ต้น: ตอนแรกก็ไม่คิดจะไปไหนหรอกเห็นไออู๋มันบ่นๆอยากไป backpack เวียดนามแต่แม่ไม่ให้ไปคนเดียว ก็เอาวะไหนๆก็มาเล่าแล้วเลยไปกับมันซะเลยทริปนี้ทำให้ผมได้รู้สึกว่าชีวิตที่เหลือของเก็บตังเที่ยวก็เป็นพอแล้ว
อู๋: ผมตั้งใจจะไป backpack ตอนช่วงจบ ม.6 หลังจากได้อ่านหนึ่งสือเกี่ยวกับการแบคแพคหลายเล่ม ผมเลยชวนเพื่อนขาลุยไปแบ็คแพ็ค 2 คน ซึ่งก็คือ ต้น กับ ภู เป็นเพื่อนร่วมทาง คอนเซ็ปต์การเดินทางครั้งนี้เราจะไปแบบ backpacker ตัวจริง เน้นคล่องตัว ที่สำคัญคือต้อง save budget โดยการนอน Hostel รวมกับคนอื่น กินอาหารราคาถูก ผมอยากไปซัก 10 วัน กำลังดีไม่มากแล้วก็ไม่น้อยไป งบก็ตั้งไว้คนละ 10,000 บาท จองตั๋วเลยดิรอไร และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งนี้ การเดินทางทั้งหมด 10 วัน ไปทั้งหมด 7 เมือง โดยเริ่มจาก Ho Chi Minh (เมืองหลวง) แล้วไปจบที่ Danang
ถ้ากระทู้นี้มีส่วนไหนผิดพลาดขออภัยล่วงหน้านะครับผม จะนำไปแก้ไขในกระทู้ต่อๆไปครับ
แพลนเที่ยวครับมีแพลนแค่นี้จริงๆรายละเอียด Detail ไว้ไปสดเอา
ตั๋วเครื่องบิน
ขาไป
ขากลับ
โรงแรมตลอดทั้งทริปเราจองผ่านเว็บไซต์ Hostelworld
ไปเว้ยลุย เครื่องออกตี 5 เราต้องตื่นซักตี 2-3 ตอนกลางคืนดันนอนไม่หลับอีกเพราะตื่นเต้น ตอน Boardng Pass เราก็เจอพี่ชาวเวียดนามใจดีคนนึงชวนไปเที่ยวด้วยกันกับเขา เขาพูดอะไรผมก็ไม่รู้เรื่องหรอกยิ้มๆอย่างเดียวง่วงขนาดนี้ สรุปมาได้ความหลังเครื่องลงว่าพี่เขาต้องไปงานแต่งก่อน 2 วัน อ๋อ! พี่เขาชื่อ กาย นะครับ เขาบอกด้วยว่าเขาชอบนิสัยคนไทยมากๆ
พระอาทิตย์ขึ้นตอนเครื่องกำลัง Take off
แค่ชั่วโมงกว่าๆ เครื่องก็ลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติเตินเซินเญิ้ต(Tan Son Nhat International Airport) เมืองไซ่ง่อน(Saigon) ขอเสริมครับ Ho Chi Minh กับ Saigon คือเมืองเดียวกันครับ เหมือน Bangkok กับ Krungthep อะครับ เราผ่านตมชิวๆ พร้อมแลกเงินมาคนละ 1,000,000 Dong (จริงๆ เงินไทยประมาณ 1500 บาท) ซื้อซิมมาแค่ตัวเดียว 10 GB ตัวเดียวก็เหลือๆอยู่แล้ว เพราะเอาไว้ดูแผนที่เป็นหลัก ค่าซิมประมาณ 200,000 ดอง ข้อดีของที่เวียดนามคือตามรถเมล์และร้านอาหารส่วนใหญ่จะมี Wifi ให้ใช้ฟรีแต่ต้องอ้าปากขอเขาหน่อย ดังนั้นซิมอาจจะไม่จำเป็นขนาดนั้น แต่มีไว้ก่อนอุ่นใจครับ
เราออกจากสนามบินเพื่อจะไปนั่งรถบัสที่จอดคอยอยู่หน้าสนามบินสาย 152 เพื่อเข้าเมืองความสนุกก็ได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เราซื้อตั๋วครับ ลุงกระเป๋ารถเมล์สกิลภาษาอังกฤษไม่ค่อยต่างจากที่ไทยเท่าไหร่ครับ ตอนแรกเราก็ถามลุงแกว่า How much? แกก็มองเราด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นมิตร เข้าใจว่าลุงแกไม่เข้าใจ5555 เอาวะภาษามือเลยละกัน เราก็เลยพยายามชูนิ้วเพื่อต้องการถามราคาลุง ลุงก็ชูกับมา 5 นิ้ว ตอนแรกเราก็นึกว่า 50,000 Dong เลยจ่ายไปเท่านั้น สายตาที่ดูไม่เป็นมิตรของลุงแกตอบกลับมาว่าไม่ใช่ อ๋ออออ 5,000 Dong กว่าจะซื้อตั๋วเล่นเอาคนทั้งรถหันมามองเราสามคน แต่เราไม่สนใจ55555
ตอนเช้าๆแดดก็สาดหนักมากครับ
หลายๆ คนอาจจะสงสัยทำไมต้อง "Hornamese" หลังจากที่รถเมล์ออกจากสนามบิน เสียงที่มาต้อนรับก่อนเลยก็เป็นเสียงแตรของเวียดนามนี่แหละครับ ไม่ถึง 5 วินาที มันก็บีบกันอีกแล้ว โว้ยยจะบีบไรนักหนาวะ เลยตั้งเล่นๆว่า “Horn (เสียงแตรรถ)” + “Vietnamese” เลยกลายเป็นชื่อ “Hornamese” นี่เองครับ ตอนแรกผมก็คิดว่าชื่อนี้มันจะใช้ได้จริงอ่อวะ ไม่ใช่แตรมันดังแค่ในเมืองโฮจิมินห์อย่างเดียวหรอ? พอจบทริปเราก็สรุปได้ว่า ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนในประเทศเวียดนาม เสียงแตรพร้อมจะโผล่มาให้คุณรำคาญเสมอครับ 5555
สำหรับเมืองโฮจิมินห์ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนามแบ่งออกเป็น 19 เขต (District หรือ Quan) เหมือนในเรื่อง “Hunger Games” และแน่นอนว่าตัวศูนย์กลางเมืองหรือ capital ก็อยู่เขต 1 หรือ Pham Ngu Lao เสน่ห์ของเมืองนี้ก็คงเป็นสีสันและความคึกคัก
ใช้เวลาเข้าเมืองมาประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ลงมาถึงสถานีใกล้ตลาด Ben Thanh
เดินต่อ 20 นาที + หลงหาซอยเข้าที่พักไม่เจออีก 20 นาที ก็มาถึงที่พักของเรา “Saigon Backpackers Hostel” อยู่บนถนน “Pham Ngu Lao” ( แต่เพื่อความง่ายในการพูดคุยเราจึงบัญญัติศัพท์ขึ้นมาใหม่ อ่านว่า “ฟาร์มงูเห่า” 55555) ที่นี่ก็เปรียบเสมือนถนนข้าวสารบ้านเรานั่นเองครับ เราพักที่นี่กัน 2 คืน
หลังจากที่เรามาถึงยัง check-in ไม่ได้เพราะยังไม่ถึงเวลา เราเลยวางกระเป๋า เข้าห้องน้ำ ยืดเส้นยืดสาย แล้วก็ได้เวลามื้อเช้าของพวกเราในประเทศเวียดนาม ถ้านึกถึงอาหารเวียดนาม เฝอ คงเป็นอันดับหนึ่งที่ทุกคนรวมทั้งเรานึกถึง พวกเราเลยประเดิมมื้อแรกในโฮจิมินห์ด้วยเฝอ ตรงร้านที่อยู่ระหว่างที่พักเรากับตลาดครับ
เรามาถึงร้านเฝอพร้อมสั่งเฝอคนละแบบ มีเฝอ เนื้อ ลูกชิ้นเนื้อ ผสม พร้อมกับกาแฟสไตล์เวียดนาม รสชาติของเฝอร้านนี้ใช้ได้เลยครับ ปริมาณก็เรียกได้ว่าจุใจ ชามแกขนาดเท่ากับกาลมัง เอาเป็นว่าชามนึงกินได้ 2 คนนั่นแหละ แต่เราเล่นซัดคนละชาม ราคาก็โอเคแหละแค่ 100,000 Dong (150 บาท) ผมถือว่ามื้อแรกก็ต้องฉลองกันซักหน่อยแหละ
เที่ยวในโฮจิมินห์จะเน้นเดินแต่ถ้าไกลมากๆก็นั่งรถบัสครับ
สำหรับโปรแกรมวันนี้เราจะเน้นเที่ยวในเขต 1 ใกล้ๆที่พักของเราก่อน กินข้าวกันเสร็จก็วางแผนจะเดินไป Independence Palace เป็นสถานที่บัญชาการใหญ่ในสมัยที่มีมีสงคราม ระหว่างทางก็แวะโบสถ์หลังน้อยๆ “โบสถ์เหวี่ยนสี(Huyen Sy Church)” เป็นโบสถ์คริสต์คาทอลิกที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองนี้สร้างในสมัยอนานิคม คำว่า “เหวี่ยนสี” คือชื่อเศรษฐีแห่งเมืองไซ่ง่อน เสียดายเข้าไปข้างในไม่ได้เพราะโบสถ์ปิดครับ
ระหว่างเดินก็แอบเก็บบรรยากาศระหว่างทางมาด้วยต่างจากไทยตรงที่ถนนของที่นี่มีต้นไม้ใหญ่ๆ แทบทุกที่ ช่วยปกคลุมให้วันร้อนๆ กลายเป็นวันที่สบายๆ ไปเลย
ถึงแล้วครับ “ทำเนียบรวมชาติ (Independence Palace)” ตัวอาคารหลักด้านนอก ที่นี่เป็นสัญลักษณ์ของการประสานรอยร้าวระหว่างเวียดนามเหนือและใต้เข้าด้วยกัน
ด้านในถ่ายมาบางส่วนนะครับอยากให้ทุกคนไปชมด้วยตัวเองมากกว่า (ความจริงคือคนเยอะมาก เราเลยขี้เกียจถ่าย 5555)
หลังจากชมประวัติศาสตร์ข้างในเสร็จแล้ว เรายังอยู่กันในเขต 1 นะครับ ก็เดินไปยังโบสถ์ “Saigon Notre Dame Cathedral” ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองที่นี้
Notre Dame!!!! ร้อนซิบหาย
รอบๆโบสถ์ก็จะมีจารึกต่างๆ คล้ายกับในห้องน้ำบ้านเราแหละครับ
จัดไปคนละใบ
ตรงข้ามโบสถ์ ข้ามถนนไปก็จะเจอกับ “ที่ทำการไปรษณีย์ใหญ่ของเมืองนี้” ซึ่งตอนที่ไปเขาได้ทำการ Remodel ตรงเคาน์เตอร์ใหม่หมดแล้ว แต่ก็ยังคงความคลาสสิกได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันยังคงเป็นศูนย์กลางไปรษณีย์อยู่ครับ
อาคารข้างๆไปรษณีย์ ช่างน่าดึงดูดให้เราเข้าไปครับ อาคารที่ว่าคือ อาคารที่มีโลโก้สีเหลืองๆ ใหญ่ๆ เป็นตัว M พื้นหลังสีแดงครับ ใช่แล้วครับ แมคโดนัลด์นั่นเอง 5555 ก็นั่งพักกินน้ำเช็ดเหงื่อถูไคลไซ้คอ ไม่ใช่! แค่เช็ดไคลพอ
ข้างๆแทคก็จะมีถนนหนังสือครับ
เราเดินมาไกล จนถึงพิพิธภัณฑ์สงครามเวียดนาม ข้างในก็จะมีทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสงครามเวียดนามรวมไปถึงภาพประวัติศาสตร์มากมายตรงนี้
เอามาเเค่เครื่องบินหน้าพิพิธภัณฑ์พอละกันครับ(อันนี้ไม่ได้ขี้เกียจถ่ายครับ แต่อยากให้มาดูกันเอง)
หลังจากเดินชมพิพิธภัณฑ์ทั้งหมดเสร็จ เราก็เริ่มเมื่อยมากๆ ครับ เราเลยตัดสินใจนั่งรถเมล์ไปโบสถ์สีชมพูหรือ “โบสถ์เตินดิ่น(Tan Dinh Church)” ซึ่งอยู่เขต 3 ลงรถเมล์มาก็ต้องเดินต่ออีก 15 นาที ก็มาถึงโบสถ์สีชมพูครับ
ระหว่างเดินมาถึงโบสถ์ เราเหลือบไปเห็นร้านอาหารร้านหนึ่ง (ที่เรารู้ว่าเป็นร้านอาหารเพราะมีไก่ห้อยอยู่หน้าร้าน) เราสามคนก็อยากกินข้าวมันไก่เวียดนาม ดูซิรสชาติจะเป็นไง เลยเดินเข้าไปด้วยความมั่นใจ ไม่มีลูกค้าเลยครับ มีแต่พนักงานต้อนรับ ซักพักพนักงานก็มารับออร์เดอร์ เราก็สั่งอาหารไปและแน่นอนว่าการสั่งอาหารมันไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เราคิดเพราะพี่แกฟังอังกฤษไม่รู้เรื่อง เราเลยเลือกที่จะไปหน้าร้านครับเพื่อชี้ว่าจะเอาข้าวมันไก่ แต่สิ่งที่เราเห็นคือหม้อลวกก๋วยเตี๋ยว พอถามแม่ค้าที่อยู่หน้าร้านเราจึงได้ตรัสรู้ว่านี่คือร้านเฝอ 5555 พอรู้งี้เราก็กลับไปที่โต๊ะของเราหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกจากร้านอย่างน่าอับอายครับ 55
เดินมาไม่ไกลนักจากโบสถ์เป็น “ตลาดเตินดิ่น(Tan Dinh Market)”
เสร็จจากตลาดมาแล้วเราก็เริ่มหิวน้ำแล้วครับ เลยแวะ “Circle K” ที่นี่ผมเห็น 7-11 แค่ที่เดียวเองครับ ที่เหลือที่เห็นเป็น Circle K ไหนๆก็พูดถึง Circle K หน่อยแล้วกัน หลังจากที่เราแวะมาได้หลายสาขาเราก็สังเกตเห็นหลายๆจุดที่น่าสนใจ
1. มีสินค้าของไทยขายเยอะมาก อย่างข้าวเกรียบ บีทาเกน ขาไก่ มาม่าไทย ฯลฯ แปลว่าสินค้าไทยเป็นที่นิยมของคนเวียดนามครับ
2. มีที่นั่งแทบทุกสาขา
3. มีเสลอปี้เหมือนบ้านเราที่มี 3 รส สีฟ้า แดง เหลือง
###Hornamese### Backpack in Vietnam DAY 1
ต้น: ตอนแรกก็ไม่คิดจะไปไหนหรอกเห็นไออู๋มันบ่นๆอยากไป backpack เวียดนามแต่แม่ไม่ให้ไปคนเดียว ก็เอาวะไหนๆก็มาเล่าแล้วเลยไปกับมันซะเลยทริปนี้ทำให้ผมได้รู้สึกว่าชีวิตที่เหลือของเก็บตังเที่ยวก็เป็นพอแล้ว
อู๋: ผมตั้งใจจะไป backpack ตอนช่วงจบ ม.6 หลังจากได้อ่านหนึ่งสือเกี่ยวกับการแบคแพคหลายเล่ม ผมเลยชวนเพื่อนขาลุยไปแบ็คแพ็ค 2 คน ซึ่งก็คือ ต้น กับ ภู เป็นเพื่อนร่วมทาง คอนเซ็ปต์การเดินทางครั้งนี้เราจะไปแบบ backpacker ตัวจริง เน้นคล่องตัว ที่สำคัญคือต้อง save budget โดยการนอน Hostel รวมกับคนอื่น กินอาหารราคาถูก ผมอยากไปซัก 10 วัน กำลังดีไม่มากแล้วก็ไม่น้อยไป งบก็ตั้งไว้คนละ 10,000 บาท จองตั๋วเลยดิรอไร และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งนี้ การเดินทางทั้งหมด 10 วัน ไปทั้งหมด 7 เมือง โดยเริ่มจาก Ho Chi Minh (เมืองหลวง) แล้วไปจบที่ Danang
ถ้ากระทู้นี้มีส่วนไหนผิดพลาดขออภัยล่วงหน้านะครับผม จะนำไปแก้ไขในกระทู้ต่อๆไปครับ
แพลนเที่ยวครับมีแพลนแค่นี้จริงๆรายละเอียด Detail ไว้ไปสดเอา
ตั๋วเครื่องบิน
ขาไป
ขากลับ
โรงแรมตลอดทั้งทริปเราจองผ่านเว็บไซต์ Hostelworld
ไปเว้ยลุย เครื่องออกตี 5 เราต้องตื่นซักตี 2-3 ตอนกลางคืนดันนอนไม่หลับอีกเพราะตื่นเต้น ตอน Boardng Pass เราก็เจอพี่ชาวเวียดนามใจดีคนนึงชวนไปเที่ยวด้วยกันกับเขา เขาพูดอะไรผมก็ไม่รู้เรื่องหรอกยิ้มๆอย่างเดียวง่วงขนาดนี้ สรุปมาได้ความหลังเครื่องลงว่าพี่เขาต้องไปงานแต่งก่อน 2 วัน อ๋อ! พี่เขาชื่อ กาย นะครับ เขาบอกด้วยว่าเขาชอบนิสัยคนไทยมากๆ
พระอาทิตย์ขึ้นตอนเครื่องกำลัง Take off
แค่ชั่วโมงกว่าๆ เครื่องก็ลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติเตินเซินเญิ้ต(Tan Son Nhat International Airport) เมืองไซ่ง่อน(Saigon) ขอเสริมครับ Ho Chi Minh กับ Saigon คือเมืองเดียวกันครับ เหมือน Bangkok กับ Krungthep อะครับ เราผ่านตมชิวๆ พร้อมแลกเงินมาคนละ 1,000,000 Dong (จริงๆ เงินไทยประมาณ 1500 บาท) ซื้อซิมมาแค่ตัวเดียว 10 GB ตัวเดียวก็เหลือๆอยู่แล้ว เพราะเอาไว้ดูแผนที่เป็นหลัก ค่าซิมประมาณ 200,000 ดอง ข้อดีของที่เวียดนามคือตามรถเมล์และร้านอาหารส่วนใหญ่จะมี Wifi ให้ใช้ฟรีแต่ต้องอ้าปากขอเขาหน่อย ดังนั้นซิมอาจจะไม่จำเป็นขนาดนั้น แต่มีไว้ก่อนอุ่นใจครับ
เราออกจากสนามบินเพื่อจะไปนั่งรถบัสที่จอดคอยอยู่หน้าสนามบินสาย 152 เพื่อเข้าเมืองความสนุกก็ได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เราซื้อตั๋วครับ ลุงกระเป๋ารถเมล์สกิลภาษาอังกฤษไม่ค่อยต่างจากที่ไทยเท่าไหร่ครับ ตอนแรกเราก็ถามลุงแกว่า How much? แกก็มองเราด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นมิตร เข้าใจว่าลุงแกไม่เข้าใจ5555 เอาวะภาษามือเลยละกัน เราก็เลยพยายามชูนิ้วเพื่อต้องการถามราคาลุง ลุงก็ชูกับมา 5 นิ้ว ตอนแรกเราก็นึกว่า 50,000 Dong เลยจ่ายไปเท่านั้น สายตาที่ดูไม่เป็นมิตรของลุงแกตอบกลับมาว่าไม่ใช่ อ๋ออออ 5,000 Dong กว่าจะซื้อตั๋วเล่นเอาคนทั้งรถหันมามองเราสามคน แต่เราไม่สนใจ55555
ตอนเช้าๆแดดก็สาดหนักมากครับ
หลายๆ คนอาจจะสงสัยทำไมต้อง "Hornamese" หลังจากที่รถเมล์ออกจากสนามบิน เสียงที่มาต้อนรับก่อนเลยก็เป็นเสียงแตรของเวียดนามนี่แหละครับ ไม่ถึง 5 วินาที มันก็บีบกันอีกแล้ว โว้ยยจะบีบไรนักหนาวะ เลยตั้งเล่นๆว่า “Horn (เสียงแตรรถ)” + “Vietnamese” เลยกลายเป็นชื่อ “Hornamese” นี่เองครับ ตอนแรกผมก็คิดว่าชื่อนี้มันจะใช้ได้จริงอ่อวะ ไม่ใช่แตรมันดังแค่ในเมืองโฮจิมินห์อย่างเดียวหรอ? พอจบทริปเราก็สรุปได้ว่า ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนในประเทศเวียดนาม เสียงแตรพร้อมจะโผล่มาให้คุณรำคาญเสมอครับ 5555
สำหรับเมืองโฮจิมินห์ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนามแบ่งออกเป็น 19 เขต (District หรือ Quan) เหมือนในเรื่อง “Hunger Games” และแน่นอนว่าตัวศูนย์กลางเมืองหรือ capital ก็อยู่เขต 1 หรือ Pham Ngu Lao เสน่ห์ของเมืองนี้ก็คงเป็นสีสันและความคึกคัก
ใช้เวลาเข้าเมืองมาประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ลงมาถึงสถานีใกล้ตลาด Ben Thanh
เดินต่อ 20 นาที + หลงหาซอยเข้าที่พักไม่เจออีก 20 นาที ก็มาถึงที่พักของเรา “Saigon Backpackers Hostel” อยู่บนถนน “Pham Ngu Lao” ( แต่เพื่อความง่ายในการพูดคุยเราจึงบัญญัติศัพท์ขึ้นมาใหม่ อ่านว่า “ฟาร์มงูเห่า” 55555) ที่นี่ก็เปรียบเสมือนถนนข้าวสารบ้านเรานั่นเองครับ เราพักที่นี่กัน 2 คืน
หลังจากที่เรามาถึงยัง check-in ไม่ได้เพราะยังไม่ถึงเวลา เราเลยวางกระเป๋า เข้าห้องน้ำ ยืดเส้นยืดสาย แล้วก็ได้เวลามื้อเช้าของพวกเราในประเทศเวียดนาม ถ้านึกถึงอาหารเวียดนาม เฝอ คงเป็นอันดับหนึ่งที่ทุกคนรวมทั้งเรานึกถึง พวกเราเลยประเดิมมื้อแรกในโฮจิมินห์ด้วยเฝอ ตรงร้านที่อยู่ระหว่างที่พักเรากับตลาดครับ
เรามาถึงร้านเฝอพร้อมสั่งเฝอคนละแบบ มีเฝอ เนื้อ ลูกชิ้นเนื้อ ผสม พร้อมกับกาแฟสไตล์เวียดนาม รสชาติของเฝอร้านนี้ใช้ได้เลยครับ ปริมาณก็เรียกได้ว่าจุใจ ชามแกขนาดเท่ากับกาลมัง เอาเป็นว่าชามนึงกินได้ 2 คนนั่นแหละ แต่เราเล่นซัดคนละชาม ราคาก็โอเคแหละแค่ 100,000 Dong (150 บาท) ผมถือว่ามื้อแรกก็ต้องฉลองกันซักหน่อยแหละ
เที่ยวในโฮจิมินห์จะเน้นเดินแต่ถ้าไกลมากๆก็นั่งรถบัสครับ
สำหรับโปรแกรมวันนี้เราจะเน้นเที่ยวในเขต 1 ใกล้ๆที่พักของเราก่อน กินข้าวกันเสร็จก็วางแผนจะเดินไป Independence Palace เป็นสถานที่บัญชาการใหญ่ในสมัยที่มีมีสงคราม ระหว่างทางก็แวะโบสถ์หลังน้อยๆ “โบสถ์เหวี่ยนสี(Huyen Sy Church)” เป็นโบสถ์คริสต์คาทอลิกที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองนี้สร้างในสมัยอนานิคม คำว่า “เหวี่ยนสี” คือชื่อเศรษฐีแห่งเมืองไซ่ง่อน เสียดายเข้าไปข้างในไม่ได้เพราะโบสถ์ปิดครับ
ระหว่างเดินก็แอบเก็บบรรยากาศระหว่างทางมาด้วยต่างจากไทยตรงที่ถนนของที่นี่มีต้นไม้ใหญ่ๆ แทบทุกที่ ช่วยปกคลุมให้วันร้อนๆ กลายเป็นวันที่สบายๆ ไปเลย
ถึงแล้วครับ “ทำเนียบรวมชาติ (Independence Palace)” ตัวอาคารหลักด้านนอก ที่นี่เป็นสัญลักษณ์ของการประสานรอยร้าวระหว่างเวียดนามเหนือและใต้เข้าด้วยกัน
ด้านในถ่ายมาบางส่วนนะครับอยากให้ทุกคนไปชมด้วยตัวเองมากกว่า (ความจริงคือคนเยอะมาก เราเลยขี้เกียจถ่าย 5555)
หลังจากชมประวัติศาสตร์ข้างในเสร็จแล้ว เรายังอยู่กันในเขต 1 นะครับ ก็เดินไปยังโบสถ์ “Saigon Notre Dame Cathedral” ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองที่นี้
Notre Dame!!!! ร้อนซิบหาย
รอบๆโบสถ์ก็จะมีจารึกต่างๆ คล้ายกับในห้องน้ำบ้านเราแหละครับ
จัดไปคนละใบ
ตรงข้ามโบสถ์ ข้ามถนนไปก็จะเจอกับ “ที่ทำการไปรษณีย์ใหญ่ของเมืองนี้” ซึ่งตอนที่ไปเขาได้ทำการ Remodel ตรงเคาน์เตอร์ใหม่หมดแล้ว แต่ก็ยังคงความคลาสสิกได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันยังคงเป็นศูนย์กลางไปรษณีย์อยู่ครับ
อาคารข้างๆไปรษณีย์ ช่างน่าดึงดูดให้เราเข้าไปครับ อาคารที่ว่าคือ อาคารที่มีโลโก้สีเหลืองๆ ใหญ่ๆ เป็นตัว M พื้นหลังสีแดงครับ ใช่แล้วครับ แมคโดนัลด์นั่นเอง 5555 ก็นั่งพักกินน้ำเช็ดเหงื่อถูไคลไซ้คอ ไม่ใช่! แค่เช็ดไคลพอ
ข้างๆแทคก็จะมีถนนหนังสือครับ
เราเดินมาไกล จนถึงพิพิธภัณฑ์สงครามเวียดนาม ข้างในก็จะมีทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสงครามเวียดนามรวมไปถึงภาพประวัติศาสตร์มากมายตรงนี้
เอามาเเค่เครื่องบินหน้าพิพิธภัณฑ์พอละกันครับ(อันนี้ไม่ได้ขี้เกียจถ่ายครับ แต่อยากให้มาดูกันเอง)
หลังจากเดินชมพิพิธภัณฑ์ทั้งหมดเสร็จ เราก็เริ่มเมื่อยมากๆ ครับ เราเลยตัดสินใจนั่งรถเมล์ไปโบสถ์สีชมพูหรือ “โบสถ์เตินดิ่น(Tan Dinh Church)” ซึ่งอยู่เขต 3 ลงรถเมล์มาก็ต้องเดินต่ออีก 15 นาที ก็มาถึงโบสถ์สีชมพูครับ
ระหว่างเดินมาถึงโบสถ์ เราเหลือบไปเห็นร้านอาหารร้านหนึ่ง (ที่เรารู้ว่าเป็นร้านอาหารเพราะมีไก่ห้อยอยู่หน้าร้าน) เราสามคนก็อยากกินข้าวมันไก่เวียดนาม ดูซิรสชาติจะเป็นไง เลยเดินเข้าไปด้วยความมั่นใจ ไม่มีลูกค้าเลยครับ มีแต่พนักงานต้อนรับ ซักพักพนักงานก็มารับออร์เดอร์ เราก็สั่งอาหารไปและแน่นอนว่าการสั่งอาหารมันไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เราคิดเพราะพี่แกฟังอังกฤษไม่รู้เรื่อง เราเลยเลือกที่จะไปหน้าร้านครับเพื่อชี้ว่าจะเอาข้าวมันไก่ แต่สิ่งที่เราเห็นคือหม้อลวกก๋วยเตี๋ยว พอถามแม่ค้าที่อยู่หน้าร้านเราจึงได้ตรัสรู้ว่านี่คือร้านเฝอ 5555 พอรู้งี้เราก็กลับไปที่โต๊ะของเราหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกจากร้านอย่างน่าอับอายครับ 55
เดินมาไม่ไกลนักจากโบสถ์เป็น “ตลาดเตินดิ่น(Tan Dinh Market)”
เสร็จจากตลาดมาแล้วเราก็เริ่มหิวน้ำแล้วครับ เลยแวะ “Circle K” ที่นี่ผมเห็น 7-11 แค่ที่เดียวเองครับ ที่เหลือที่เห็นเป็น Circle K ไหนๆก็พูดถึง Circle K หน่อยแล้วกัน หลังจากที่เราแวะมาได้หลายสาขาเราก็สังเกตเห็นหลายๆจุดที่น่าสนใจ
1. มีสินค้าของไทยขายเยอะมาก อย่างข้าวเกรียบ บีทาเกน ขาไก่ มาม่าไทย ฯลฯ แปลว่าสินค้าไทยเป็นที่นิยมของคนเวียดนามครับ
2. มีที่นั่งแทบทุกสาขา
3. มีเสลอปี้เหมือนบ้านเราที่มี 3 รส สีฟ้า แดง เหลือง