งานถวิลหาอดีตอันแสนสุข กับอินเดียนา โจนส์ ภาคสุดท้าย Indiana Jones and the Kingdom of the Skull



(หมายเหตุของอภัยชื่อเรื่องผิด หัวเราะ สงสัยรีบโพสท์มากไปหน่อย จริงๆ ต้องเป็น Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull)

หลังสตีเวน สปีลเบิร์ก กับจอร์จ ลูคัส ร่วมกันสร้างภาพยนตร์ไตรภาค ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวของศาตราจารย์โบราณตดี ที่ยังเป็นนักผจญภัย ออกตามล่าหาสมบัติ วัตถุโบราณต่างๆ มาเก็บรักษาเอาไว้ ตั้งแต่ปี 1981 จนถึงปี 1992 จนทำให้ตัวละครเอกของเรื่องกลายเป็นอีกหนึ่ง ตัวละครระดับ Icon ของฮอลลีวูด

แต่กว่าจะได้ชมการผจญภัยครั้งที่ 4 ของอินเดียนา โจนส์นั้น ก็ต้องรอกันนานเนิ่น ถึง 13 ปี โดยหนนี้สปีลเบิร์กกับลูคัสยังคงรับหน้าที่เดิม คนหนึ่งกำกับ อีกคนเขียนเรื่องและอำนวยการสร้าง ขณะที่นักแสดงนำนั้นก็เป็นแฮร์ริสัน ฟอร์ดที่ดู "หงำ" ไปเยอะมารับบทดร. โจนส์ เหมือนเดิม และไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวที่กลับมา เพราะนางเอกจากหนังภาคแรก คาเรน อัลเลน ก็กลับมารับบทหวานใจจองดร. นักผจญภัยรายนี้เช่นกัน

และนั่นก็ทำให้ Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull เปรียบได้กับงานรวมรุ่นกลายๆ

ขณะที่เรื่องราวซึ่งย้อนไปถึงปี 1957 ที่โลกกำลังคุกรุ่นด้วยไอของสงครามเย็น ก็เปิดทางให้ได้มีตัวละครใหม่ๆ เข้ามามีบทบาทหลายคน ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ เคม แบลนเช็ทท์ ในบทสายลับรัสเซีย และไชอา ลาบัฟ ที่กลายมาเป็นลูกซึ่ง ดร. โจนส์ หรืออินดี้ ไม่รู้ว่าตัวเองมี เพราะมาเรียน ราเวนวูด ที่เล่นโดนคารเน อัลเลนนั้นปิดบังเอาไว้ ส่วนสมบัติ หรือวัตถุโบราณที่กลายเป็นเป้าในการตามหานั้น เป็นหัวกระโหลกคริสตัล ที่พาไปไกลถึงเรื่องราวลึกลับบางอย่าง

แต่ที่น่าสนใจก็คือ หนังมาพร้อมกับการเล่าเรื่องในอารมณ์เดิม โทนเก่าๆ แบบที่คอหนังชุดนี้คุ้นกัน ไม่ได้มีการปรับให้หวือหวาเป็นงานตามสมัย ที่กล้องตัดฉึบฉับฉับไว ดนตรีประกอบฟังล้ำๆ

และนั่นก็ทำให้การชมภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ต่างไปจากการพบกับเพื่อนเก่า ที่หายหน้าหายตาไปนาน ได้เห็นแฮร์ริสัน ฟอร์ด ในมาดที่ดูคุ้นตา มาพร้อมกับความทะมัดทะแมง (ซึ่งน่าจะใช้สตันท์มาเล่นแทนในฉากบู๊) การกลับมาของคาเรน อัลเลน ในบทมาเรียน ก็ทำให้อินดี้เจอคู่ปากคู่ปรับ ที่เขาเถียงไม่ขึ้น รับไม่ลง ในความรู้สึกแบบเดียวกับฉากที่ทั้งคู่เจอกันในบาร์ที่เนปาลของมาเรียน แล้วกับการที่ได้เจอกับลูกชายที่ไม่รู้ว่ามี และต้องมาผจญภัยด้วยกัน ก็ไม่ต่างไปจากเมื่อครั้งที่อินดีต้องตะลุยไปกับพ่อ-ที่เล่นโดย ฌอน คอนเนอรี ใน Indiana Jones and the Last Crusade ยังไงยังงั้น

เรียกว่ามาครบ ทั้งอารมณ์ขัน ฉากแอ็คชัน แต่ที่ลึกๆ ข้างใน ที่หนังไปสะกิดขึ้นมาก็คือ อารมณ์ถวิลหาอดีต ใจลอยนึกถึงสมัยที่ดูหนังชุดนี้เรื่องก่อนๆ นึกถึงช่วงเวลาในตอนนั้นว่ากำลังทำอะไรอยู่ แม้ตัวหนังอาจจะไม่สมบูรณ์แบบนัก แต่กับการกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกบางอย่างแบบนี้ ก็ทำให้ Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull กลายเป็นงานแอ็คชัน ผจญภัย ที่ทำให้เกิดความอบอุ่นไปพร้อมกับความสนุกสนาน ยิ่งตัวหนังเหมือนกับเป็นการอำลากันกลายๆ ด้วยแล้ว

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ก็ยิ่งอยากอยู่กับเพื่อนเก่าคนนี้นานๆ ก่อนที่จะไม่ได้เจอกันอีก

และกับการที่ Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull จะกลับมาลงจอแก้ว ทางช่อง KIX ของกล่องซีทีเอช (CTH) ในวันที่ 22 พฤศจิกายนนี้ เวลา 2 ทุ่ม ก็ถือว่าเป็นโอกาสอันดีสำหรับคอหนังชุดนี้ ที่จะได้ Nostalgia กัน และกับคนที่ยังไม่เคยสัมผัส นี่ก็เป็นโอกาสดีเช่นกัน ที่จะได้ชมหนึ่งในหนังชุดที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นตำนานอีกหน้าหนึ่งของวงการภาพยนตร์ และหากพลาดชมการฉายในรอบแรก หนัง Indiana Jones and theKingdom of the Skull ก็จะกลับมารีรันอีกครั้งในวันที่ 23 เวลาตีหนึ่งห้าสิบนาที และวันที่ 30 เวลาสองทุ่มตรง

เตรียมโซ่ แส้ กุญแจมือ และหมวกให้พร้อมออกเดินทางไปกับอินเดียนา โจนส์กัน  

คลิกไลค์ให้กำลังใจได้ที่ www.facebook.com/Sadaos
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่