิดจนเราสังเกตได้
คือคนแถวนั้นเหมือนจะมองมาแถวรอบตัวเรา
นี่ก็เป็นโรคไม่สบตาใครอยู่แล้ว
ก็เลยก้มหน้าก้มตาเดินอย่างเดียว
และทันใดนั้น.. ก็ได้ยินเสียงข้าง ๆ
"ถ้ารู้ว่าฝนตกทุกปี ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่มีร่ม"
เห้ย! สำเนียงการพูดมันคุ้นหูจังวะ
นี่เลยหันไปมอง.....
'เห้ย!! เนติวิทย์!'
นี่เดินอยู่ข้าง ๆ เนติวิทย์มาพักใหญ่
ข้าง ๆ แบบไหล่ชนไหล่เลยนะ!!
ไม่แปลกใจแล้วทำไมคนมองมาแถวนี้
จากนั้นเนติวิทย์ก็เดินแยกไปทางวิดยา
ส่วนเราก็เดินตรงเข้าศาลาพระเกี้ยว
ตอนนั้นน่าจะประมาณสี่โมงเย็นได้มั้ง
แล้วนี่ก็ไม่รู้เรื่องดราม่าอะไรเลยนะ
ก็ยังไปเล่าให้แฟนฟังว่าเมื่อกี้เดินข้างเนติวิทย์เลย
แล้วก็เล่าว่าเหมือนเขากำลังหัวเสียอยู่
บ่นว่าทำไมไม่มีร่มให้ สงสัยหมายถึงให้รุ่นน้อง
แต่เขาแทนตัวเองว่าผมกับเพื่อน สุภาพดี
แล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะตอนนั้นหิวมาก
คือมือถือไม่ได้จับ มือสองข้างคว้าแต่ของกิน
จนประมาณหกโมงครึ่ง มารอแฟนตัดผมที่สยาม
ไปซื้อกระโปรงนิสิตแล้วเดินกลับมานั่งร้านตัดผม
น่าจะประมาณหกโมงสี่สิบได้มั้งตอนนั้น
เลยได้มีเวลานั่งจับโทรศัพท์มือถือ
แล้วก็ต้องร้อง 'โอ้วววว อะไรวะเนี่ย'
คือมีดราม่าเกิดขึ้นอย่างอลังการมาก
ไล่อ่านไปมีคนด่ากันเยอะมาก
ด่าทั้งตัวอาจารย์ ตัวเนติวิทย์ ตัวน้องรองประธาน
เราก็ไปไล่อ่านโพสท์ของทุกคนที่เกี่ยวข้องเลย
ซึ่งหนึ่งในนั้น มีประโยคนึงของเนติวิทย์
เขียนประมาณว่า 'เพื่อนนิสิตของผมตากฝน
ผมทนกับอะไรแบบนี้ไม่ได้ จึงเดินออกมา'
ในขณะที่มีอีกฝั่งหนึ่งเขียนว่า
'เนติวิทย์พยายามสร้างกระแส และทำสำเร็จ'
(ขอไม่ลงรายละเอียด ไม่อยากให้เกิดความเสียหาย)
ซึ่งนี่ตอบในจุดที่เดินอยู่ตรงนั้น
และได้ยินประโยคที่เนติวิทย์พูดกับสภานิสิตอีกคน
"ถ้ารู้ว่าฝนตกทุกปี ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่มีร่ม"
เราว่าเนติวิทย์ไม่ได้ต้องการสร้างกระแสให้อาจารย์
เราว่าน้องรู้สึกแบบที่น้องโพสท์จริง ๆ
และเราก็ย้อนกลับไปคิดจุดเราที่ยืนอยู่
ตรงห้องเก็บของใต้พระบรมฯ ตอนฝนลงหนัก
มีอาจารย์ผู้หญิงท่านหนึ่งในดราม่า
กล่าวด้วยเสียงที่ดังพอสมควรว่า
'ก็รู้ว่าฝนมันก็ตกทุกปี จะอะไรนัก'
ปัญหาถ้ามองกว้าง ๆ แบบไม่คิดตอนนั้น
มันคงจะมีคนเดือพร้อนโวยวายฝนตกมั้ง
เพราะอาจารย์ท่านนั้นก็ไม่ได้หลบฝน หรือมีร่ม
ซึ่งแน่นอนว่าตอนที่ได้ยิน เราไม่ได้คิดอะไรเลย
ก็คิดว่าคงพูดกับท่านอาจารย์ด้วยกัน
เพราะจุดนั้นมีแต่ท่านอาจารย์ในงาน
นิสิตฝ่าย(น่าจะ)สถานที่ก็วิ่งเก็บของกันอยู่
และอย่างที่บอก เราไม่รู้ดราม่าที่เกิดขึ้น
เพราะมัวแต่หิวและหาของกิน....
พอมาไล่ดูดราม่า ..จนแฟนเราตัดผมเสร็จ
เราก็ยื่นให้แฟนดู แล้วก็พูดกับแฟนว่า
'เธอจำที่เค้าเล่าว่าเค้าเดินข้าง ๆ เนติวิทย์ได้ไหม
เค้ารู้แล้วนะว่าประโยคที่น้องพูดคือเรื่องอะไร'
แล้วที่ด่าอาจารย์กันใหญ่โตว่ากระชากเด็ก
เหตุมาจากเด็กพุ่งขึ้นไปบนแท่นพระบรมฯ
มันก็คงไม่ใช่ (ถ้าย้อนไปคิดถึงคำพูดของอาจารย์)
พอแฟนเอาไปดูเสร็จ เราก็รับมือถือกลับมา
แล้วก็ตั้งสเตตัสว่า 'พัง...' ในเวลาทุ่มหน่อย ๆ
(อันนี้เล่าเพื่อยืนยันเวลาแบบมีหลักฐาน)
นั่นคือเวลาที่เราเพิ่งรู้เรื่องและเรียบเรียงได้
เป็นเวลาที่เพิ่งนึกย้อนกลับไปจับต้นชนปลาย
แล้วได้รายละเอียดจากมุมของเราทั้งหมดเสริม
ได้ออกมาเป็นข้อความข้างต้น
แต่นั่นแหละ นอกเหนือจากนี้เราไม่รู้
ประโยคที่ได้ยินจากเนติวิทย์ตอนนั้นมีประโยคเดียว
เช่นกันกับประโยคของท่านอาจารย์ผู้หญิง
ประโยคก่อนหรือหลัง เราไม่รู้เลย
ก็เลยเล่าละเอียดยันเวลาในเหตุการณ์
เผื่อเอาไปลองประมวลผลรวม ๆ กับข่าวอื่น
เรื่องบังคับหมอบกราบ ขอค้านว่าไม่มีในพิธี
แต่โอเคตอนแรกพิธีกรประกาศให้ลองนั่งพับเพียบ
แล้วหลังจากที่น้องลงนั่งฝนก็ลงเม็ดเลย
มันก็เลยต้องรีบเริ่มพิธีในจังหวะนั่งเลย
ก็เลยอาจจะเหมือนไม่มีจุดให้ยืนเคารพ
จริง ๆ คือเขารีบทำพิธีกันมากเว่ยยย
คนที่กล่าวเชิญอธิการบดีพูดรัวมากเว่ยย 555
ส่วนกระแสที่บอกเนติวิทย์เตี๊ยมช่างภาพไว้
หรือมีการสร้างกระแสเพื่อป่วนพิธี
เราก็ค้านเหมือนกันจากสิ่งที่เราได้ยิน
คือน้องไม่ตั้งใจพูดให้คนอื่นได้ยินหรอก
เขาก็คุยกันกับเพื่อนนั่นแหละ ปกติ
เพียงแค่เราบังเอิญได้ยินพอดี
และตรงนั้นฟุตบาธฝั่งที่น้องเดินแทบไม่มีเด็ก
เด็กเขาเดินกันอีกฝั่งของถนน
ถ้าจงใจให้มีคนได้ยิน เราว่าน้องไปเดินอีกฝั่งดีกว่า
หมดแล้ว ฝั่งเรามีเท่านี้
กรณีที่นอกกเหนือจากนี้ไม่ขอออกความเห็น
รู้แค่ว่า ตอนนี้จุฬาฯยังน่าอยู่เหมือนเดิม
ภาพรุ่นพี่วิ่งกันวุ่นวายแจกเสื้อกันฝนน้องยังติดตา
และสุดท้ายพวกรุ่นพี่นี่ไม่มีใส่กันนะ
เปียกมะล่อกมะแล่กกันทั่วหน้าแต่ดันสนุก
และความน่ารักของคนภายในยังอยู่เหมือนเดิม
ไม่โกรธเลยเวลาเห็นคอมเม้นท์ว่าดีนะไม่เรียนที่นี่
เพราะเราจะคิดแค่ว่า ทุกที่มีเรื่องขัดแย้งหมดแหละ
เพียงแค่ขัดแย้งในแง่ไหน ด้านอะไร กับใคร
และระยะเวลาที่ขัดแย้ง เทียบกับเวลาดี ๆ มีเท่าไหร่
พอคิด ๆ ไปแล้ว อัตราส่วนหนึ่งปีมีดราม่าสัก 10 วัน
นอกนั้นเป็นเรื่องให้มีความสุขได้ตลอด เราว่ามันพอ
ปล. แท็กผิดขออภัย
/มีจุดไหนทำให้ขุ่นเคืองต่อใคร เราลบออกเลย
/ตั้งเป็นกระทู้คำถามเพราะไม่ได้ยืนยันตัวตน
แต่สามารถหาตัวเราได้ไม่ยาก
ปปล. ความสุขที่ได้จากงานนี้คือ หลังจากฝนหยุด
เสื้อกันฝนและซองเสื้อกันฝนจะหมดประโยชน์
ซึ่งสิ่งที่พวกเราทำคือ ช่วยกันหิ้วถุงดำเดินเก็บ
แต่ละคณะก็ช่วยกันเก็บไป ไม่มีใครเมินใคร
และก่อนเรากลับ มีต้นไม้ล้มข้างทางแถวกรงบาส
ก็มีผู้ชายสองคนช่วยกันยกกระถางกลับมาตั้ง
คือจนแฟนเราอึ้ง พูดว่า 'ทำไมที่นี่คนดีเยอะจัง'
เนี่ยเว่ยย ความสุขที่ได้
ความภูมิใจไง ❤