[CR] พิสูจน์ความฟ้าของเมืองสีฟ้า ที่ประเทศอินเดีย ว่าฟ้าจริงหรือฟ้าแกล้งๆ ที่เมือง Jodhpur


สำหรับนักท่องเที่ยวไทยที่อยากมาเยือนอินเดีย
ต้องมีเมืองสีฟ้า หรือ Jodhpur (โจ๊ดปูร์)
เป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน
เมืองนี้อยู่ที่รัฐราชสถาน (Rajasthan)
ซึ่งรัฐนี้เขาจะมีเมืองสีๆ เป็นจุดดึงดูดความสนใจ
มีทั้งเมืองสีทองอย่าง Jaisalmer
และเมืองสีชมพูอย่างชัยปุระ หรือ Jaipur

ก็เล่นเคลมกันซะใหญ่โตเกินเบอร์ขนาดนี้
ก้าวแรกหลังจากเยื้องย่างประทับลงชานชาลา
ที่สถานีรถไฟ Jodhpur Junction
เราจึงตื่นเต้นเป็นพิเศษแบบเกินเบอร์เช่นกัน
ต้องหันไปซุบซิบกับเพื่อนในจินตนาการว่า...
เมืองนี้มันต้องฟ้าทั้งเมือง ตั้งแต่สถานีรถไฟ
ไปจนถึงห้องน้ำสาธารณะแน่ๆ เลยแกร

แต่เดินแล้วเดินอีก เลี้ยวซอยนั้น เข้าซอยนี้
เดินกันยาวไป 3 กิโลเมตรจนถึงที่พักที่จองไว้
ก็ยังไม่เห็นวี่แวว...
จะให้น้องเชื่ออะไรกับบ้านนี้เมืองนี้ได้บ้างคะ
มาตอนหลังถึงเก็ตว่า มันมีโซนที่เป็นสีฟ้า
อยู่แค่โซนเดียวเท่านั้นแหละทั้งเมืองนี้
ไม่รู้คิดได้เป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่
ถึงครึ่งหรือเปล่ายังไม่กล้าการันตีเลยเด้อ
มั่นมาก กล้ามาก ที่เอามาเป็นชื่อโปรโมต
แต่สภาพโดยรวมของเมืองก็น่ารักดีนะ
เพียงแค่อย่าไปยึดติดกับคำว่าสีฟ้ามากมาย

ถ้าตัดความผิดหวังเรื่องสีของเมืองไป
Jodhpur เป็นหนึ่งในเมืองที่เราชอบมากที่สุด
ด้วยช่วงที่เราไปอากาศดี แถมตรงกับวันปีใหม่
(ธันวาคม 2016 / มกราคม 2017)
นี่เป็นสถานที่ที่เราไปนับถอยหลังตะโกน
"แฮปปี้ นิวเยี้ยยยยยยยร์"
แข่งกับคนอินเดียนับร้อย และนั่งดูพลุ
กับชายหนุ่มข้างๆ ที่ไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธอ

มาดู 5 สถานที่น่าสนใจที่เราไปมา
ในเมืองสีฟ้าแกล้งๆ แห่งนี้กัน


1

หมุดหมายแรกจะเป็นที่ไหนไปได้
มาเมืองสีฟ้า... แน่ะ ยังจะใช้คำนี้อีก
ก็ต้องไปดูบ้านเรือนสีฟ้าให้ชื่นใจซะหน่อย
ย่านที่เขาทาเป็นสีฟ้ากัน คนที่นี่เรียกว่า...
‘Brahmaburi’ ออกเสียงประมาณ บรามะบูริ
แปลว่าเมืองของพระพรหม
ภาษาฮินดีนี่มีหลายคำที่คล้ายกับบ้านเรามาก
เพราะเรายืมคำจากบาลีสันสกฤตมาใช้เยอะ
‘Buri’ ในฮินดีก็แปลว่าเมืองเหมือนกัน

จริงๆ ที่ย่านสีฟ้านี่ก็มีโรงแรมให้บริการ
มีตั้งแต่แบบห้องนึงหลายเตียง ไปจนถึงแบบแฟนซี
แถมร้านอาหาร ร้านขายของฝากแถบนี้
ก็มีให้เลือกจับจ่ายใช้สอยกันครบครัน
แต่ส่วนตัวแล้วเราชอบพักแถวสถานีรถต่างๆ
เพราะมันสะดวกตอนเดินทางข้ามเมืองดี
ถ้าใครไม่ได้พักแถบนี้ก็คงต้องใช้ออโต้ริกชอว์
ราคาก็แล้วแต่ระยะทางเลยค่ะ
ใครบุญมาก เขาก็อาจจะเปิดมิเตอร์
ใครบุญน้อยก็… ทำบุญเยอะๆ หน่อยเนาะ



แวบแรกที่มาถึงย่านนี้คือฟิน
นี่สิ… ค่อยสมกับที่รอคอย มันต้องฟ้าแบบนี้สิ
บ้านเรือนย่านนี้ก็เป็นตามสไตล์อินเดียปกติ
คือจะเป็นบ้านทรงสี่เหลี่ยม มีดาดฟ้า
เกือบทุกหลังคาเรือนทาสีฟ้า
จะฟ้าเข้มฟ้าอ่อนก็คงขึ้นอยู่กับว่าทามานานแค่ไหน
สงสัยคงไม่ได้ใช้สีโฟร์ซีซั่นเด้อ

โซนสีฟ้านี้ไม่มีค่าเข้าใดใดทั้งสิ้นนะคะ
ใครมาเรียกเก็บแสดงว่าเป็นพวกต้มตุ๋น
อย่าลืมใส่ชุดสีฟ้าไปถ่ายรูปกับเมืองสีฟ้าด้วยนะ
แต่ถ้าอยากสวยแบบโดดเด่น
ต้องหาชุดสีสันแบบจี๊ดจ๊าด ลายพร้อย
รับรองว่าจะเป็นการคอนทราสต์ที่สวยมากแน่นอน



2

จุดต่อไปเป็นจุดที่ถัดจาก Brahmaburi มานิดนึง
จริงๆ ก็สามารถเดินมาได้ แต่ต้องขึ้นเนิน
อาจจะเหนื่อยหน่อยสำหรับคนที่ไม่ชอบเดิน
สามารถนั่งออโต้ริกชอว์ไปแทนได้ค่ะ

สถานที่แห่งนี้คือ Mehrangarh Fort
ออกเสียงได้ประมาณ เมรังก้าฟอร์ต
เป็นป้อมปราการบนภูเขาขนาดใหญ่
ตั้งตระหง่านเหนือเมือง Jodhpur
ราคาค่าเข้าตกอยู่ที่ 600 รูปี (300 บาท)
เพิ่มค่าถ่ายรูปอีก 100 รูปี (50 บาท)
รวมทั้งสิ้นเป็น 700 รูปีอินเดีย
เสียใจด้วย พาสปอร์ตไทยไม่สามารถใช้ลดราคาได้



ป้อมนี้เป็นจุดที่หลายๆ คนบอกว่า
จะมองเห็นวิวของโซนเมืองสีฟ้าสวยที่สุด
ซึ่งมันก็สวยพอตัวนะ แต่เราเจอจุดที่สวยกว่า
นั่นคือโซนบนเขาของ Brahmaburi

วันนั้น เรานัดไปเที่ยวกับชายหนุ่มอินเดีย
ที่นอนเตียงติดกัน แถมชอบถ่ายรูปเหมือนกัน
ฮีบอกว่ารู้จักกับเด็กคนหนึ่ง
ที่บ้านอยู่ในโซน Brahmaburi
แล้ววิวจากดาดฟ้าของบ้านน้องสวยมากๆ
เราชอบสุงสิงกับคนอินเดียอยู่แล้ว
นี่จะได้ไปเยี่ยมเยือนถึงในบ้านสีฟ้า
...มีหรือจะปฏิเสธ

และนี่คือวิวจากดาดฟ้าของบ้านน้องเปรม
เด็กน้อยที่พูดภาษาอังกฤษเก่งมาก
แถมยังใจดีพาพวกเราเดินชมนู่นนี่นั่นอย่างทั่วถึง
มองเห็นทั้งเมืองสีฟ้าและป้อมเลยค่ะ



3

ถัดลงมาจากป้อม Mehrangarh
เป็นย่านชอปปิ้งที่พลุกพล่านที่สุดในเมือง
นั่นคือ Sardar Market
ตลาดใหญ่กลางเมืองที่มีหอนาฬิกาตั้งตรงกลาง
ตัวตลาดเข้าได้ฟรี แต่ถ้าจะขึ้นไปหอนาฬิกา
เพื่อชมวิวมุมสูงต้องจ่ายค่าเข้า
ราคาก็ไม่กี่สิบรูปีอินเดียเท่านั้น

ตลาดนี้มีขายแทบทุกอย่าง
มีทั้งเสื้อกันหนาว ส่าหรี เครื่องประดับ
ใครอยากซื้อของกลับมาฝากเพื่อนฝูงในราคาถูก
ต้องห้ามพลาด ของกระจุกกระจิกเต็มไปหมด
ขนาดเราไม่ค่อยชอบซื้อของ
ยังได้เสื้อผ้าสไตล์อินเดียติดไม้ติดมือกลับมาเลย


4

สถานที่ต่อไปเหมาะกับสายแอดเวนเจอร์
ชื่อว่า Rao Jodha Desert Rock Park
เป็นเหมือนกับสวนหินขนาดย่อม
ที่เราสามารถเข้าไปเดินชมธรรมชาติได้
มีเดินขึ้นเขา ข้ามลำน้ำ ฝ่าดงกระบองเพชร
...ก็สนุกดีเหมือนกัน
สนนราคาค่าเข้าอยู่ที่ 100 รูปี (50 บาท)
กรณีที่ใครอยากมีไกด์คอยแนะนำนู่นนี่นั่น
ก็ให้เพิ่มเงินอีก 100 รูปีค่ะ

นอกจากการเดินสำรวจสัตว์เล็กสัตว์น้อย
รวมถึงพรรณไม้ใบหญ้าแล้ว
ที่นี่ยังมีบริการซิปไลน์ให้เล่นด้วย
สำหรับคนที่ชอบกิจกรรมผาดโผน
โดยซิปไลน์ที่นี่จะพาดระหว่างหุบเขา
แต่ส่วนตัวแล้วเรามองว่ามันไม่ได้สูงมาก
แต่ถ้าต้องขึ้นไปเล่นจริงๆ ก็คงเสียวน่าดู
เป็นกิจกรรมที่น่าเอาไว้เล่นกับผู้
ทำเป็นว่า อุ๊ย... น่ากลัวจังเลยค่ะขุ่นพี่ขา






5

จุดสุดท้ายที่เราจะนำเสนอ
เป็นสถานที่ที่เราเดินมั่วๆ แล้วก็มาเจอเฉย
จริงๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะเดินมั่ว
แต่ด้วยความที่มโนว่าตัวเองนั้น
เป็นเจ้าหญิงแห่งวงการขนส่งสาธารณะ
ไม่ว่าจะบ้านไหนเมืองใดก็ต้องขึ้นให้ได้
ปรากฏว่านั่งไปนั่งมา รถเมล์จะพาไปนอกเมืองเฉย
เลยต้องรีบขอลงทันที แต่ก็คงเป็นโชคดี
...ไม่งั้นก็คงไม่เจอสถานที่นี้

เราพยายามหาข้อมูล แต่ก็หาไม่เจอ
ว่าสถานที่นี้มันมีชื่อเรียกว่าอะไร
ลักษณะของมันเป็นเหมือนซากกำแพงเมืองเก่า
อยู่ไม่ไกลจากตลาด Sardar Market มาก
ถ้าใครอยากลองไปก็อิงจากพิกัดที่เราปักไว้ได้เลย
https://goo.gl/maps/kBTYRuXFqKT2
แต่ถ้าเป็นไปได้อย่าไปคนเดียวนะ
เพราะเราเจอประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

การจะขึ้นไปยังกำแพงนี้
ต้องเดินผ่านย่านชุมชนไป
ตอนนั้นมีเราเป็นนักท่องเที่ยวคนเดียวแถวนี้เลย
ทุกคนในหมู่บ้านตื่นเต้นกันมากถึงมากที่สุด
ออกมาโบกไม้โบกมือให้เรา
ตามหน้าต่างบ้าง ตามดาดฟ้าบ้าง  
แถมส่งเสียงตะโกนเซย์ไฮกันเจื้อยแจ้ว
ประหนึ่งว่าเราเป็นซูเปอร์สตาร์มาเดินพรมแดง
นี่สินะ สิ่งที่ชมพู่ อารยารู้สึก ...สวยไปอี้ก



ตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอกว่าขึ้นกำแพงได้
แต่คนแถวนั้นที่ผ่านมาทักทายเราบอกว่า
ขึ้นไปสิ วิวด้านบนสวยมากๆ
แล้วเขาก็เลยชี้ทางขึ้นให้เราดู
มีชายสองคนเห็นเราเดินขึ้นไปก็เดินตาม
เราพยายามเว้นระยะห่าง
และคอยสังเกตท่าทางของพวกเขาตลอด
ถึงแม้จะไม่อยากมองคนในแง่ร้ายเกินไป
แต่พฤติกรรมแบบนี้ก็ไม่ปกติ

วิวด้านบนกำแพงดีมากจริงๆ
อารมณ์เหมือนเดินบนกำแพงเมืองจีนขนาดย่อม
เห็นวิวของเมือง Jodhpur ไปสุดลูกหูลูกตา
แต่ไม่มีใครระบุจุดชมวิวนี้ไว้ในไกด์บุ๊กเลย
เราถ่ายรูป นั่งพักผ่อนตากลมไปตามประสา
พอรู้สึกว่าพอแล้วก็เลยเดินลง



ระหว่างที่เรากำลังจะลงนี่แหละ
อยู่ๆ สองหนุ่มนั้นก็เข้ามาประชิดตัว
บอกให้เราจ่ายเงิน งงมาก
นางบอกว่าให้จ่ายเป็นค่าไกด์นำทาง
อิผี เดินตามเรามาแท้ๆ มาหาว่านำทางเรา
เราก็บอกว่าไม่จ่ายเด้อ
ดีนะที่มันมีทางลงหลายทาง
เราเลยวิ่งอ้อมไปลงอีกด้านนึงแทน
ตอนนั้นก็ใจหายเบาๆ เพราะอยู่คนเดียว
เพราะฉะนั้น ใครอยากมาตรงจุดนี้
ขอร้องล่ะ เกณฑ์พรรคพวกมาเยอะๆ เน้อ
หรือไม่ก็ระวังตัวเองดีๆ

พอบอกอย่างนี้ก็ไม่ใช่ว่าอินเดียน่ากลัวนะ
คนอินเดียจริงๆ นิสัยดีมากๆ
แถมชอบช่วยเหลือนักท่องเที่ยวแบบไม่หวังอะไร
แต่ก็นะ... มันก็มีคนบางกลุ่ม
ที่คอยแต่จะฉกฉวยประโยชน์
จากความไว้ใจของนักท่องเที่ยว
ซึ่งจะว่าไปแล้วก็มีกันทุกประเทศนั่นแหละ
ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้ในฐานะนักท่องเที่ยว
คือเซฟตัวเอง ระมัดระวัง อย่าประมาท

เท่านี้ การท่องเที่ยวก็จะสนุกขึ้นเป็นกอง


การเดินทาง

จากเมืองใหญ่ๆ ของอินเดียอย่าง
ชัยปุระ หรือนิวเดลี
มีทั้งรถไฟและรถทัวร์มาถึง Jodhpur เลย
ปกติจะเป็นแบบนั่งข้ามคืน (กรณีเดลี)
แถมจาก Jodhpur จะไปต่อเมืองอื่นๆ
ในแถบรัฐราชสถานก็สะดวกสุดๆ

ส่วนการเดินทางภายในเมืองก็ใช้ออโต้เป็นหลัก
เพราะไม่ค่อยมีรถโดยสารสาธารณะ
คือมันมีนะ แต่มันไม่ไปจุดที่เราจะไปเที่ยวกัน
เหมือนที่เราขึ้นผิดไง (ฮ่า)
แต่รถเมล์ที่นี่มีความแปลก
เขาจะเป็นรถเมล์คันเล็กๆ
ขนาดใหญ่กว่ารถตู้นิดเดียวเอง
เวลานั่งนี่อย่างอบอ้าว ทั้งๆ ที่ช่วงที่เราไป
อากาศกำลังเย็นสบายเลย

ติดตามเรื่องเล่าสนุกๆ จากการเที่ยวธรรมชาติ
ตามประสาคนรักธรรมชาติ แต่ธรรมชาติไม่รัก
ได้ที่ https://www.facebook.com/mossyisnaturaldisaster/
หรือ https://www.instagram.com/mossymouse/
ชื่อสินค้า:   ประเทศอินเดีย
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่