[CR] ซื้อตั๋วเที่ยวบ้านอวกาศ กับ Valerian (รีวิวแบบสปอยล์)

** รีวิวแบบสปอยล์

For here.. Am I sitting in a tin can, Far.. above the world.
The Parnet Earth is blue and there's nothing I can do.

เพลง Space Oddity ของศิลปินผู้ล่วงลับ David Bowie ล่องลอยมา เราก็เคว้งคว้างล่องลอยออกสู่อวกาศ แหม ชีวิตมันช่างสโลว์ไลฟ์ ค่อย ๆ ล่องลอยไป ท่ามกลางหมู่ดาวอันสวยงามในอวกาศ แต่ หวีดดด บึ้ม! เสียงระเบิด ตามด้วยเสียงนาฬิกาติก ๆๆๆๆ อ่อ เพื่อนเรา ซื้อตั๋วไปเที่ยวเกาะสงครามข้าง ๆ นี่เอง ตอนนี้ก้มหัวหลบลูกระเบิดอยู่ โห ชีวิตยุ่งยากลำบากน่าดู เรือก็ไม่มี เครื่องบินก็ไม่มี ต้องคอยหลบระเบิดเครื่องบินนาซีที่มาทิ้งบอมบ์อีก โชคดีนะเพื่อน ขอให้มีคนมาช่วยเร็ว ๆ กลับมาว่าของเรากันต่อ ที่ที่เรากำลังจะไปนี้ สถานีปลายทางคือ สถานีอวกาศอัลฟ่ามหานครเมืองหนึ่งพันดวงดาว ที่อยู่ของสิ่งมีชีวิต 3,236 สายพันธุ์ ระยะทาง 18 ปีแสง ไม่พูดพร่ำทำเพลง ไปกันเลย ฟิ้ววววววววว







วาเลเรียน และ ลอเรลีน, ลอเรลีน และ วาเลเรียน ชื่อนี้ได้ยินบ่อย นายแบบนางแบบหน้าสวยหน้าใสสองคนนี้เป็นไกด์นำเที่ยวของเรา แต่เห็นอย่างนี้เบื้องหลังเขาและเธอเป็นถึงผู้พิทักษ์อวกาศเชียวนะ เอเจนท์วาเลเรียน และเอเจนท์ลอเรรีน ยินดีที่ได้รู้จัก ก่อนไปถึงสถานีอวกาศ อันดับแรกพาเราไปเที่ยวตลาดกันก่อน ตลาดแห่งนี้มีชื่อว่า บิ๊ก มาเก็ต มีความพิเศษคงไม่ต้องสาธยาย ใส่แว่นตาดูก็รู้เอง เป็นตลาดต่างมิติ อเมซซิ่งมาก เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น มีทุกสิ่งให้เลือกสรรค์ แต่เดินดี ๆ ละ มีบางโซนที่มนุษย์ห้ามเข้าไป มีป้ายสีแดงห้ามตัว U อยู่ ก็คือห้ามมนุษย์เข้า เข้าไปโดนยิงกระจุยกระจายไม่รู้ด้วย เสาะหาด้วยความยากลำบากเราได้ไข่มุกแวววาวมา 1 อัน และสัตว์หายากน่ารักอีก 1 ตัว ขอเรียกมันว่าเจ้าตัวน้อย (มาจากดาวมิว) เจ้าหน้าที่บอกว่ามันเป็นสัตว์หายากมาก ๆ เหลือเพียงหนึ่งเดียวในจักรวาล สำคัญที่สุด ต้องนำมันกลับไปมอบให้กับสหพันธรัฐ กำหนดจุดนัดพบที่สถานีอวกาศอัลฟ่าที่กำลังจะไปนี่แหละ อ่อ เดินทางกัน งั่บ! เอ๊ย สัตว์ประหลาดที่ไหนมาไล่งับก้นเราเนี้ย



แบร่!



สถานีอวกาศอัลฟ่าตามประวัติคือถูกพัฒนาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ปี 1975 หลายปี ไม่รู้ทั้งหมดกี่ปี เดิมเป็นสถานีอวกาศนานาชาติ กลายมาเป็นสถานีอวกาศนานากาแลคซี่ กลายเป็นนครเมืองที่เชื่อมต่อกว่าหนึ่งพันดวงดาว แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่โตจึงจำเป็นต้องดีดตัวออกมาจากโลก ตอนนี้ก็อยู่ห่างจากโลกถึง 18 ปีแสง มีมนุษย์ต่างดาวหลายสายพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกัน สภาพภูมิศาสตร์ทิศเหนือเป็นภูเขา มีแหล่งพลังงาน แก๊สธรรมชาติ ทิศใต้เป็นเมืองบาดาล ที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ ทิศตะวันออกเป็นแหล่งผลิตเทคโนโลยี วงจรอิเล็กทรอนิกส์ ทิศตะวันตกเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ การค้า ตลาด เราเดินทางมาพบผู้บังคับบัญชาการสหพันธรัฐมนุษย์ ชื่อไรไม่รู้แต่ไคล์ฟ โอเว่น นำแสดง ตอนนี้เขากำลังเจอปัญหาหนักอก  เพราะพบว่า ณ ใจกลางสถานีอากาศอัลฟ่ามีสิ่งปนเปื้อนกัมตรังสี ขณะนี้ได้แผ่ขยายรัศมีวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ ผบ.ไคล์ฟ โอเว่น จะขอมติจากที่ประชุม จากสหพันธรัฐอื่น ๆ ให้ระเบิดตัดเนื้อร้ายนี้ทิ้งไป ก่อนที่มันจะลุกลามใหญ่โตจนฆ่าสิ่งมีชีวิตทุกสายพันธุ์ในสถานีอวกาศต่อไป แต่เหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น!   ผู้บุกรุกบุกเข้ามายิงปืนยาสลบใส่ทุกคน แล้วจับตัวผบ.ไป สัญญาณเตือนภัยร้องดัง ผู้พันวาเลเรียนขออาสาพาตัวท่านผบ.กลับมาให้ได้ พล๊อตเส้นทางที่สั้นที่สุด วิ่ง ตูม! พุ่งชนทะลุกำแพงออกไปเลย โห ซีนนี้แหละซีนที่ชอบที่สุด เหมือนการพาทัวร์ภายในสถานีอวกาศย่อย ๆ วิ่งไปที่ตรงโน้น ตรงนี้ เห็นเมืองเห็นทิวทัศน์ต่าง ๆ ในสถานีอวกาศสวยงามมาก ตัวอย่างหนังซีนนี่แหละที่ทำให้อยากซื้อตั๋วเข้ามาชม



ซีนที่ดีที่สุด



กลับมาที่จนท.ลอเรลีน เธอบอกว่าตอนนี้ไม่ทันแล้ว ผู้บุกรุกได้หนีขึ้นยานไปแล้ว ต้องเปลี่ยนแผน ผู้พันวาเลเรียนต้องขับยานไล่ล่าตามไป  บรึ้นนนนน ยานอวกาศพุ่งออกไปแล้ว ฉากยานอวกาศนี่ก็เด็ดไม่แพ้กัน หลังจากวิ่งชมเมืองอยู่พักใหญ่ มาบินชมเมืองกันต่อ ฟิ้ว ๆๆๆ ยานอวกาศไล่ล่ากันสนุกน้อง ๆ สตาร์วอร์เลย แต่จนแล้วจนรอดก็ตามไม่ทัน แถมวิทยุผู้พันวาเลเรียนขาดการติดต่อไปอีก ลอเรลีนจึงจำเป็นต้องออกไป ตามหาเขา แล้วจะหายังไง ใช้บริการพวกเราสิ ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว อ่อ เรามีเป็ดช่างจ้ออยู่ 3 คน กระจิ๊บข่าวผู้น่ารำคาญนี่เอง แต่เห็นอย่างนี้พูดได้ถึง 5 พันภาษาเลยนะ พวกเขายินดีช่วยเพื่อแลกกับเงิน


เป็ดทั้ง 3 บอกให้เราไปที่นครบาดาล งานนี้ต้องอาศัยแมงกระพรุนหัวใสเชื่อมต่อความทรงจำของจ่ากับผู้พัน ดูว่าผู้พันวาเลเรียนอยู่ที่ไหน อยู่สถานที่ไหนก่อนหมดสติไป แต่จะเอาแมงกระพรุนหัวใสมาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย  เพราะต้องเจอเจ้านี่


อ้าปากกว้างงงงงง



ในโลกอนาคตยังมีสถานบันเทิงเริงรมณ์ แหล่งท่องเที่ยวยามค่ำคืน เป็นว่าไม่ว่าจะกี่ยุค กี่พ.ศ. หรือกี่สมัย เรื่องแบบนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยน ต่างกันเพียงเทคนิคการดึงดูดลูกค้าที่ต่างกันไป ที่สถานีอวกาศอัลฟ่านี้มีสุดยอดศิลปิน อย่างน้อยก็เป็นสุดยอดศิลปินในใจพระเอก เธอชื่อบับเบิ้ล โชว์เปลี่ยนร่างของเธอยอดเยี่ยมสุด ๆ


โชว์ที่ดีที่สุด




โชว์พิเศษสุดอลังการ พระเอกโน้มน้าวให้เธอช่วยเหลือพระเอกด้วย คือหลังจากที่ลอเรรีนตามหาวาเลเรียนจนพบ พวกเขาก็ต้องพลัดหลงกันอีกครั้ง จนท.ลอเรรีนถูกจับตัวไปอยู่กับพวกอูลานบาตอร์ ชนเผ่าป่าเถื่อนที่อยู่เขตแดนนอกกฎหมาย คนต่างสายพันธุ์ห้ามเข้า เข้าไปก็อย่าได้หวังออกมา บับเบิ้ลจึงต้องใช้กลแปลงร่างเปลี่ยนร่างเป็นพวกอูลานบาเตอร์ พาผู้พันวาเลเรียนเข้าไป ช่วยเหลือลอเรรีน แต่จะช่วยได้ยังไง ตอนนี้สนุกมาก ยกให้เป็นฉากผจญภัยที่สนุกที่สุดในเรื่อง


สนุกท่องเที่ยวตื่นตาตื่นใจซะนาน ก็กลับมาท่อนที่ต้องซีเรียสซะที ร่องรอยของกลุ่มพวกที่จับผบ.มา อยู่ ณ ใจกลางสถานีอวกาศอัลฟ่า จุดที่มีสารกัมตรังสีปนเปื้อนนั้นแหละ แต่มาถึงพบว่าไม่มีสารปนเปื้อนเลย มีแต่คลื่นสัญญาณรบกวนสูง ความจริงปรากฎว่ากลุ่มพวกที่ลักพาตัวท่านบก. แท้จริงเป็นพวกชาวเพิร์ล พวกที่เคยอาศัยอยู่ที่ดาวมิวเมื่อ 30 ปีก่อน ตอนนั้นดาวระเบิด เพราะมีเหตุสงครามกันระหว่างสหพันธรัฐกับพวกดาวใต้ ผบ.ปัจจุบันคือผู้บัญชาการยานรบในตอนนั้น ยิงขีปนาวุธโจมตี แต่จะทำให้ยานร่วงใส่ดาวมิว แม้จะมีนักวิทยาศาสตร์คัดค้านว่าดาวมิวมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ แต่ผบ.บอกว่าถึงมีสิ่งมีชีวิตจริง ก็เป็นสิ่งมีชีวิตระดับด้อยพัฒนา ชีวิตของทหาร 5 แสนนายในสงครามสำคัญกว่า เมื่อดาวระเบิดจึงทำการปกปิดความผิด โดยป้อนข้อมูลในโปรแกรมคอมพิวเตอร์เสียใหม่ว่า ดาวมิวไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่


จะด้อยพัฒนารึเปล่าไม่รู้ พวกเขาอยู่กันแบบธรรมชาติ ประชากรมีแค่ 6 ล้านคน ไม่ค่อยมีคนรู้จัก ทำให้นึกถึง the god must be crazy (เทวดาท่าจะบ๊องส์) หนังในดวงใจอีกเรื่อง พูดถึงคนป่าชื่อนิเชาจากเผ่าบุชแมน และขวดโค้กที่หล่นจากฟ้า ชาวบุชแมนน่าจะเป็นตัวอย่างของการอยู่แบบธรรมชาติได้ดี พวกเขาอยู่ในป่าลึกในแอฟริกา น้อยคนจะรู้จัก แห้งแล้งแต่หาน้ำกันได้จากรากไม้ กิจวัตรประจำวันคือตื่นตอนเช้ามาอ่านข่าว ไม่ได้อ่านจากนสพ.นะ อ่านจากรอยเท้าบนพื้นดิน ไฮยีน่าถูกควายขวิด แม่ชีต้าคลอดลูกเสือตัวใหม่ อะไรแบบนี้ นอกจากนี้พวกเขายังมีหน้าที่ดูแลรักษาผืนป่า อยู่กลมกลืนกับธรรมชาติเช่นเดียวกับชาวเพิร์ล แต่ชาวเพิร์ลอยู่ในระดับที่สามารถประสานกับโลกธรรมชาติได้แล้ว ไม่แน่ว่าชาวบุชแมนต่อ ๆ ไปอาจพัฒนาไปอีกก็ได้ อาจกลายเป็นสิ่งมีชีวิตระดับพัฒนาแล้วอีกแบบหนึ่ง แต่ความจริงคือ คนที่อยู่กับธรรมชาติแบบนี้มักไม่ค่อยพัฒนาอะไรอีก เพราะพวกเขาไม่ต้องการอะไรเพิ่มเติม จึงกลายเป็นพวกด้อยพัฒนาเหมือนเดิม พัฒนาแล้วหรือด้อยพัฒนาป่าเถือน หรือว่าจริง ๆ แล้ว พวกเขาพัฒนาแล้วแต่เราไม่เข้าใจ จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ใช่การพัฒนาด้านวัตถุแบบที่เราเข้าใจก็ได้


ผบ.ต้องการระเบิดฆ่าชาวเพิร์ลที่อาศัยอยู่ที่นี่เพื่อปกปิดความผิดตัวเอง ส่วนชาวเพิร์ลลักพาตัวผบ.มาเพื่อถามหาสิ่งของพวกเขาคืน เพื่อนำไปสร้างบ้านของพวกเขาให้กลับคืนมา ประกอบด้วยไข่มุก ใช้เป็นแหล่งเชื้อเพลิงพลังงาน เจ้าตัวน้อย ใช้เป็นตัวเพิ่มปริมาณไข่มุกให้ได้เยอะ ๆ  จะได้ให้พลังงานคืนกลับธรรมชาติ ใช้ควบคุมลมดินฟ้าอากาศ ผืนน้ำ ผืนป่า อาจรวมถึงสิ่งมีชีวิตด้วย ซึ่งสิ่งของ 2 สิ่งที่ต้องการนี้ อยู่กับจนท.วาเลเรียน แต่คิดดี ๆ ควรคืนให้พวกเขาหรือไม่ ของมีค่าหนึ่งเดียวในจักรวาล 1. ถ้าเอามาเพิ่มจำนวนไข่มุก แล้วค่อยแบ่งให้พวกชาวเพิร์ลจะดีกว่าไหม 2. หรือจะเอาไปพัฒนาเศรษฐกิจ จะเอาเพชรเอาทองใส่ เพื่อเพิ่มจำนวนออกมาก็ได้ มนุษย์จะกลายเป็นสหพันธรัฐที่รวยที่สุดในจักรวาล 3.หรือจะเอาไปบริหารจัดการให้ทุก ๆ เผ่าพันธุ์มีสิทธิ์ได้รับส่วนแบ่ง -- สามารถเอามาไปทำอะไรได้หลายอย่าง เราควรคืนให้พวกเขาหรือ หรือเหตุผลเดียวที่สมควรคิดมากกว่าเหตุผลอื่นคือ เพราะเราพรากบ้านจากเขา และพวกเขาสมควรได้รับมันกลับคืน อย่าลืมบทเรียนของกษัตริย์สเปน สมัยหนึ่งประเทศสเปนเป็นประเทศที่มีทองคำใหญ่โตที่สุด กองเป็นภูเขา แต่แลกมาด้วยชีวิตคนป่าอินเดียแดงที่ทำเหมือง แลกกับภูเขา ธรรมชาติ กับทรัพยากรที่ไปขุดมา แต่ต่อมาเศรษฐกิจประเทศสเปนกลับล่มสลาย เป็นไปได้ยังไงประเทศที่มีทองคำกองเป็นภูเขาจะล้มเหลวทางเศรษฐกิจเป็นไปได้ยังไง เพราะมูลค่าแท้จริงของวัตถุไม่ได้อยู่ที่ตัวมัน มูลค่าแท้จริงอยู่ที่คนต้องการมันรึเปล่า บางครั้งอาจเป็นแค่กระดาษ แต่คนต้องการมัน มันก็มีมูลค่ามาก ดังนั้นวัตถุจะมีค่าหรือด้อยค่ามันแล้วแต่มีจำนวนความต้องการ แต่กับชีวิตของคนป่าอินเดียแดง กับทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกสูบมา มูลค่าเท่าไหร่ที่เสียไป ทำลายแล้วเอากลับคืนมาใหม่ไม่ได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน ซึ่งหนังก็ค่อนข้างมองโลกในแง่ดี ในที่สุดผู้พันวาเลเรียนก็ส่งคืนสิ่งของให้กับพวกเขาไป ดาวมิวจึงฟื้นคืนมาหลังจากการระเบิดหายไปกว่า 30 ปี




เฮ่อ จบ เดินออกมาจากการท่องเที่ยวบ้านอวกาศอย่างสบายใจ เห็นเพื่อนก็ออกมาจากเกาะสงครามได้แล้วเหมือนกัน หัวเปื้อนน้ำมันมาเลย เขาบอกว่าชาวบ้านมาช่วยไว้ พลเรือนเดินเรือสู่เขตสงครามเพื่อช่วยทหารกลับบ้าน แต่ว่ารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ศึกครั้งนี้ไม่มีเกียรติ ไม่ได้รับชัยชนะ แค่หนีออกมาได้เท่านั้นเอง ไม่รู้จะปลอบใจยังไง เลยหยิบไข่มุกให้เขาไป เม็ดหนึ่ง ของที่ระลึกจากบ้านอวกาศ ไข่มุกเม็ดนี้เป็นของเผ่า ๆ หนึ่ง พวกเขาถูกทำลายดวงดาวบ้านเกิดไป ต้องอยู่อย่างเคว้งคว้าง และใช้ความพยายามเอาตัวรอดมาตลอด 30 ปี แต่พวกเขาก็เรียนรู้ สู้ และไม่ละทิ้งความพยายาม จนในที่สุดพวกเขาก็สามารถมีบ้านใหม่ของตัวเองได้สำเร็จ เพราะรอดชีวิตจึงมีวันนี้ได้ ทหารที่รอดชีวิต ก็ยังมีโอกาสต่อสู้เพื่อบ้านของตัวเองต่อไปได้เช่นกันนะ


ทั้ง 2 เรื่อง ต่างก็พูดถึงคำว่าบ้าน แต่เป็นบ้านที่มีความหมายถึง คน หรือนี่จะเป็นความหมายแท้จริงของมัน ความรัก  ความเป็นครอบครัว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เราก็สามารถเรียกที่นั่นว่า "บ้าน" ได้


รีวิวปน ๆ กันไปไม่ว่ากันนะ




จบแล้วครับ ขอขอบคุณที่อ่านจนจบ


ชื่อสินค้า:   Valerian and the City of a Thousand Planets
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่