Dunkirk (Christopher Nolan, 2017) คะแนน A
By Form Corleone
"ภาพยนตร์ที่สามารถพาคนดูไปสัมผัสกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องได้อย่างใกล้ชิด" หนังทุกๆเรื่องที่ผ่านมาของโนแลนมักจะแฝงไปด้วยบทภาพยนตร์ที่ลุ่มลึกและสามารถตั้งคำถามต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องแบบปลายเปิดได้อยู่เสมอ แม้จะมีการปรับเปลี่ยนสไตล์งานออกไปบ้างในงานเรื่องหลังๆแต่ก็ยังคงเสน่ห์ของตัวบทภาพยนตร์ที่หนักแน่นและโดดเด่นมาตลอด แต่สำหรับผลงานเรื่องล่าสุด 'Dunkirk' ถือเป็นงานที่แตกต่างจากงานเรื่องอื่นๆอย่างชัดเจนเพราะตัวหนังแทบที่จะไม่มีบทพูดระหว่างตัวละครหรือสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครในเรื่องกับคนดูเลยแม้แต่น้อย เราไม่ต้องรับรู้ถึงภูมิหลังของตัวละครในเรื่องเลย ดูจบแล้วยังไม่สามารถจำชื่อตัวละครได้เลยด้วยซ้ำ ทำให้งานนี้ถือเป็นการโชว์ศักยภาพการกำกับของโนแลนแบบเล่นใหญ่และจัดหนักกว่าเรื่องอื่นๆ หลายฉากยังคงติดตาติดใจรวมถึงแปลกใจว่าเขาสามารถกำกับแบบนี้ได้ยังไง และการที่ตัวหนังไม่ได้สร้างความสัมพันธ์ให้กับคนดูจึงทำให้หน้าที่ในการขับเคลื่อนตัวหนังเพื่อดำเนินไปข้างหน้าก็คืองานภาพกับเหตุการณ์ที่ชวนบีบคั้นเสมือนเราไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ และเอาชีวิตรอดไปจากสงครามพร้อมๆกับตัวละครในเรื่อง ภาพในเรื่องจึงแสดงสภาพภาวะสงครามได้อย่างสมจริงกว่าหนังสงครามเรื่องอื่นๆ ทั้งหมดจึงทำให้เราเชื่อว่าเหตุการณ์ในเรื่องนั้นคือเรื่องจริงโดยไม่ต้องยัดเยียดตัวละครที่มีชื่อจริงใส่ลงไปแล้วใช่คำว่า ‘หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริง’ กำกับย้ำคนดูอีกครั้งหนึ่ง กลับกันการทำงานของ 'Dunkirk' คือสร้างเหตุการณ์ในเรื่องให้เหมือนจริงโดยที่ตัวละครจะเป็นใครก็ได้ เป็นทหารสักคนที่ต้องการกลับบ้าน+หนีตายในสงคราม โดยไม่ต้องมีคำคมคำพูดเท่ห์ๆ หรือไม่ต้องมีการบอกกล่าวว่าเรารบในสงครามเพื่อประเทศของเราหรือฉากนึกฝันถึงคนรักแต่อย่างใด ภาพรวมของ 'Dunkirk' จึงสมจริงโดยไม่ต้องอาศัยคำพูดมาตอกย้ำหรือใส่สีเลือดมาย้ำเตือนความโหดร้ายของสงครามให้เราต้องหดหู่เศร้าใจ มันจึงเป็นเรื่องน่ายกย่องและน่ายินดีที่กลไกทั้งหมดของหนังสามารถขับเคลื่อนเดินหน้าไปได้ถึงขนาดนั้น
แน่นอนว่าเมื่อตัวหนังไม่ได้มีบทภาพยนตร์ที่โดดเด่นหรือแข็งแรงพร้อมในการสร้างความรู้สึกให้เราคล้อยตาม หน้าที่ทั้งหมดในการสร้างอารมณ์ร่วมนอกเหนือจากการกำกับที่ดีมากแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับงานนี้ก็คือซาวด์ของหนังหรือดนตรีประกอบที่เป็นส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยกระตุ้นความรู้สึกต่อเหตุการณ์ในเรื่อง แม้จะมีบางจังหวะที่เรารู้สึกว่าเยอะเกินไปหน่อยจนเริ่มจะรำคาญในบางเหตุการณ์ แต่โดยร่วมแล้วถือเป็นซาวด์ที่หลอนโสตประสาทได้ดีอีกงานหนึ่ง แน่นอนว่ามันทำให้เรารู้สึกตึงเครียด+กดดันเอามากๆ อย่างไรก็ตามแต่ การใส่ซาว์ดมาเยอะเกินไปอาจเป็นดาบสองคมที่ทำให้คนดูขาดแรงกระตุ้นด้วยตัวเองจนบางครั้งการทำงานด้วยความเงียบอาจจะกดดันได้ดีกว่าซาวด์เสียงที่ชวนหลอนอยู่ตลอดเวลาก็ได้ซึ่งตัวหนังแทบจะไม่มีช่วงเวลาเว้นจังหวะเงียบให้คนดูเลย (ไม่นับเสียงปืนเสียงระเบิดที่สนั่นถึงใจมาก) ในส่วนของการเล่าเรื่องก็เป็นอะไรที่แปลกใหม่ในระดับที่หนังฟอร์มยักษ์สงครามทั่วๆไปไม่ทำกัน ในการสร้างเหตุการณ์ทั้งหมดของเรื่องโดยใช้ระยะเวลาที่แตกต่างกันสามช่วงเวลาที่หนังนำเสนอ เช่น เหตุการณ์บนอากาศระหว่างเครื่องบินรบที่กินระยะเวลา 1-2 ชั่วโมง เหตุการณ์การอพยพทหารเพื่อกลับบ้านที่กินเวลาเป็นสัปดาห์ และการเดินทางมาช่วยเหลือของเรือลำเล็กจากชาวบ้านที่กินระยะเวลา 1 วัน ทั้งหมดนั้นถูกรอยเรียงตัดสลับเหตุการณ์ไปมาอยู่ตลอดเวลา และมาบรรจบกันในท้ายเรื่องได้อย่างตื่นตะลึง ทำให้วิธีการเล่าเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้แปลกและแตกต่างออกไปจากหนังสงครามปกติ และแม้ว่ากรอบเวลาในเรื่องทั้งสามเหตุการณ์จะแตกต่างกันแต่เรากลับรู้สึกไม่ติดขัดหรือไม่สามารถปะติดปะต่อเหตุการณ์ในเรื่องได้ มันจึงเป็นภาพรวมที่ท้ายสุดแล้วเราคนดูสามารถมองเห็นภาพของภาวะสงครามได้ในทุกๆมิติอย่างไม่ต้องสงสัย
งานสร้างและงานออกแบบพิถีพิถันมาก เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นใน 'Dunkirk' จึงสามารถสร้างความหดหู่สะเทือนใจแบบไม่ต้องอาศัยคำบรรยาย เพราะเพียงแค่อาศัยภาพของเหล่าทหารที่ตั้งแถวรอคอยการกลับบ้านกว่าสี่แสนคน ที่สภาพแต่ละคนไม่มีแรงที่จะหยิบจับอาวุธมาต่อสู้กับทหารฝั่งเยอรมันอีกแล้ว ภาพปืนที่วางอยู่มากมายสะท้อนให้เห็นถึงภาวะของการยอมแพ้+สิ้นหวัง ยิ่งไปกว่านั้นยังอยู่ในสภาพการเป็นเป้านิ่งให้เครื่องบินฝ่ายตรงข้ามบินมาทิ้งระเบิดตอนไหนก็ไม่รู้ ทุกคนสามารถตายได้ในทุกเวลา มันจึงเป็นงานภาพที่ประณีตและแสนเศร้าหมองต่อความเลวร้ายของสงคราม ที่ฉากหลังเป็นเพียงภาพเหตุการณ์ที่ไม่ต้องใช้คำพูดใดๆมาอธิบาย เราจึงสามารถสัมผัสสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งความดีงามก็คงต้องยกให้ตัว 'คริสโตเฟอร์ โนแลน' เป็นแน่แท้ในการกล้าที่จะสร้างอะไรแปลกใหม่และโชว์ฝีมือการกำกับที่ไม่ได้แค่หวังจะเข้าชิงรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมกับเขาสักครั้ง แต่สามารถหวังถึงการได้รางวัลนี้ไปครองได้เลย เพราะถ้ามองกันตามเนื้องานจริงๆแล้วถ้างานกำกับออกมาได้ไม่ดีหรือดีไม่มากมันจะไม่สามารถเอาหนังเรื่องนี้ได้อยู่เลย เพราะตัวหนังเองไม่ได้มีบทภาพยนตร์ที่แข็งแรงหรือเค้าโครงเรื่องที่จับต้องได้ชัดเจน ไม่มีประโคมดราม่าน้ำตาแตก หรือไม่มีการแอคติ้งของนักแสดงชั้นยอด รวมถึงไม่มีดารารุ่นใหญ่ งานนี้คืองานฝีมือการกำกับ+ซาวด์ประกอบล้วนๆที่ช่วยสร้างความรู้สึกทั้งหมดให้เกิดขึ้นมา
ท้ายสุด 'Dunkirk' คือภาพยนตร์ที่สามารถพาเราเข้าใกล้ความจริงของสงครามได้ใกล้เคียงที่สุดจนเราไม่ต้องจินตนาการต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ในเรื่องเรียบร้อยแล้วในช่วงขณะที่กำลังนั่งดูอยู่ เหตุการณ์ทั้งสามเหตุการณ์ที่หนังนำเสนอสามารถตัดสลับเชื่อมโยงกันได้จนจบด้วยตัวของมันเองโดยใช้ระยะเวลาทั้งหมดที่หนังนำเสนอเพียง 1 ชั่วโมง 46 นาที และทุกๆวินาทีของหนังเรื่องนี้นั้นส่งผลกระทบต่อโสตประสาทความเคียด ภาวะกดดัน การดิ้นรนเอาชีวิตให้รอดปลอดภัยจากสมรภูมิสงครามได้อย่างคุ้มค่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน 'Dunkirk' จึงไม่ใช่เรื่องราวปาฏิหาริย์แต่เป็นเรื่องราวระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง สำหรับเราแล้วนั้น การได้นั่งดูหนังเรื่องนี้ในจอยักษ์จึงเป็นเครื่องหมายยืนยันว่าการนั่งดูหนังบทจอทีวีหรือจอคอมพิวเตอร์นั้นมันแตกต่างกันอย่างชัดเจน และความสวยงามของโลกภาพยนตร์ก็คือการที่เราได้เข้าไปมีส่วนร่วมและลืมโลกภายนอกไปสักพักเหมือนที่ 'Dunkirk' ทำให้เราลืมโลกอันสงบสุขจากนอกโรงภาพยนตร์เพราะเราได้ถูกสะกดด้วยความรู้สึกที่หนังสะท้อนมาให้แบบใจจดใจจ่อและตรึงตาตรึงใจไปแล้วนั่นเองครับ...
ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
ตัวอย่างหนัง
ฝากกด like Page ด้วยนะครับ
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
Review: Dunkirk (Christopher Nolan, 2017) เขียนโดย Form Corleone
By Form Corleone
"ภาพยนตร์ที่สามารถพาคนดูไปสัมผัสกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องได้อย่างใกล้ชิด" หนังทุกๆเรื่องที่ผ่านมาของโนแลนมักจะแฝงไปด้วยบทภาพยนตร์ที่ลุ่มลึกและสามารถตั้งคำถามต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องแบบปลายเปิดได้อยู่เสมอ แม้จะมีการปรับเปลี่ยนสไตล์งานออกไปบ้างในงานเรื่องหลังๆแต่ก็ยังคงเสน่ห์ของตัวบทภาพยนตร์ที่หนักแน่นและโดดเด่นมาตลอด แต่สำหรับผลงานเรื่องล่าสุด 'Dunkirk' ถือเป็นงานที่แตกต่างจากงานเรื่องอื่นๆอย่างชัดเจนเพราะตัวหนังแทบที่จะไม่มีบทพูดระหว่างตัวละครหรือสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครในเรื่องกับคนดูเลยแม้แต่น้อย เราไม่ต้องรับรู้ถึงภูมิหลังของตัวละครในเรื่องเลย ดูจบแล้วยังไม่สามารถจำชื่อตัวละครได้เลยด้วยซ้ำ ทำให้งานนี้ถือเป็นการโชว์ศักยภาพการกำกับของโนแลนแบบเล่นใหญ่และจัดหนักกว่าเรื่องอื่นๆ หลายฉากยังคงติดตาติดใจรวมถึงแปลกใจว่าเขาสามารถกำกับแบบนี้ได้ยังไง และการที่ตัวหนังไม่ได้สร้างความสัมพันธ์ให้กับคนดูจึงทำให้หน้าที่ในการขับเคลื่อนตัวหนังเพื่อดำเนินไปข้างหน้าก็คืองานภาพกับเหตุการณ์ที่ชวนบีบคั้นเสมือนเราไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ และเอาชีวิตรอดไปจากสงครามพร้อมๆกับตัวละครในเรื่อง ภาพในเรื่องจึงแสดงสภาพภาวะสงครามได้อย่างสมจริงกว่าหนังสงครามเรื่องอื่นๆ ทั้งหมดจึงทำให้เราเชื่อว่าเหตุการณ์ในเรื่องนั้นคือเรื่องจริงโดยไม่ต้องยัดเยียดตัวละครที่มีชื่อจริงใส่ลงไปแล้วใช่คำว่า ‘หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริง’ กำกับย้ำคนดูอีกครั้งหนึ่ง กลับกันการทำงานของ 'Dunkirk' คือสร้างเหตุการณ์ในเรื่องให้เหมือนจริงโดยที่ตัวละครจะเป็นใครก็ได้ เป็นทหารสักคนที่ต้องการกลับบ้าน+หนีตายในสงคราม โดยไม่ต้องมีคำคมคำพูดเท่ห์ๆ หรือไม่ต้องมีการบอกกล่าวว่าเรารบในสงครามเพื่อประเทศของเราหรือฉากนึกฝันถึงคนรักแต่อย่างใด ภาพรวมของ 'Dunkirk' จึงสมจริงโดยไม่ต้องอาศัยคำพูดมาตอกย้ำหรือใส่สีเลือดมาย้ำเตือนความโหดร้ายของสงครามให้เราต้องหดหู่เศร้าใจ มันจึงเป็นเรื่องน่ายกย่องและน่ายินดีที่กลไกทั้งหมดของหนังสามารถขับเคลื่อนเดินหน้าไปได้ถึงขนาดนั้น
แน่นอนว่าเมื่อตัวหนังไม่ได้มีบทภาพยนตร์ที่โดดเด่นหรือแข็งแรงพร้อมในการสร้างความรู้สึกให้เราคล้อยตาม หน้าที่ทั้งหมดในการสร้างอารมณ์ร่วมนอกเหนือจากการกำกับที่ดีมากแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับงานนี้ก็คือซาวด์ของหนังหรือดนตรีประกอบที่เป็นส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยกระตุ้นความรู้สึกต่อเหตุการณ์ในเรื่อง แม้จะมีบางจังหวะที่เรารู้สึกว่าเยอะเกินไปหน่อยจนเริ่มจะรำคาญในบางเหตุการณ์ แต่โดยร่วมแล้วถือเป็นซาวด์ที่หลอนโสตประสาทได้ดีอีกงานหนึ่ง แน่นอนว่ามันทำให้เรารู้สึกตึงเครียด+กดดันเอามากๆ อย่างไรก็ตามแต่ การใส่ซาว์ดมาเยอะเกินไปอาจเป็นดาบสองคมที่ทำให้คนดูขาดแรงกระตุ้นด้วยตัวเองจนบางครั้งการทำงานด้วยความเงียบอาจจะกดดันได้ดีกว่าซาวด์เสียงที่ชวนหลอนอยู่ตลอดเวลาก็ได้ซึ่งตัวหนังแทบจะไม่มีช่วงเวลาเว้นจังหวะเงียบให้คนดูเลย (ไม่นับเสียงปืนเสียงระเบิดที่สนั่นถึงใจมาก) ในส่วนของการเล่าเรื่องก็เป็นอะไรที่แปลกใหม่ในระดับที่หนังฟอร์มยักษ์สงครามทั่วๆไปไม่ทำกัน ในการสร้างเหตุการณ์ทั้งหมดของเรื่องโดยใช้ระยะเวลาที่แตกต่างกันสามช่วงเวลาที่หนังนำเสนอ เช่น เหตุการณ์บนอากาศระหว่างเครื่องบินรบที่กินระยะเวลา 1-2 ชั่วโมง เหตุการณ์การอพยพทหารเพื่อกลับบ้านที่กินเวลาเป็นสัปดาห์ และการเดินทางมาช่วยเหลือของเรือลำเล็กจากชาวบ้านที่กินระยะเวลา 1 วัน ทั้งหมดนั้นถูกรอยเรียงตัดสลับเหตุการณ์ไปมาอยู่ตลอดเวลา และมาบรรจบกันในท้ายเรื่องได้อย่างตื่นตะลึง ทำให้วิธีการเล่าเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้แปลกและแตกต่างออกไปจากหนังสงครามปกติ และแม้ว่ากรอบเวลาในเรื่องทั้งสามเหตุการณ์จะแตกต่างกันแต่เรากลับรู้สึกไม่ติดขัดหรือไม่สามารถปะติดปะต่อเหตุการณ์ในเรื่องได้ มันจึงเป็นภาพรวมที่ท้ายสุดแล้วเราคนดูสามารถมองเห็นภาพของภาวะสงครามได้ในทุกๆมิติอย่างไม่ต้องสงสัย
งานสร้างและงานออกแบบพิถีพิถันมาก เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นใน 'Dunkirk' จึงสามารถสร้างความหดหู่สะเทือนใจแบบไม่ต้องอาศัยคำบรรยาย เพราะเพียงแค่อาศัยภาพของเหล่าทหารที่ตั้งแถวรอคอยการกลับบ้านกว่าสี่แสนคน ที่สภาพแต่ละคนไม่มีแรงที่จะหยิบจับอาวุธมาต่อสู้กับทหารฝั่งเยอรมันอีกแล้ว ภาพปืนที่วางอยู่มากมายสะท้อนให้เห็นถึงภาวะของการยอมแพ้+สิ้นหวัง ยิ่งไปกว่านั้นยังอยู่ในสภาพการเป็นเป้านิ่งให้เครื่องบินฝ่ายตรงข้ามบินมาทิ้งระเบิดตอนไหนก็ไม่รู้ ทุกคนสามารถตายได้ในทุกเวลา มันจึงเป็นงานภาพที่ประณีตและแสนเศร้าหมองต่อความเลวร้ายของสงคราม ที่ฉากหลังเป็นเพียงภาพเหตุการณ์ที่ไม่ต้องใช้คำพูดใดๆมาอธิบาย เราจึงสามารถสัมผัสสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งความดีงามก็คงต้องยกให้ตัว 'คริสโตเฟอร์ โนแลน' เป็นแน่แท้ในการกล้าที่จะสร้างอะไรแปลกใหม่และโชว์ฝีมือการกำกับที่ไม่ได้แค่หวังจะเข้าชิงรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมกับเขาสักครั้ง แต่สามารถหวังถึงการได้รางวัลนี้ไปครองได้เลย เพราะถ้ามองกันตามเนื้องานจริงๆแล้วถ้างานกำกับออกมาได้ไม่ดีหรือดีไม่มากมันจะไม่สามารถเอาหนังเรื่องนี้ได้อยู่เลย เพราะตัวหนังเองไม่ได้มีบทภาพยนตร์ที่แข็งแรงหรือเค้าโครงเรื่องที่จับต้องได้ชัดเจน ไม่มีประโคมดราม่าน้ำตาแตก หรือไม่มีการแอคติ้งของนักแสดงชั้นยอด รวมถึงไม่มีดารารุ่นใหญ่ งานนี้คืองานฝีมือการกำกับ+ซาวด์ประกอบล้วนๆที่ช่วยสร้างความรู้สึกทั้งหมดให้เกิดขึ้นมา
ท้ายสุด 'Dunkirk' คือภาพยนตร์ที่สามารถพาเราเข้าใกล้ความจริงของสงครามได้ใกล้เคียงที่สุดจนเราไม่ต้องจินตนาการต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ในเรื่องเรียบร้อยแล้วในช่วงขณะที่กำลังนั่งดูอยู่ เหตุการณ์ทั้งสามเหตุการณ์ที่หนังนำเสนอสามารถตัดสลับเชื่อมโยงกันได้จนจบด้วยตัวของมันเองโดยใช้ระยะเวลาทั้งหมดที่หนังนำเสนอเพียง 1 ชั่วโมง 46 นาที และทุกๆวินาทีของหนังเรื่องนี้นั้นส่งผลกระทบต่อโสตประสาทความเคียด ภาวะกดดัน การดิ้นรนเอาชีวิตให้รอดปลอดภัยจากสมรภูมิสงครามได้อย่างคุ้มค่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน 'Dunkirk' จึงไม่ใช่เรื่องราวปาฏิหาริย์แต่เป็นเรื่องราวระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง สำหรับเราแล้วนั้น การได้นั่งดูหนังเรื่องนี้ในจอยักษ์จึงเป็นเครื่องหมายยืนยันว่าการนั่งดูหนังบทจอทีวีหรือจอคอมพิวเตอร์นั้นมันแตกต่างกันอย่างชัดเจน และความสวยงามของโลกภาพยนตร์ก็คือการที่เราได้เข้าไปมีส่วนร่วมและลืมโลกภายนอกไปสักพักเหมือนที่ 'Dunkirk' ทำให้เราลืมโลกอันสงบสุขจากนอกโรงภาพยนตร์เพราะเราได้ถูกสะกดด้วยความรู้สึกที่หนังสะท้อนมาให้แบบใจจดใจจ่อและตรึงตาตรึงใจไปแล้วนั่นเองครับ...
ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
ตัวอย่างหนัง
ฝากกด like Page ด้วยนะครับ
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/