[Review] MU Grad Test สอบเมื่อ ก.ค. 2017

เพื่อใช้เป็นข้อมูลให้ทุกคนที่วางแผนหรือกำลังจะไปสอบนะครับ ^^

สืบเนื่องจากกระทู้นี้   https://ppantip.com/topic/36235154  ของคุณ สมาชิกหมายเลข 1515909  เห็นว่ามีข้อมูลบางส่วนแล้ว จึงอยากเพิ่มเติมเพื่อเป็นข้อมูลให้อุ่นใจกับคนอื่นๆ ต่อครับ

จขกท เข้าสอบ MU Grad Test จำนวน 2 ครั้ง จุดประสงค์เพื่อใช้บรรจุงานใน ม.มหิดล ครับ เลยอยากเอาให้ชัวร์ว่าจะผ่านแน่ๆ 555+ เลยลงสอบภายในเดือน ก.ค. 2017 ทั้ง 2 ครั้งครับ


สถานที่สอบ : ตึกบัณฑิตวิทยาลัย ม.มหิดล วิทยาเขตศาลายาครับ สามารถค้นหาได้จาก Google Map ได้เลยครับ Location ตรงเป๊ะเลยครับ


การเดินทางเพื่อมาสอบ เนื่องจาก จขกท ไม่มีรถส่วนตัว เลยใช้เส้นทางจาก BTS บางหว้า (ทางออก 1-2) และใช้บริการศาลายาลิงค์ (Salaya Link) เป็นรถขนส่งของมหาวิทยาลัย บุคคลภายนอกสามารถใช้บริการได้เช่นเดียวกับ น.ศ. ราคาค่าบริการ 30 บาทครับ (เตรียมเงินพอดี เพราะต้องหยอดตรงทางขึ้นรถ ข้างคนขับ ซึ่งจะไม่มีการทอนนะครับ)

ข้อมูลเพิ่มเติมของ Salaya Link และการเดินทางด้วยวิธีอื่นๆ ศึกษาได้จากคลิปนี้เลยครับ (ทำได้น่ารักและเข้าใจง่ายมากๆ ครับ ขอบคุณ Mahidol Channel ด้วยครับ ^^
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ตารางการเดินรถ สำหรับวัน จ-ศ เท่านั้นนะครับ
*คำเตือน รถมาตรงเวลามากๆ ครับ (ก่อน 5 นาทีด้วยซ้ำ) มาถึงรับคนปุ๊บออกเลยครับ เพราะฉะนั้นควรเผื่อเวลาให้เหมาะสมนะครับ


จขกท ใช้บริการรอบ 11.35 น. ถึงศาลายาราวๆ 12.00 น. พอดี 20 กว่านาทีเองครับ รวดเร็วมากๆ ครับ รถจะจอดที่ด้านหน้าตึกอธิการบดีครับ

เมื่อถึงแล้วก็สามารถเลือกใช้บริการรถ Tram (รถราง วิ่งเฉพาะภายใน ม. เท่านั้น) ศึกษาเส้นทางได้ตามนี้ครับ  http://www.ipsr.mahidol.ac.th/ipsrbeta/Images/contact/tram_map.pdf  แต่ผมไม่ได้ใช้บริการครับ อยากเดินดู ม. ครับ ก็มีเส้นทาง Covered way เดินร่มๆ ไปจนถึงตึกบัณฑิตวิทยาลัยเลยครับ มีป้ายบอกทางเป็นระยะๆ ไม่ต้องกลัวหลงครับ

สำหรับคนที่มาถึงก่อนเวลา ด้านหน้าตึกบัณฑิตฯ (ฝั่งบันไดสูง) มีร้านอาหาร "เรือนโสเหล่" ให้พักเติมแรงก่อนสอบครับ (ไม่ได้ค่า Sponsor นะครับ 55+)
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

หรือ ใครอยากฝากท้องกับเซเว่นก็เดินไปทางใต้ตึกคณะวิทยาศาสตร์ได้ครับ ใกล้ๆ ตึกบัณฑิตเช่นกัน


ต่อไป เรื่องของการสอบนะครับ จขกท สอบรอบ 13.30 น. แต่ในกำหนดการบอกห้องสอบเปิดตั้งแต่ 13.00 น. ก็เลยรีบไปรอตั้งแต่บ่ายโมง ห้องสอบก็เปิดจริงๆ ครับเข้าไปนั่งได้ แต่ก็ต้องรอเวลา 13.30 น. อยู่ดีครับ เพราะฉะนั้นไม่ต้องรีบมากก็ได้ครับ ห้องน้ำอยู่ถัดจากห้อง Sound Lab (ห้องสอบ) เลยครับ ใกล้มากๆ ครับ

เมื่อเข้าไปในห้องสอบ สิ่งที่สามารถติดตัวได้คือ บัตรประชาชน เท่านั้น กระเป๋าดินสอเอาเข้าไม่ได้นะครับ แนะนำให้เอาเสื้อกันหนาวมาด้วยครับ วันที่ จขกท สอบ ฝนตก เย็นยะเยือกมากครับ เนื่องจากการสอบเป็น Computer-based พูดง่ายๆ คือ ทำข้อสอบในคอมพิวเตอร์ทั้งหมดครับ ดินสอ 2B เลยไม่จำเป็นต้องเตรียมมาครับ บนโต๊ะจะมีดินสอให้คนละ 1 แท่ง และกระดาษ A4 1 แผ่น ไว้สำหรับ Note สิ่งต่างๆ ที่ต้องการครับ

เมื่อเข้าสอบจะได้กระดาษที่ระบุ Username และ Password สำหรับเข้าในโปรแกรมสอบของเครื่องเราครับ ก็รอเวลาจนกว่า จนท จะให้กรอกนะครับ (มีผู้เข้าสอบบางคนนิสัยไม่ดีเลย แกะ กรอกเข้าโปรแกรมก่อนเลย - -' )

เข้าโปรแกรมแล้วจะมีปุ่มให้ตรวจสอบหูฟัง ใช่ครับ ที่นี่การสอบ Listening มีหูฟังให้ครับ (จขกท เคยไปสอบ TOEFL ITP เปิดลำโพงจากเครื่องเล่นซีดี เสียงก้องมากกกก ฟังไม่ค่อยชัดเลย) และก็จะมีวีดิโอแนะนำการทำข้อสอบ มีให้เลือกทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เลือกฟังได้เลยครับ (แนะนำให้ฟังครับ ไม่เสียเวลามาก)


1) Listening (4 Audios, 20 ข้อ (1 audio ต่อ 5 ข้อ), 20 คะแนน - 30 นาที)

การสอบที่นี่ใจดีมากครับ สามารถกดฟังได้ 2 ครั้ง ต่อ 1 audio ครับ ทริคเล็กๆ ของ จขกท คือ อ่านโจทย์และตัวเลือกให้ครบทั้ง 5 ข้อ ก่อนกดเริ่มฟัง เพราะจะทำให้เรารู้ว่าเราจะเจอศัพท์อะไรในคลิปเสียง เช่น บางทีเป็นชื่อคนหรือชื่อสถานที่ หรือคำศัพท์ที่อาจไม่คุ้นหูเรา ก็จะทำให้เราเดาบริบทของคลิปเสียงได้ครับ ระหว่างการฟังไม่สามารถ Pause ได้นะครับ ต้องฟังรวดเดียวให้จบ จบแล้วจึงจะกดเพื่อฟังครั้งที่ 2 ได้ครับ เมื่อจบ 1 audio โปรแกรมจะให้ Submit คำตอบ ซึ่งจะหวนกลับมาแก้ไขคำตอบไม่ได้แล้ว แต่ในระหว่างการทำข้อสอบแต่ละส่วนจะย้อนไปมาเพื่อแก้ไขคำตอบได้ครับ ตรวจทานให้ดีว่าตอบครบทุกข้อก่อนกด Submit ทุกส่วนเสมอครับ

ความยากในความรู้สึก จขกท คือ หากใครไม่คุ้นชินกับการฟังคลิปเสียงภาษาอังกฤษยาวๆ อาจเสียเปรียบได้ เพราะมันยาวจริงๆ แต่ในความโชคร้ายมีความโชคดี คือ ข้อสอบส่วนใหญ่เรียงลำดับตามข้อมูลในคลิปเสียงเลยครับ สามารถทำไปฟังไปได้เลย ต้องระวังให้ดี เพราะจะมีการให้ข้อมูลที่สับขาหลอกผู้ฟังได้พอสมควร เช่น ผู้ประพันธ์อาศัยที่ใด ในคลิปเสียงอาจมีประโยคที่บอกว่า "ฉันเกิดที่อิตาลี แม่เป็นคนฝรั่งเศส และใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตอยู่ในสเปน" เป็นต้น เพราะฉะนั้นเราก็ต้องตอบว่า "สเปน" เป็นต้น


2) Structure หรือ Grammar (2 ส่วน แบ่งเป็น Sentence completion (เติมคำที่หายไป) และ Error identification (หาจุดผิด) อย่างละ 10 ข้อ, 20 คะแนน - 30 นาที)

การสอบที่นี่ตั้งแต่ Part 2 เป็นต้นไป หากทำข้อสอบเสร็จไว เวลาที่เหลือจะไปทบในส่วนถัดไป แนะนำว่าควรเหลือเวลาให้พอประมาณ เพื่อไปถลุงใน Writing ครับ เพราะใช้เวลาเยอะมาก

ส่วนนี้ บอกเลยว่าครั้งแรกที่สอบ ไม่ยากเลยครับ ง่ายกว่าทุกการสอบวัดความรู้ภาษาอังกฤษที่มีเลย แต่พอรอบสองที่เข้าสอบ ยากไปอี๊กกก กำกวมและงงงวยมากครับ 555+ (หรือ จขกท ไม่เก่งเองก็ไม่รู้นะครับ)

ข้อสอบส่วนใหญ่จะเน้นพวก Tense (ซึ่งก็ไม่ได้มี Tense พิสดารมากนะครับ) การใช้ Passive voice, การเลือกคำเชื่อมให้ถูกต้องกับประโยค, การเติม s หลังคำที่ควรเติม, เลือก Verb แท้ให้ตรงประธานเอกพจน์หรือพหูพจน์, Gerund, การเลือกใช้รูป Adjective หรือ Adverb ของคำศัพท์ เป็นต้น


3) Reading (5 บทความ, 30 ข้อ, 30 คะแนน) + Vocabulary (10 ข้อ, 10 คะแนน) (รวม 40 คะแนน - 1 ชั่วโมง)

Passage หรือบทความ ก็ไม่ยากมากครับ หากเทียบกับ TOEFL ฝึกอ่านหา Main idea ให้เจอ และการดูบริบทคำศัพท์หรือคำสรรพนามที่บทความหมายถึง ให้ดีครับ

ข้อดีของโปรแกรมสอบที่นี่ คือ Passage มันจะตามโจทย์ไปทุกข้อ ไม่ต้องคลิกย้อนไปมาให้งงครับ สะดวกมากๆ

Vocabulary ของการสอบรอบแรก สำหรับผม คือ หินมากครับ คือ โจทย์จะให้ประโยคมา 1 ประโยค และทำตัวหนาคำศัพท์ 1 คำ และให้เลือกว่าตัวเลือกไหนมีความหมายเช่นเดียวกับคำในประโยค ซึ่งเอาตรงๆ ครับ ศัพท์วรรณกรรมมากครับ ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิตเลยครับ ทั้งคำในโจทย์และคำในตัวเลือก T T ก็หวังว่าทุกๆ คนที่ท่องศัพท์มาเยอะๆ จะทำส่วนนี้ได้คะแนนกันสูงๆ นะครับ (รากศัพท์ไม่มีให้เดาเลยครับ ร้องไห้ T T)

แต่รอบ 2 ที่สอบ ค่อนข้างง่ายมากขึ้นครับ ยังเป็นศัพท์ที่เราเคยผ่านหูผ่านตามาบ้างครับ ^^ (อันนี้ จขกท รู้สึกนะครับว่าข้อสอบมันจะแบ่งความยากง่ายแต่ละส่วนไม่เท่ากัน อย่างการสอบรอบแรกรู้สึกว่า Listening และ Grammar ค่อนข้างง่าย แต่ Vocabulary คือหินมาก แต่พอรอบสอง Grammar ก็โหดขึ้น แต่ Vocabulary ง่ายลงครับ)


4) Writing (มีให้เลือกอภิปราย 4 หัวข้อ ให้เลือกเพียงแค่ 1 หัวข้อ และเขียนให้ได้อย่างน้อย 350 words - 1 ชั่วโมง)

ให้เลือกเรื่องที่เราคิดว่าเรามีเหตุผลอภิปรายมากพอ เพราะ 350 words เหมือนจะน้อยแต่ไม่น้อยนะครับ สไตล์การสอบคล้ายกับของ IELTS มากๆ ครับ สามารถหาตัวอย่างโจทย์และการเขียนได้จาก Google ครับ และคลิปใน Youtube ครับ อันนี้เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจในการทำ Writing ครับ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ในส่วนนี้ จขกท ใช้เวลาค่อนข้างมาก รวมๆ เวลาทดจากส่วนอื่น ยังเขียนกันไป 1 ชั่งโมงเศษๆ เพราะฉะนั้นบริหารเวลาให้ดีครับผม ^^

ไม่ต้องกังวลเรื่องพิมพ์คำศัพท์ผิดนะครับ เพราะในโปรแกรมหากพิมพ์ศัพท์ผิดจะมีเส้นแดงขึ้นเตือนครับ ก็แก้ให้ถูกต้องก่อนส่งได้ครับ

เนื่องจากการสอบ ยาวนาน 3 ชั่วโมง โดยไม่อนุญาตให้ออกห้องสอบก่อนเวลาด้วยนะครับ หากปวดห้องน้ำ สามารถยกมือและขออนุญาต จนท ไปเข้าได้ตลอดนะครับ แต่ต้องมีเซ็นชื่อเข้า-ออกห้องสอบทุกครั้งครับ โดยจะมี จนท ตามไปเฝ้าหน้าห้องน้ำด้วยครับ (ซึ่งบางการสอบ ไม่แม้แต่จะอนุญาตให้เข้าห้องน้ำเลยครับ T T)

ภายหลังการสอบ Writing จะมีแบบสอบถามสั้นๆ ให้ทำนะครับ และหลังจากตอบแบบสอบถามเสร็จจะประกาศคะแนนของส่วนที่ 1 - 3 ครับ ก็จะทราบเลยว่าตัวเองเต็ม 80 คะแนนได้เท่าไหร่ครับ ส่วนอีก 20 คะแนนของ Writing รวมเป็น 100 คะแนน จะประกาศในเว็บไซต์ที่ลงทะเบียนสอบภายหลังสอบ 7 วัน ครับ

ก็หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ให้กับทุกคนที่ต้องการสอบ MU Grad Test นะครับ หากมีข้อสงสัยอื่นๆ ก็มาร่วมสนทนากันได้นะครับ
ขอให้ทุกคนโชคดีในการสอบครับ อมยิ้ม36
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่