[หนังโรงเรื่องที่ 194] Dunkirk - ต่อคิวขึ้นรถตู้ตอนฝนจะตก by ตั๋วหนังมันแพง


[หนังโรงเรื่องที่ 194] Dunkirk - ต่อคิวขึ้นรถตู้ตอนฝนจะตก ; (Christopher Nolan, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง

คะแนนความชอบ : A++++ (จากสเกล D-A)

**มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญเล็กน้อย

เรื่องย่อ : หนังสร้างจากเรื่องจริงของ "ยุทธการดันเคิร์ก" หนึ่งในอีเว้นท์ใหญ่ในสงครามโลกครั้งที่สอง โดยมีเหตุการณ์กองกำลังขนาดใหญ่ของสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสถูกล้อมไว้โดยทัพนาซีเยอรมัน  นายทหารกว่า 330,000 นายติดอยู่บนหาดดันเคิร์กไม่สามารถลำเลียงพลกลับแผ่นดินได้ด้วยข้อจำกัดทางทรัพยากรเรือ ด้วยความร่วมมือของทั้งทางราชนาวีและพลเรือนประจวบกับการสั่งหยุดยิงของฮิตเลอร์ ที่ช่วยกันส่งเรือเล็กเรือน้อยทั้งหลายมารับทหารเหล่านี้กลับบ้านโดยสวัสดิภาพได้ในที่สุด
.
.

ต้องบอกว่าเป็นหนังอีกเรื่องที่ผู้เขียนนึกภาพที่จะออกมาไม่ได้จริงๆ เนื่องด้วยตัวผู้เขียนเองนั้นก็เป็นแฟนผลงานของ "คริสโตเฟอร์ โนแลน" มานานแล้วและก็รู้สึกประหลาดใจเหมือนกันที่เขามาจับหนังแนวใหม่อย่างหนังสงครามแบบนี้ ซึ่งผลที่ออกมามันก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เป็นความสดใหม่จากไอเดียของผู้กำกับที่ยังมีความอยากลองคิดลองทำ และอาจกลายเป็นหนึ่งในบรรทัดฐานของหนังในยุคต่อไปก็ได้

หนังแบ่งการเล่าเรื่องออกผ่านมุมมองตัวละครทั้งสามเหล่าทัพ ทั้งทัพบก ทัพอากาศ และทัพเรือ (รวมถึงเรือพลเรือนด้วย) บนเส้นเวลาที่มีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกัน แต่ล้วนไปประจวบ ณ ที่เดียวกันคือ "หาดดันเคิร์ก" ในที่สุด ซึ่งด้วยกิมมิกการเล่าเรื่องตรงนี้ก็มีส่วนช่วยในการทำให้หนังมัน 'ดูมีอะไร' มากขึ้น มันเป็นการล้อกับเซนส์ของการรับรู้เวลาของคนดู (Perception of Time) และเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ค่อยๆดูดเราเข้าไป 'อยู่' บนหาดดันเคิร์กอย่างสมบูรณ์ในที่สุด

อีกหนึ่งเครื่องมือที่น่าสนใจก็คือ 'ความห่างเหิน' ที่หนังจงใจใส่เข้ามากั้นระหว่างคนดูกับเหล่าตัวละครอย่างเห็นได้ชัด คือนี่อาจจะเป็นครั้งแรกของหนังสงครามที่หนังไม่เปิดโอกาสให้เราได้รู้จักกับตัวละครเลย ซึ่งผิดจากแพทเทิร์นของหนังแนวนี้ที่มักจะพาเราเข้าไปสนิทกับกลุ่มตัวเอกกลุ่มนึงให้มากๆ ให้รู้จัก-เข้าใจที่มาที่ไปของทหารแต่ละคนเพื่อให้เกิด 'ความผูกพัน' ระหว่างคนดูกับตัวละครขึ้น แต่มาใน Dunkirk เราจะได้รู้แค่ว่า เอ้อ ไอ้หมอนี่มันชื่อนี้นะ มันมาจากเหล่าทัพไหน เท่านี้ จบ. แล้วหนังก็ดำเนินต่อไปแบบไม่แยแสอะไรทั้งสิ้น

ซึ่งมันช่วยขับให้แกนหลักของเรื่องอย่าง 'การเอาตัวรอด' ของคนธรรมดาๆแต่ละคนให้มันมีพลังมากขึ้น ไม่มีใครเป็นวีรบุรุษในหนังเรื่องนี้ ไม่มีใครที่ช่วยกอบกู้สถานการณ์ได้ด้วยตัวคนเดียว ไม่มีใครที่สละตนเพื่อคนอื่นด้วยเหตุผลอันสูงส่ง ... มีเพียง 'คนธรรมดา' ที่อยากกลับบ้าน และพร้อมที่จะดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อให้ความปรารถนานั้นลุล่วงไปได้ ยกตัวอย่างเช่นผลสรุปของฉากบนเรือประมง ระหว่างหนึ่งในทหารบกตัวเอกอย่าง "ทอมมี่" (Fionn Whitehead) กับทหารฝรั่งเศสที่แอบอ้างชื่อ "กิ๊บสัน" (Aneurin Barnard) ก็เป็นเหมือนการตบหน้าเรียกสติคนดูที่กำลังเคลิ้มไปกับมิตรภาพของลูกผู้ชายอย่างเราดังเพียะ! ให้ได้สติและกลับมาที่ความโหดร้ายของหาดดันเคิร์กต่อไป

ส่วนที่ประทับใจเป็นพิเศษก็คือความมินิมอลของจำนวนบทสนทนาในเรื่องนี่แหละ คือตอนดูนี่รู้สึกได้เลยว่ามันโหวงมากๆ มันเงียบแปลกๆกับการที่ไดอะล็อกของแต่ละตัวละครมันแลดูเป็นสิ่งหายากเหลือเกิน นี่ลำพังบทพูดของ"กิลเลี่ยน เมอร์ฟี่" กับ "มาร์ก ไรแลนซ์" ก็คงกินไปเกือบครึ่งเรื่องแล้วมั้ง (หัวเราะ) ซึ่งมันก็เป็นทั้งข้อดีที่ว่าความเงียบมันเปิดโอกาสให้ภาพและสีหน้าของตัวละครได้ทำงานอย่างเต็มที่ แต่ในขณะเดียวกันด้วยที่มันไม่พูดอะไรกันก็อาจจะทำให้คนดูที่งงอยู่แล้วงงไปยิ่งกว่าเดิมก็ได้

แต่โดยส่วนตัวนั้นรู้สึกโอเคกับความเงียบนี้มาก โดยเฉพาะแทบทุกฉากบนเครื่องบินรบที่มันเป็นการมองผ่านสายตาตัวละครจริงๆ ไม่มีการโพล่งคำบรรยายสถานการณ์นั้นๆออกมาว่า "น้ำมันฉันจะหมดแล้วนะ" "ฉันจะทำแบบนี้แล้วนะ" ให้เราได้หงุดหงิดใจแต่อย่างใด คือจะอินได้มากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับรายละเอียดที่เราสามารถเก็บได้ล้วนๆ ... และที่สำคัญมันทำให้เราได้มีโอกาสปล่อยตัวไปกับความสวยงามของงานภาพและโทนสีที่ถูกคุมมาอย่างดี (ฟ้าหม่นๆไปหมด ตั้งแต่ท้องฟ้า ทะเล ยันหมวกทหารราบ) คือต้องยอมรับว่าเสียดายจริงๆที่ด้วยหน้าที่การงานทำให้ผู้เขียนถ่อสังขารไปดูโรง IMAX ใจกลางเมืองไม่ได้ แต่ลำพังจอปกตินี่ก็โอเคมากแล้ว ทั้งการขยับของวัตถุในฉาก ทั้งการเคลื่อนไหวที่เป็นระนาบ และโทนสีที่ส่งต่ออารมณ์ได้ดี เท่านี้ก็ถือว่าสมบูรณ์แบบแล้ว

แน่นอนว่าผลงานเพลงประกอบจากนักประพันธ์คู่บุญของโนแลนอย่าง "ฮานส์ ซิมเมอร์" ก็ยังไม่เสียมนต์ขลังแต่อย่างใด ... โนแลนยังคงหมกมุ่นอยู่กับ 'เวลา' ที่จำกัดและบีบคั้นเช่นเดียวกับหนังเรื่องอื่นๆที่มีมา ซึ่งบางคนอาจจะพกความหลอนในเสียงนาฬิกา "ติ๊กๆๆๆ" กลับบ้านไปเลยก็ได้ แต่ก็ยังต้องยอมรับว่านี่อาจไม่ใช่ผลงานที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาถ้าเทียบกับในอดีต ซึ่งในความรู้สึกแล้วคิดว่าในบางฉากนั้นซาวแทร็กมันดู 'โดด' ออกจากฉากมากไปหน่อยชนิดที่เรียกว่าทำหน้าที่เกินตัวพอสมควร แต่โดยภาพรวมก็ยังโอเคอยู่นะ
.
.

สรุป! Dunkirk ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งผลงาน Masterpiece อีกเรื่องที่น่าจดจำ ด้วยรูปแบบการเล่าเรื่องที่สดใหม่ เป็นเอกลักษณ์ ประกอบกับความสวยงามที่สอดรับกันระหว่างงานภาพและดนตรี แน่นอนว่าในความบันเทิงมันก็ไม่ได้ทำหน้าที่ดีเท่าไหร่หรอก แต่ก็อาจจะมองข้ามไปได้ด้วยความที่มันไม่ใช่ purpose ของผู้กำกับแต่แรกอยู่แล้ว ... เอาเป็นว่าถ้าใครที่ผ่านมาอ่านรีวิวนี้แล้วยังไม่ได้ดู ก็ขอแนะนำให้ล้างหน้าล้างตาตั้งสมาธิดีๆ แล้วเก็บรายละเอียดให้หมด เชื่อว่าท่านจะแฮปปี้กับความนิพพานในสไตล์ดันเคิร์กได้แน่นอน

ป.ล. สงสัยนิดนึง ทำไมตอนเครื่องลงจอดเขาไม่เปิด Flap ที่ปีกเพื่อช่วยลงจอดหว่า? ผู้ใดเชี่ยวชาญเครื่องบินเก่าช่วยชี้แนะที
ป.ล.2 เห็นด้วยไม่เห็นด้วยมาพูดคุยกันได้จ้า
ป.ล.3 ตั๋วหนังมันแพงเป็นชื่อเพจครับ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่