แค่อยากระบายในตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่ อยากให้คนเป็นพ่อแม่ลองเข้ามาอ่าน

หลายคนอาจจะเบื่อแล้ว เพราะช่วงนี้มีคนมีข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้เยอะ ใครที่ไม่อยากอ่านคลิกปิดไปเลยก็ได้นะคะ

เราเป็นโรคซึมเศร้าค่ะ ได้รับการวินิจฉัยโดยจิตแพทย์แล้ว ตอนแรกรักษาตัวอยู่ที่มนารมย์ก่อนจะย้ายมาศิริราชเพราะสู้ราคาไม่ไหว ตอนนี้ทานยามาหนึ่งปีแล้วค่ะ ปรับเปลี่ยนยามาเรื่อยๆ ยังไม่เจอตัวที่โอเค หมอนัดอาทิตย์นึงบ้าง สองอาทิตย์บ้าง แต่ไม่เคยนานกว่านั้น ชีวิตเราเลยวนเวียนอยู่ที่โรงพยาบาล ทานยากด ก่อนหน้านี้มีครั้งหนึ่งดีเพรสแรงมากจนคุณหมอสั่งแอดมิท แต่สุดท้ายเราก็ไม่ได้นอนเพราะเตียงไม่ว่าง และคุณหมอไม่อยากส่งเราไปอยู่ที่โรงพยาบาลศูนย์ต่างๆเพราะกลัวอาการจะแย่เข้าไปกันใหญ่

ที่เกริ่นมาข้างต้น แค่ต้องการจะสื่อว่าเราไม่ได้แกล้งป่วยหรืออยากเรียกร้องความสนใจ เราเลยจุดนั้นมาแล้วค่ะ เคยรู้สึกว่าอยากจะระบายให้คนที่สนิทกันรู้ว่าเราเป็นอะไร แต่หลายครั้งพบว่าทุกคนเองก็ไม่พร้อมฟัง ทุกคนต่างก็มีความเครียดและภาระหน้าที่ของตัวเองอยู่ เรารู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล วันนี้ที่มาพูด ก็แค่อยากจะให้ใครสักคนที่ไม่รู้จักเราได้ฟัง ก่อนที่เราจะไม่มีโอกาสได้พูดอีก

เราเป็นลูกสาวคนโตในครอบครัวที่มีฐานะดีในระดับหนึ่ง มีน้องสาวหนึ่งคน คุณพ่อคุณแม่ยังอยู่ครบ คุณตาคุณยายก็ยังแข็งแรง ทุกคนในบ้านก็รักใคร่กันดี ดูอบอุ่น ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ปัญหาในบ้านคือเราค่ะ เป็นเราทั้งหมด

ตั้งแต่เด็กเราเป็นคนพูดค่อนข้างเก่ง การเรียนก็อยู่ในระดับดีมากมาโดยตลอด ค่อนข้างเรียบร้อยไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง และเป็นคนที่ชอบความสมบูรณ์แบบ เราชอบที่พ่อกับแม่มีความสุขทุกครั้งที่เราทำอะไรได้ดี เราเลยพยายามมาขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆอยู่ตลอด เกรดไม่เคยต่ำหว่า 3.7 หากเทอมไหนมีวิชาไหนที่ไม่ได้ 4 เราจะเครียดมาก และวิชาที่ทำให้เราเครียดทุกครั้งคือวิชาภาษาอังกฤษ แน่นอนว่าตอนเด็กๆมันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร แค่เขียน ABC ได้ ท่องศัพท์ได้ทุกอย่างก็จบโอเค เก็บคะแนนได้สบายๆ แต่กลังจากที่เริ่มมีการเขียนประโยค เรามักจะมีปัญหากับแกรมม่าเสมอ อยู่ๆคลังศัพท์ในหัวก็ว่างเปล่า จำอะไรไม่ได้เลย ไม่สามารถเข้าใจได้...ซึ่งเราคิดว่านี่คือจุดเริ่มต้น

ตอนอยู่ชั้นประถม เราย้ายโรงเรียนสามครั้ง ตอนแรกอยู่ในโรงเรียนประจำอำเภอ ก่อนจะย้ายเข้าเมืองมาตอนป.สาม และย้ายโรงเรียนอีกครั้งตอน ป.ห้า เพราะย้ายแต่ละครั้งอยู่ได้ไม่นาน เราเลยกลายเป็นคนที่ไม่มีเพื่อน ปัญหานี้ชัดเจนตอนเราย้ายเข้าโรงเรียนที่สาม ป.ห้า ทุกคนในห้องรู้จักและสนิทกันหมดแล้ว แต่ตอนแรกเราก็ไม่คิดอะไรก็พยายามเข้ากลุ่มกับคนที่คิดว่าเขาดูสนิทกับเรา ตามเขาไปไหนมาไหนกันเป็นกลุ่มเพราะคิดว่าเขาเป็นเพื่อน จนสุดท้ายโดนตอกมาประโยคนึงว่า หยุดตามได้ไหม เขาอยากจะไปแค่กับเพื่อนเขา ซึ่งตอนนั้นเราเจ็บมาก เป็นประโยคที่มันหลอนหูมาจนถึงทุกวันนี้ หลังจากโดนบอกวันนั้น เราเลยไม่ตามกลุ่มนั้นอีก โชคดีที่เทอมต่อมามีเพื่อนย้ายมาตอนกลางเทอม โชคดีอีกครั้งที่เรากับเพื่อนคนนั้นเข้ากันได้ดี แล้วเขาก็กลายมาเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดคนแรกของเรา แต่ก็เป็นแบบนั้นได้แค่สองปี เราเองก็ต้องย้ายโรงเรียนอีกครั้ง ตอนจะเข้า ม.1 เพราะทางบ้านต้องการให้เราเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำจังหวัดที่มีชื่อเสียง แน่นอนเราตอบรับ ไม่ได้ขัดข้องอะไรเพราะเพื่อนเราก็จะไปสอบด้วย รอบแรกเป็นโครงการพิเศษดาวรุ่งมุ่งโอลิปิก เราสอบตก ได้ที่ 627 จากที่รับ 120 คน ทุกวิชาเราได้เกือบเต็ม แต่วิชาภาษาอังกฤษกลับได้แค่ 20 เปอร์เซ็น แน่นอนพ่อแม่เราผิดหวังมาก และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เราทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ยังดีที่มีโอกาสครั้งที่สอง เป็นสอบรอบธรรมดาห้องธรรมดา เราพยายามมาก อ่านหนังสือ เรียนพิเศษ พ่อเองก็มาติวหนังสือให้จนดึกดื่น โชคดีที่คราวนี้ไม่มีวิชาภาษาอังกฤษ เราสอบได้ ติดในอันดับที่ 18 จากที่เข้าสอบสี่พันกว่าคน ตอนนั้นพ่อกับแม่ดีใจมาก เราเองก็ดีใจมากๆ รู้สึกภูมิใจในตัวเองสุดๆ แต่น่าเสียดายที่เพื่อนสนิทของเราสอบไม่ได้ การย้ายโรงเรียนใหม่ครั้งนี้เลยมีแค่เราคนเดียว ตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไร เสียดายมากก็จริงแต่ก็คิดว่าหาเพื่อนใหม่เอาก็ได้ จริงๆโรงเรียนเดิมก็ต้องการให้เราอยู่ต่อ เพราะเราเป็นเด็กกิจกรรมที่เดินสายล่ารางวัลมาให้โรงเรียนเสมอ ครูประจำชั้นถึงกับมาเรียกไปคุยกับมาเซอร์ว่าถ้าเราเรียนต่อ ทางโรงเรียนจะออกทุนการศึกษาให้เรียนฟรี แต่ตอนนั้นพ่อแม่เราเห็นว่าถ้าไปโรงเรียนที่เราสอบได้จะมีโอกาสดีกว่าดังนั้นจึงไม่ได้ตอบรับทุน และเข้ารายงานตัวกับโรงเรียนใหม่ จำได้ว่าตอนนั้นตื่นเต้นมาก เพราะโรงเรียนกว้างมาก สวยมาก ทุกอย่างแปลกใหม่ไปหมด แถมเราเองก็ถูกจัดไปอยู่ห้อง 3 ที่เป็นห้องโครงการพิเศษด้วย ตอนนั้นพ่อกับแม่ดีใจมาก ภูมิในในตัวเราที่สุด เอาเรื่องนี้ไปคุยกับญาติๆได้อีกหลายปี เพราะอำเภอที่เป็นบ้านเกิด เราถือเป็นรุ่นแรกๆที่สอบเข้าโรงเรียนนี้ได้ ความรู้สึกของเราเหมือนกำลังขึ้นสวรรค์ อาจจะดูเว่อร์แต่ตอนนั้นเราก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆ

เราไม่รู้เลยว่าโรงเรียนนี้จะกลายเป็นสถานที่ที่เหมือนนรก...

หลังจากเปิดเรียน เราได้พบสังคมใหม่ กว้างกว่าเดิม หลากหลายมากกว่าเดิม เป็นครั้งแรกที่รู้สึกได้ถึงแรงกดดัน ทุกคนที่นี่เก่งมาก แค่ในห้องก็มีคนที่เหนือกว่าเราหลายคนแล้ว ยังมีห้องที่เหนือขึ้นไปอีกสองห้อง บรรยากาศเต็มไปด้วยการแข่งขัน เด็กที่เข้ามาเรียนในที่นี้ได้เลยค่อนข้างจะมีความมั่นใจในตัวเองสูงทุกคน เราเองก็เป็นแถวหน้าเสมอ เป็นเด็กหน้าห้องที่มักอาสาช่วยงานคุณครูจนโดนเรียกว่าเด็กครู ตอนนั้นเราก็ไม่คิดอะไร เพราะเราก็ถูกสอนมาแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่ทันคิดว่าจะทำให้เพื่อนไม่ชอบหน้า ตอนแรกทุกอย่างก็ไม่มีอะไร จนครั้งนึงเราพลาด หลุดภาษาถิ่นของเราออกมาตอนครูกำลังสอนภาษาไทยและคำเรียกของต่างๆ ตอนนั้นเพื่อนทั้งห้องหัวเราะเรา เราอายมาก แต่ก็ไม่ซีเรียสขำตามไปด้วย แต่หลังจากนั้นเพื่อนก็จะมาถามเราว่าของอันนั้นอันนี้บ้านเราเรียกว่าอะไร เราก็ตอบไปตามตรง ไม่ทันเห็นว่าสายตาเพื่อนมันเจือความเยาะหยัน เราไม่รู้ตัวเลยจนกระทั่งไปได้ยินเขาซุบซิบกันว่าเรา และเพราะเราเป็นเด็กอาจารย์ ทั้งในห้องยังไม่มีเพื่อนที่มาจากโรงเรียนเดียวกัน เราเลยไม่มีกลุ่มอยู่ ไม่มีเพื่อนเดิน ทำงานอะไรก็มักเป็นเศษเหลือที่ต้องให้ครูจับยัดเข้าไปอยู่ในสักกลุ่มเสมอ เราเริ่มสัมผัสได้ถึงความแปลกแยก แต่พยายามคิดว่าไม่มีอะไร ยังพอไหว ปลอบตัวเองว่าเพิ่งย้ายมาใหม่ เดี๋ยวก็ดีเอง แต่สถานการณ์กลับแย่ลงเรื่อยๆ เราพบว่าการเรียนที่นี่มันยากมาก ทั้งยังเป็นรุ่นแรกของโรงเรียนที่เอาเคมีชีวะฟิสิกส์มาให้เรียนตั้งแต่พวกเราอยู่ม.1 เรียกได้ว่าเป็นรุ่นทดลอง แถมยังเป็นปีแรกที่โรงเรียนยกเว้นไม่ให้เด็กโครงการพิเศษต้องเดินเรียนแบบห้องอื่นๆ ทั้งยังให้ผู้ปกครองปรับปรุงห้องให้อย่างดี ติดแอร์ติดพัดลมหรูหรา แถมยังมีล๊อคเกอร์เก็บของอีก เลยทำให้เด็กโครงการอื่นไม่ค่อยชอบสามห้องแรกกันเท่าไหร่ มีเรื่องทะเลาะกันอยู่เนืองๆ ชีวิตก็ดูปกติดี แต่ความจริงแล้วเราเครียดมาก เมื่อทุกคนเก่ง เราก็ต้องพยายามมากขึ้น เรียนหนักมากขึ้น เรียนพิเศษว่าที่ไหนดีก็เรียนหมด ทุกวันเลิกเรียนสองทุ่ม เสาร์อาทิตย์ก็ต้องขึ้นรถเมย์เข้าเมืองมาเรียนตั้งแต่เช้า กว่าจะได้กลับก็ค่ำมืด เหนื่อยมาก เหนื่อยสุดๆ แต่ผ่อนแรงไม่ได้ ถ้าผ่อนแรงแล้ว คะแนนรวมจะออกมาไม่ดี ปลายปียังมีอันดับคะแนนของเราในโรงเรียนอีก ถ้าทำไม่ดีพ่อแม่ก็จะขายหน้า เราพยายามไม่ให้อันดับตัวเองเกิน 150 เสมอ (เพราะสามห้องแรกมีห้องละ 50 กว่าคน ถ้าอันดับต่ำกว่านี้ก็จะไม่ดีในความคิดเรา) เราเรียนจนเหนื่อย เรียนจนอ้วก จนแล้วจนรอดเราก็ยังหาเพื่อนเดินด้วยไม่ได้ เพื่อนที่จะไปทานข้าวด้วยกันก็ไม่มี สุดท้ายเราก็เลยเลี่ยงไปห้องสมุด สุดท้ายก็สมัครเข้าบรรณารักษ์อาสา ใช้ชีวิตตอนพักกลางวันพักอ่านหนังสือที่เราชอบอยู่ในห้องสมุด ทุกอย่างก็เหมือนจะดี...แต่ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งรู้สึกว่าเราแปลกแยกกับที่นี่ จริงๆเราชอบวาดรูป เคยประกวดมาหลายที่ ได้รางวัลเสมอ แต่พอมาอยู่ที่นี่เราไม่มีโอกาสได้วาดเลย พอวาดก็โดนหัวเราะ มีแค่วิชาศิลปะที่จะมีเพื่อนเข้ามาให้เราช่วย การเรียนที่โรงเรียนก็เข้มข้นมาก เพราะเรียนอยู่ห้องพิเศษ ทุกวันก็ต้องเรียนมากกว่าเด็กห้องธรรมดาหนึ่งคาบ ข้อสอบก็เป็นคนละชุดกับห้องอื่นๆ(คือยากเป็นพิเศษเสมอ) สองปีแรกเราทำได้ค่อนข้างดี แต่ก็พบว่าเราไม่อาจรักษาระดับเกรดให้สูงได้มากเท่าเดิม พ่อกับแม่เริ่มถามว่าทำไม เริ่มดุว่า และให้เราเรียนพิเศษเพิ่มขึ้น จากที่เยอะอยู่แล้วก็เพิ่มขึ้นอีก บางวันเลิกเรียนสี่ทุ่มก็มี เราก็กัดฟันเรียน เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง เราเรียน เรียน เรียน เรียนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่สุดท้ายก็สอบตกเป็นครั้งแรกตอน ม.สาม วิชาภาษาอังกฤษเพิ่ม เราช๊อคมาก และนั่นเป็นครั้งแรกที่เราโดนตี โดนด่าว่าอย่างรุนแรง ตอนนั้นเกรดเราตกมาเกือบทุกวิชา มาที่ 3.5 ได้ 4 อยู่ไม่กี่ตัว เป็นครั้งแรกที่เราโดนดุจนน้ำตาไหล โดนจับเอาหัวโขกกับคอนโซลรถถามว่าเราทำอะไรอยู่ ทำไมเกรดถึงร่วงขนาดนี้ เราร้องไห้ สัญญาว่าจะทำให้ดีขึ้น ตอนนั้นพ่อก็เริ่มจำกัดการอ่านหนังสือการ์ตูนของเรา บอกว่าเราติดการ์ตูนมาก พ่อเก็บหมด เราก็พยายามเรียน แต่ยิ่งเรียนกลับยิ่งจิตตก มีเพียงเวลาที่เข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุดเท่านั้นที่เรายังสามารถลืมทุกอย่างไปได้ชั่วคราว ไม่ต้องคิดถึงเรื่องเรียน เรื่องเพื่อนที่ปัจจุบันก็ยังไม่มีใครคบ เรายังเรียนพิเศษอย่างบ้าคลั่ง กัดฟันเรียนต่อไปเรื่อยๆ พอจิตตกก็มาหาหนังสือการ์ตูนอ่าน แต่พอคะแนนตกลงอีก คราวนี้พ่อกับแม่ก็สั่งห้าม ให้เราเลิกอ่านหนังสือไร้สาระ วาดรูปก็ห้ามอีก เสียเวลาอ่านหนังสือ ถึงขั้นขนหนังสือการ์ตูนที่พยายามเก็บเงินซื้อ ขนภาพวาดที่เราเก็บไว้ตั้งแต่เด็กมาจนถึงตอนนี้มาโยนใส่กะละมังเหล็กแล้วจุดไฟเผา เราร้องไห้ ขอให้หยุด แต่ไม่ทันแล้ว แม่จุดไฟเผาไปแล้ว ตอนนั้นเราร้องไห้หนักมาก ยืนมองของรักของตัวเองโดนเผาไปเรื่อยๆ ยังโดนตีที่แอบซื้อหนังสือมาซุกไว้ที่บ้านอีก ไม้แขวนเสื้อเหล็กฟาดมา เราเจ็บมาก วินาทีนั้นเหมือนมีอะไรในหัวแตกละเอียด ความคิดของเรามึนเบลอ

เราทำอะไรผิดหรอ? เราตั้งใจเรียนมาตลอด ไม่เคยกลับบ้านช้า เรียนทุกอย่างที่พ่อกับแม่ขอให้เรียน เราพยายามมาก พ่อแม่ไม่ว่างรับส่งเราก็ขึ้นรถไปเรียนพิเศษเองตั้งแต่ขึ้นป.4 วันไหนพ่อแม่ไม่ว่างมารับเราก็ขึ้นรถเมย์กลับบ้าน วันไหนพ่อแม่มีธุระไม่ว่างก็ยอมนั่งรอจนกลายเป็นคนสุดท้ายที่อยู่ในโรงเรียน เกมส์คอมพิวเตอร์เราก็ไม่เคยขอเล่นขอซื้อ เราขอแค่หนังสือ ขอมุมเล็กๆให้เราได้พักใจบ้าง ทำไมถึงทำกับเราขนาดนี้ เรากลายเป็นคนเงียบขรึมมากกว่าเดิม ไม่ร้องไห้ต่อหน้าเขาแล้ว ไม่อยากโดนหาว่าสำออยอีก เขาให้ทำอะไรเราก็ทำ เรียนอะไรเราก็เรียน แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจเท่าเดิมแล้ว เริ่มแอบเอาเงินค่าข้าวไปเช่าหนังสือ ยอมอดไม่กินอะไร เราเช่าเยอะมาก เยอะขึ้นเรื่อยๆ เช่าตอนเช้าคืนตอนเย็น วันละสองเล่มกลายเป็นวันละสี่ วันละหก กลายเป็นสิบ สิบสองเล่ม เราเช่าจนกระเป๋านักเรียนเรายัดไม่เข้า เป็นความรู้สึกที่เบาแบบน่าประหลาด เป็นครั้งแรกที่ได้ต่อต้านพ่อกับแม่ เราก้มหน้าอ่านทุกครั้งที่มีเวลาว่าง แต่ก็ยังตั้งใจเรียนอยู่ พยายามรักษาเกรด แต่ก็อย่างที่พิมพ์ไว้ด้านบน โรงเรียนนี้ไม่มีที่ให้คนผ่อนแรง เทอมนั้นเป็นม.3เทอม 2 เกรดเราตกหนักมาก ตอนคะแนนออกบ้านเราแทบแตก เป็นครั้งแรกที่ได้เกรด 3 และมีวิชาที่ได้ 4 แค่ตัวเดียวคือศิลปะ เราโดนด่า โดนตี โดนหักค่าขนม ดีที่ก่อนหน้านี้เรารักษาเกรดดีมาตลอด คะแนนเฉลี่ยเลยไม่ต่ำกว่า 3.5 เลยยังสามารถอยู่โครงการพิเศษต่อไปได้ ตอนจะขึ้นม.4 เราลองขอเป็นครั้งแรกว่าเราอยากเรียนสายศิลป์คำนวน แต่พ่อกับแม่ไม่เห็นด้วย ท่านว่าสายวิทย์ไปสอบเข้าของสายศิลป์ได้ แต่สายศิลป์มาสอบสาขาที่สายวิทย์สอบไม่ได้ ให้เรียนไปก่อน เราเลยร้องขอ ว่าสายนี้พ่อกับแม่เลือกแล้วว่าจะให้เรียนวิทย์คณิตต่อ ตอนเข้ามหาลัยจะขอเลือกสายเอง ตอนนั้นพ่อกับแม่ตกลง

(ตัวอักษรเกินขอต่อคอมเม้นด้านล่างค่ะ อาจจะช้าหน่อยนะคะ พิมพ์จากมือถือ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่