พอดีได้ดู Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull ทางช่องMono 29 เมื่อตอนเที่ยงวัน อยู่ ผมชอบเรื่องนี้มาก
ผมว่าลุง Harrison Fordนี้เค้า Action รูปร่างหน้าตา ของลุงเค้ายังไม่แก่เกินไปที่เล่น ภาคต่อๆไปนะครับ Shia LaBeouf ก็เล่นได้ไม่น่าเกลียดเท่าไหร่นะ ใช้ได้เลย แต่ผมก็ งงนะ ว่าทำไมหนังดีๆๆ เค้าไม่ทำภาคต่อๆออกมาเหมือนอย่าง ภาค1-3 ผมว่าเนื้อเรื่องสนุกดีนักแสดงก็ใช้ได้น่าจะทำภาค 5 ต่อนะ ครับ เป็นเพราะสาเหตุอะไรเหรอครับพอที่จะมีใครรู้บ้าง
แต่ดูเหมือนว่า แฮริสัน ฟอร์ด ผู้รับบท ดร.โจนส์ ว่า จะมีการสร้างหนัง “ภาตค่อ” ให้เขากลับมารับบทนี้อีกครั้ง ซึ่ง ฟอร์ด ก็รอคอยพิสูจน์
เหตุการณ์ Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull ภาค 4 นี้ ก็ทำออกมาแบบยอมรับสภาพจริง ๆ ของ ฟอร์ด ในระดับหนึ่งคือ ในวัยที่ดูเขามีอายุมากขึ้นแล้ว โดยเหตุการณ์ในภาคนี้ก็ระบุว่าเกิดขึ้นในช่วงปี 1957 หรือเมื่อ 50 กว่าปีก่อนที่ผ่านช่วงเวลาในยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งหนัง “อินเดียน่า โจนส์” ทั้ง 3 ภาคก่อนหน้าจะอยู่ในช่วงนั้น แต่ถ้าเทียบเล่น ๆ ว่า Raiders of the Lost Ark ภาคแรก จะเปิดฉากขึ้นที่อเมริกาใต้ ปี 1936 Indiana Jones and the Temple of Doom ภาค 2 มาเปิดฉากขึ้นที่เซี่ยงไฮ้ก่อนหน้า 1 ปี คือ ปี 1935
ขณะที่ Indiana Jones and the Last Crusade ภาค 3 ก็เปิดฉากแนะนำให้รู้จักที่มาของหมวก และแส้พร้อมชีวิตวัยเยาว์ของ “อินเดียน่า โจนส์” ครั้งยังเป็นเด็กนักเรียน (ลูกเสือ) อยู่ที่ยูท่าห์ในปี 1912 (แสดงโดย ริเวอร์ ฟีนิกซ์) ก่อนจะมาถึงบท ฟอร์ด แสดง ซึ่งเป็นเหตุการณ์เริ่มต้นที่ชายฝั่งโปรตุเกส ในปี 1938 คิดคร่าว ๆ เอาจากช่วงยังเป็นนักเรียนเรียนวิชาลูกเสือในปี 1912
เหตุการณ์เด่นของโลกในช่วงปี 1957 นั้นก็คือ ยุคสมัยแห่งสงครามเย็น การเผชิญหน้าระหว่างมหาอำนาจ 2 ขั้ว คือ อเมริกาในฐานะเป็นผู้นำแถวหน้าของโลกฝ่ายเสรีนิยม หรือประชาธิปไตย กับรัสเซียที่เป็นผู้นำแถวหน้าของโลกคอมมิวนิสต์ หนังเปิดเรื่องขึ้นเมื่อฝ่ายรัสเซียบุกเข้ามาช่วงชิงสมบัติล้ำค่า (และสุดแสนลึกลับ) ไปจากฐานทัพของอเมริกาในแถบนิวเม็กซิโก ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกา (ซึ่งสภาพพื้นที่แถบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นทะเลทรายอันกว้างใหญ่) และแน่นอนว่า ดร.โจนส์ ก็เข้ามามีส่วนพัวพันในส่วนปะทะกำลังกันในฐานะตัวแทนของอเมริกันกับฝ่ายรัสเซียที่นำโดยผู้นำทหารหญิง อิริน่า สปัลโก้ (เคท บลันเช็ทท์) ซึ่งมีผลงานโดดเด่นจนได้ชื่อว่า เป็นลูกคนโปรดคนหนึ่งของ สตาลิน ทีเดียว แต่เมื่อ ดร.โจนส์ หนีรอดกลับไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยมาร์แชลล์ อย่างเคยได้ เขากลับถูก “อำนาจมืด” บีบให้ไปกลับไปนั่งกินเงินเดือนอยู่ที่บ้าน โดยไม่ต้องมาสอนหนังสืออีก
ดร.โจนส์ ได้พบกับเด็กหนุ่มชื่อ มัตต์ (ไชอา ลาบัฟฟ์) ที่มาขอความช่วยเหลือในการตามหาตัว ศาสตราจารย์อ๊อกซ์ลีย์ (จอห์น เฮิร์ท) ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของ ดร.โจนส์ เอง กับแม่ของเขาที่สูญหายไปในเปรู ซึ่งทำให้ ดร.โจนส์ เข้าสู่การผจญภัยครั้งใหม่ในการค้นหา และพิทักษ์ “กะโหลกแก้วแห่งอเคเตอร์” ในดินแดนโบราณของเปรู ซึ่งเคยเป็นแหล่งอารยธรรมของชนเผ่าอินคา ซึ่งฝ่ายรัสเซียภายใต้การนำของ สปัลโก้ ก็จ้องที่จะได้มันมาเป็นเจ้าของ โดยการผจญภัยเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายครั้งนี้นอกจากจะทำให้ ดร.โจนส์ ได้พบเพื่อนเก่าอย่าง อ๊อกซ์ลีย์ แล้ว ยังทำให้ ดร.โจนส์ ได้รู้ความลับในครอบครัวของเขาเองอีกด้วยว่าเด็กหนุ่มชื่อ มัตต์ นั้นเป็นลูกของ แมเรียน ราเวนวู้ด (คาเรน อัลเลน) และ ราเวนวู้ด ก็ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า มัตต์ คือ ลูกชายแท้ ๆ ของ ดร.โจนส์ อย่างไร้ข้อสงสัยใด ๆ ด้วย แต่ความลับที่สำคัญยิ่งกว่า และเป็นไคลแม็กซ์ของหนังภาคนี้นั่นก็คือ ปริศนาแห่ง “กะโหลกแก้วแห่งอคาธอร์” ว่า มันเป็นแค่มรดกทางวัฒนธรรมของชนเผ่าอินคาเพียงแค่นั้น หรือมีความลับอื่นที่เร้นลับยิ่งกว่าซุกซ่อนอยู่ในแถบนี้ อันเป็นปริศนาเดียวกับที่เคยมีคนตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งก่อสร้างโบราณบนภูเขาสูงแบบปิรามิดโบราณของชนเผ่าอินคาในแถบนั้น เป็นฝีมือของมนุษย์จริง ๆ ละหรือ?
การเดินเรื่องก็จะมีการคิดถึง บรรยากาศของหนัง “อินเดียน่า โจนส์” ภาค1-2-3 อีกเช่นกัน
แม้โดยภาพรวมของหนังจะทำได้ไม่ถึง Raiders of the Lost Ark ภาค 1 อันเป็น “เวอร์ชั่น” ที่เป็น “ออริจินัล” แต่หนังก็ยังทำได้สนุกกว่า บางภาคของหนังชุดนี้ที่ผ่านมา บทหนังมีการแทรกลูกเล่น ปล่อย “แก๊ก” ให้แฟนประจำของหนังชุดนี้ได้ดูไปหัวเราะไปได้อยู่เป็นระยะตั้งแต่ต้นจนจบ
แต่ผมว่า ดู ๆ ไปการผจญภัยของหนังภาค 4 นี้ของ ดร.โจนส์ ก็กลายเป็นการผจญภัยในหมู่คนในครอบครัว และคนคุ้นเคยของเขามากกว่า การต่อสู้ครั้งนี้เขาจึงต้องห่วงใยในการช่วยชีวิตคนเหล่านั้นด้วย แล้วทุกท่านละคิดว่าอย่างไร ขอบคุณมากๆๆ ครับ
เมื่อเที่ยงดูIndiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skullขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า4 ปี2008ช่องMono 29เค้าน่าจะทำภาค5ต่อ
ผมว่าลุง Harrison Fordนี้เค้า Action รูปร่างหน้าตา ของลุงเค้ายังไม่แก่เกินไปที่เล่น ภาคต่อๆไปนะครับ Shia LaBeouf ก็เล่นได้ไม่น่าเกลียดเท่าไหร่นะ ใช้ได้เลย แต่ผมก็ งงนะ ว่าทำไมหนังดีๆๆ เค้าไม่ทำภาคต่อๆออกมาเหมือนอย่าง ภาค1-3 ผมว่าเนื้อเรื่องสนุกดีนักแสดงก็ใช้ได้น่าจะทำภาค 5 ต่อนะ ครับ เป็นเพราะสาเหตุอะไรเหรอครับพอที่จะมีใครรู้บ้าง
แต่ดูเหมือนว่า แฮริสัน ฟอร์ด ผู้รับบท ดร.โจนส์ ว่า จะมีการสร้างหนัง “ภาตค่อ” ให้เขากลับมารับบทนี้อีกครั้ง ซึ่ง ฟอร์ด ก็รอคอยพิสูจน์
เหตุการณ์ Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull ภาค 4 นี้ ก็ทำออกมาแบบยอมรับสภาพจริง ๆ ของ ฟอร์ด ในระดับหนึ่งคือ ในวัยที่ดูเขามีอายุมากขึ้นแล้ว โดยเหตุการณ์ในภาคนี้ก็ระบุว่าเกิดขึ้นในช่วงปี 1957 หรือเมื่อ 50 กว่าปีก่อนที่ผ่านช่วงเวลาในยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งหนัง “อินเดียน่า โจนส์” ทั้ง 3 ภาคก่อนหน้าจะอยู่ในช่วงนั้น แต่ถ้าเทียบเล่น ๆ ว่า Raiders of the Lost Ark ภาคแรก จะเปิดฉากขึ้นที่อเมริกาใต้ ปี 1936 Indiana Jones and the Temple of Doom ภาค 2 มาเปิดฉากขึ้นที่เซี่ยงไฮ้ก่อนหน้า 1 ปี คือ ปี 1935
ขณะที่ Indiana Jones and the Last Crusade ภาค 3 ก็เปิดฉากแนะนำให้รู้จักที่มาของหมวก และแส้พร้อมชีวิตวัยเยาว์ของ “อินเดียน่า โจนส์” ครั้งยังเป็นเด็กนักเรียน (ลูกเสือ) อยู่ที่ยูท่าห์ในปี 1912 (แสดงโดย ริเวอร์ ฟีนิกซ์) ก่อนจะมาถึงบท ฟอร์ด แสดง ซึ่งเป็นเหตุการณ์เริ่มต้นที่ชายฝั่งโปรตุเกส ในปี 1938 คิดคร่าว ๆ เอาจากช่วงยังเป็นนักเรียนเรียนวิชาลูกเสือในปี 1912
เหตุการณ์เด่นของโลกในช่วงปี 1957 นั้นก็คือ ยุคสมัยแห่งสงครามเย็น การเผชิญหน้าระหว่างมหาอำนาจ 2 ขั้ว คือ อเมริกาในฐานะเป็นผู้นำแถวหน้าของโลกฝ่ายเสรีนิยม หรือประชาธิปไตย กับรัสเซียที่เป็นผู้นำแถวหน้าของโลกคอมมิวนิสต์ หนังเปิดเรื่องขึ้นเมื่อฝ่ายรัสเซียบุกเข้ามาช่วงชิงสมบัติล้ำค่า (และสุดแสนลึกลับ) ไปจากฐานทัพของอเมริกาในแถบนิวเม็กซิโก ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกา (ซึ่งสภาพพื้นที่แถบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นทะเลทรายอันกว้างใหญ่) และแน่นอนว่า ดร.โจนส์ ก็เข้ามามีส่วนพัวพันในส่วนปะทะกำลังกันในฐานะตัวแทนของอเมริกันกับฝ่ายรัสเซียที่นำโดยผู้นำทหารหญิง อิริน่า สปัลโก้ (เคท บลันเช็ทท์) ซึ่งมีผลงานโดดเด่นจนได้ชื่อว่า เป็นลูกคนโปรดคนหนึ่งของ สตาลิน ทีเดียว แต่เมื่อ ดร.โจนส์ หนีรอดกลับไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยมาร์แชลล์ อย่างเคยได้ เขากลับถูก “อำนาจมืด” บีบให้ไปกลับไปนั่งกินเงินเดือนอยู่ที่บ้าน โดยไม่ต้องมาสอนหนังสืออีก
ดร.โจนส์ ได้พบกับเด็กหนุ่มชื่อ มัตต์ (ไชอา ลาบัฟฟ์) ที่มาขอความช่วยเหลือในการตามหาตัว ศาสตราจารย์อ๊อกซ์ลีย์ (จอห์น เฮิร์ท) ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของ ดร.โจนส์ เอง กับแม่ของเขาที่สูญหายไปในเปรู ซึ่งทำให้ ดร.โจนส์ เข้าสู่การผจญภัยครั้งใหม่ในการค้นหา และพิทักษ์ “กะโหลกแก้วแห่งอเคเตอร์” ในดินแดนโบราณของเปรู ซึ่งเคยเป็นแหล่งอารยธรรมของชนเผ่าอินคา ซึ่งฝ่ายรัสเซียภายใต้การนำของ สปัลโก้ ก็จ้องที่จะได้มันมาเป็นเจ้าของ โดยการผจญภัยเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายครั้งนี้นอกจากจะทำให้ ดร.โจนส์ ได้พบเพื่อนเก่าอย่าง อ๊อกซ์ลีย์ แล้ว ยังทำให้ ดร.โจนส์ ได้รู้ความลับในครอบครัวของเขาเองอีกด้วยว่าเด็กหนุ่มชื่อ มัตต์ นั้นเป็นลูกของ แมเรียน ราเวนวู้ด (คาเรน อัลเลน) และ ราเวนวู้ด ก็ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า มัตต์ คือ ลูกชายแท้ ๆ ของ ดร.โจนส์ อย่างไร้ข้อสงสัยใด ๆ ด้วย แต่ความลับที่สำคัญยิ่งกว่า และเป็นไคลแม็กซ์ของหนังภาคนี้นั่นก็คือ ปริศนาแห่ง “กะโหลกแก้วแห่งอคาธอร์” ว่า มันเป็นแค่มรดกทางวัฒนธรรมของชนเผ่าอินคาเพียงแค่นั้น หรือมีความลับอื่นที่เร้นลับยิ่งกว่าซุกซ่อนอยู่ในแถบนี้ อันเป็นปริศนาเดียวกับที่เคยมีคนตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งก่อสร้างโบราณบนภูเขาสูงแบบปิรามิดโบราณของชนเผ่าอินคาในแถบนั้น เป็นฝีมือของมนุษย์จริง ๆ ละหรือ?
การเดินเรื่องก็จะมีการคิดถึง บรรยากาศของหนัง “อินเดียน่า โจนส์” ภาค1-2-3 อีกเช่นกัน
แม้โดยภาพรวมของหนังจะทำได้ไม่ถึง Raiders of the Lost Ark ภาค 1 อันเป็น “เวอร์ชั่น” ที่เป็น “ออริจินัล” แต่หนังก็ยังทำได้สนุกกว่า บางภาคของหนังชุดนี้ที่ผ่านมา บทหนังมีการแทรกลูกเล่น ปล่อย “แก๊ก” ให้แฟนประจำของหนังชุดนี้ได้ดูไปหัวเราะไปได้อยู่เป็นระยะตั้งแต่ต้นจนจบ
แต่ผมว่า ดู ๆ ไปการผจญภัยของหนังภาค 4 นี้ของ ดร.โจนส์ ก็กลายเป็นการผจญภัยในหมู่คนในครอบครัว และคนคุ้นเคยของเขามากกว่า การต่อสู้ครั้งนี้เขาจึงต้องห่วงใยในการช่วยชีวิตคนเหล่านั้นด้วย แล้วทุกท่านละคิดว่าอย่างไร ขอบคุณมากๆๆ ครับ