ผมมีความรู้สึกว่าหนังบางเรื่อง ไม่ดูในโรงถือว่าผิด ตัวอย่างที่ชัดเจนเชื่อเรื่อง mad max fury road เรื่องนี้ผมดูแผ่นที่บ้าน รู้สึกผิดมาก ความงดงามของฉากนั้นต้องดูในโรงเท่านั้นถึงจะอิ่มเอม และสมควรกับความทุ่มเทที่คนทำหนังสร้างระดับภาพและเสียงมา
แต่ก็มีหนังบางเรื่อง ไม่ใช่แค่ต้องดูโรง ยังต้องดูโรงไอแม็กซ์ด้วย ตัวอย่างเช่น gravity การดูหนังเรื่องนี้ในโรงไอแม็กซ์ไม่ใช่แค่การดูหนังแล้ว แต่เป็นประสบการณ์การรับรู้ความยิ่งใหญ่ เวิ้งว้าง อีกแบบหนึ่ง
ผมคิดว่า dunkirk จัดอยู่ในหนังแบบเดียวกับ gravity โดยเฉพาะ dunkirk หนักข้อกว่าอีก เพราะเส้นเรื่องของหนังและตัวละครในเชิงการเล่าเรื่องนั้น บางและน้อย หนังเน้นการสร้างความรู้สึกจากภาพและเสียง เพื่อให้คนดูเป็นหนึ่งไปกับตัวละครและฉาก (ไม่ได้เน้นเรื่องราวเท่าไหร่ ) จุดประสงค์นี้ทำให้ต้องไปดูหนังเรื่องนี้ในโรงไอแม็กซ์เพราะมีคุณสมบัติที่แตกต่างจากโรงหนังทั่วไป
เราเคยเห็นฉากเครื่องบินยิงสู้กันจากหนังหลายเรื่องแล้ว แต่สำหรับผม เรื่องนี้ทำให้รับรู้ถึงความยากของการเป็นนักบินจริงๆ ผืนฟ้าช่างเวิ้งว้างและการไล่ยิงเครื่องบินอีกลำที่มันบินไปบินมานี่มันช่างโคตรยาก ( จริงๆเอาแค่ไม่อ้วกก็เก่งแล้ว)
หนังตัดสลับความเวิ้งว้างกับความคับแคบหลายต่อหลายครั้ง( ฟ้า / ห้องนักบิน / ทะเล / เรือยอร์ช / หาดทราย / ซากเรือประมง ) นี่เป็นหนังที่เล่นกับสเปซเต็มที่ ลูกเล่นแบบนี้ คนดูคงซึมซับมันได้ยากในโรงหนังทั่วไป
นอกเหนือจากการดีไซน์ภาพและเสียงให้ดูมีพลังในการสร้างมิติแล้ว อีกจุดหนึ่งที่น่าทึ่งคือไทม์ไลน์ เราเคยเห็นหนังที่เล่นกับไทม์ไลน์มาแล้วหลายรูปแบบ ตอนจบขึ้นก่อน ตอนจบอยู่ตรงกลาง หรือที่กำลังฮิตแบบหนังวนลูป(กราวฮ็อกเดย์) แต่เรื่องนี้เล่นสามไทม์ไลน์ ที่มาช้า มาปานกลาง และมาเร็ว สุดท้ายก็มาเจอกัน ณจุดๆหนึ่ง เหมือนเข็มชั่วโมง เข็มนาที และเข็มวินาที มาทันกันที่จุดหนึ่งบนหน้าปัดนาฬิกา ...โคตรใหม่เลยครับ แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะไทม์ไลน์ที่ยากกว่าและใหม่กว่าแบบ memento โนแลนก็ทำมาตั้งนานแล้ว
แต่หนังเรื่องนี้ก็ฉายโรงทั่วไปด้วย ถ้าจะให้คำจำกัดความ dunkirk ในฐานะหนังทั่วไป ผมขอบอกว่านี่เป็นหนังที่มีแต่ไคลแม็กส์ ไม่มีผ่อน มองมุมหนึ่งคงมีคนไม่ชอบแน่ๆ เพราะรสชาติมันแปลกเกิ๊น แต่มองอีกมุม นี่คือรูปแบบการเล่าเรื่องที่ท้าทายคนทำและคนดูมากๆ
เท่าที่ฟังมา มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ แต่ไม่ว่ายังไง ถ้าคุณชอบเป็นคนชอบดูหนัง dunkirk เป็นหนังที่ไม่ควรพลาด ไม่ว่าดูเสร็จแล้วจะรักหรือจะเกลียด แต่อย่างน้อยคุณก็ได้ดูมันแล้ว
DUNKIRK - หนังที่ต้องดูในโรงไอแม็กส์
แต่ก็มีหนังบางเรื่อง ไม่ใช่แค่ต้องดูโรง ยังต้องดูโรงไอแม็กซ์ด้วย ตัวอย่างเช่น gravity การดูหนังเรื่องนี้ในโรงไอแม็กซ์ไม่ใช่แค่การดูหนังแล้ว แต่เป็นประสบการณ์การรับรู้ความยิ่งใหญ่ เวิ้งว้าง อีกแบบหนึ่ง
ผมคิดว่า dunkirk จัดอยู่ในหนังแบบเดียวกับ gravity โดยเฉพาะ dunkirk หนักข้อกว่าอีก เพราะเส้นเรื่องของหนังและตัวละครในเชิงการเล่าเรื่องนั้น บางและน้อย หนังเน้นการสร้างความรู้สึกจากภาพและเสียง เพื่อให้คนดูเป็นหนึ่งไปกับตัวละครและฉาก (ไม่ได้เน้นเรื่องราวเท่าไหร่ ) จุดประสงค์นี้ทำให้ต้องไปดูหนังเรื่องนี้ในโรงไอแม็กซ์เพราะมีคุณสมบัติที่แตกต่างจากโรงหนังทั่วไป
เราเคยเห็นฉากเครื่องบินยิงสู้กันจากหนังหลายเรื่องแล้ว แต่สำหรับผม เรื่องนี้ทำให้รับรู้ถึงความยากของการเป็นนักบินจริงๆ ผืนฟ้าช่างเวิ้งว้างและการไล่ยิงเครื่องบินอีกลำที่มันบินไปบินมานี่มันช่างโคตรยาก ( จริงๆเอาแค่ไม่อ้วกก็เก่งแล้ว)
หนังตัดสลับความเวิ้งว้างกับความคับแคบหลายต่อหลายครั้ง( ฟ้า / ห้องนักบิน / ทะเล / เรือยอร์ช / หาดทราย / ซากเรือประมง ) นี่เป็นหนังที่เล่นกับสเปซเต็มที่ ลูกเล่นแบบนี้ คนดูคงซึมซับมันได้ยากในโรงหนังทั่วไป
นอกเหนือจากการดีไซน์ภาพและเสียงให้ดูมีพลังในการสร้างมิติแล้ว อีกจุดหนึ่งที่น่าทึ่งคือไทม์ไลน์ เราเคยเห็นหนังที่เล่นกับไทม์ไลน์มาแล้วหลายรูปแบบ ตอนจบขึ้นก่อน ตอนจบอยู่ตรงกลาง หรือที่กำลังฮิตแบบหนังวนลูป(กราวฮ็อกเดย์) แต่เรื่องนี้เล่นสามไทม์ไลน์ ที่มาช้า มาปานกลาง และมาเร็ว สุดท้ายก็มาเจอกัน ณจุดๆหนึ่ง เหมือนเข็มชั่วโมง เข็มนาที และเข็มวินาที มาทันกันที่จุดหนึ่งบนหน้าปัดนาฬิกา ...โคตรใหม่เลยครับ แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะไทม์ไลน์ที่ยากกว่าและใหม่กว่าแบบ memento โนแลนก็ทำมาตั้งนานแล้ว
แต่หนังเรื่องนี้ก็ฉายโรงทั่วไปด้วย ถ้าจะให้คำจำกัดความ dunkirk ในฐานะหนังทั่วไป ผมขอบอกว่านี่เป็นหนังที่มีแต่ไคลแม็กส์ ไม่มีผ่อน มองมุมหนึ่งคงมีคนไม่ชอบแน่ๆ เพราะรสชาติมันแปลกเกิ๊น แต่มองอีกมุม นี่คือรูปแบบการเล่าเรื่องที่ท้าทายคนทำและคนดูมากๆ
เท่าที่ฟังมา มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ แต่ไม่ว่ายังไง ถ้าคุณชอบเป็นคนชอบดูหนัง dunkirk เป็นหนังที่ไม่ควรพลาด ไม่ว่าดูเสร็จแล้วจะรักหรือจะเกลียด แต่อย่างน้อยคุณก็ได้ดูมันแล้ว