โทษที จะโพสต์ตั้งแต่เมื่อคืนละ พอดีพิมพ์ไปพิมพ์มาละเผลอหลับ เลยไม่ได้โพสต์ 55555 เหนื่อยจัด ไปธุระมาหลายที่
ผมไปดูเรื่องนี้มาไม่ใช่เพราะกระแสอะไรหรอก แต่ชอบผลงานของ Nolan เป็นการส่วนตัว ผมตามทั้งผลงานของครอบครัวนี้มาสักพักใหญ่ๆแล้ว ทั้งตัวเขาเอง (Christopher Nolan) ทั้งน้องชายของเขา (Jonathan Nolan) บางทีก็ตามไปถึงลุงของเขา (John Nolan)
เพราะหนังแต่ละเรื่องของสองพี่น้องคู่นี้ ถ้าไม่เน้นปรัชญา ก็จะเน้นความดราม่าที่ใส่มาได้เต็มขั้นถึงขีดสุดตลอดจริงๆ ไม่เว้นแม้แต่ใน Dunkirk นี้ ที่ใส่อารมณ์ดราม่า ที่หดหู่ด้วยการนำเรื่องราวของสงครามที่เคยเกิดขึ้นจริงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาเล่าผ่านเทคนิควิธีใหม่ๆ ที่หาได้ยากในแวดวงภาพยนตร์แนวสงคราม ชนิดที่คุณจะหาไม่ได้จาก Saving Private Ryan หรือ Band of Brothers เลย (เพราะเป้าหมายของ Nolan นั้นถูกตั้งไว้คนละจุดกับ Steven Spielberg)
เนื่องจากการเล่าเรื่องเหตุการณ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ของ Nolan ครั้งนี้ทำออกมาได้แตกต่าง มีเอกลักษณ์ ด้วยการจับภาพของสงครามมาพูดในมิติของการเอาตัวรอด การดิ้นรน การต่อสู้และดีลกับระยะเวลาที่มีค่อนข้างจำกัด ไม่ใช่การต่อสู้ หรือ ประจันหน้ากันระหว่างทหารสองฝั่งสองฝ่ายที่หันคมดาบและปลายปืนเข้ากระหน่ำใส่กัน
Nolan เริ่มด้วยการแบ่งการเล่าเรื่องออกเป็น 3 ส่วนที่แยกจากกัน คือ เนื้อเรื่องส่วนที่เกิดขึ้นบนชายหาด (กินเวลาประมาณเกือบๆสัปดาห์) บนผืนทะเล (ในระยะเวลาประมาณ 1 วัน) และท้ายสุดเนื้อเรื่องที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า (ที่กินเวลาประมาณชั่วโมง)
*เนื้อเรื่องคงไม่ต้องพูดถึงเพราะเป็นเรื่องที่สร้างจากเหตุการณ์จริง เคยเกิดขึ้นจริงอยู่แล้ว
แต่ไม่ต้องกังวลใจนะครับ เรื่องนี้ Nolan ก็ยังคงใช้เทคนิคที่เกี่ยวข้องกับความเหลื่อมซ้อนกันของ "เวลา" ในการเล่าเรื่องอยู่เช่นเดิม แต่รับรองว่าไม่งง และเข้าใจง่ายกว่า Memento หรือ Inception อย่างแน่นอน
ในแง่ของงานกำกับ ผมว่า Nolan เป็นอีกคนหนึง่ที่รู้จักวิธีไล่ระดับอารมณ์ของคนดูได้เยี่ยมระดับนึงเลยนะ จากเริ่มแรกที่เปิดฉากมาที่ในเมือง ตามมาด้วยฉากชายหาด และก็ฉากระเบิดเรือ ไล่ไปเรื่อยๆจนถึงฉากสุดท้าย คือมันมีความขึ้น-ลงของอารมณ์ในแต่ละฉากสลับไปกันสลับกันมาอยู่เรื่อยๆ มันทำให้ดูไม่น่าเบื่อ และไม่ตื้นเขินเกินเวลาคนดูมองเข้าไปที่ตัวหนัง ซึ่งถือว่ารักษามาตรฐานของตัวเองได้ดี
ด้านงานเขียนบทที่ Nolan ก็เขียนเองเช่นเดิมนี้ ก็เป็นอีกบทพิสูจน์ฝีมือของ Nolan ในเชิงซ้อนได้เช่นกัน เพราะบทพูดภายในหนัง Dunkirk นั้น แทบจะมีน้อยมาก มากเมื่อเทียบกับ The Dark Knight หรือ Batman Begins
ตัวละครภายในหนัง Dunkirk แทบไม่จำเป็นต้องพูด หรือ สื่อสารผ่านวาจาออกมาเพื่อให้คนดูรับรู้ถึงอารมณ์ และบรรยากาศในหนังเลย เพราะองค์ประกอบอื่นๆที่ Nolan ใส่เข้ามานั้นช่วยเติมเต็มและอุดทุกอย่างให้แก่คนดูได้อย่างสมบูรณ์แบบจนปริมาณบทพูดของตัวละครแทบเป็นเรื่องรองไปเลย
ในปริมาณความน้อยของบทพูดในกลุ่มตัวละครนี้ Nolan ก็ไม่พลาดที่จะปล่อยให้มันผ่านไปเฉยๆ แต่ได้แทรกเอาบทพูด บทสนทนาที่คมๆ แทรกนัยทางปรัชญาระหว่างตัวละครหนุ่มๆที่ต้องการเอาชีวิตรอดให้คนดูได้นำมาขบคิดกันอีกด้วย ไม่ว่าจะในฉากบนชายฝั่ง หรือแม้แต่บนผืนน้ำทะเล บทพูดแต่ละชุดมีความหมายในตัวมันเอง ที่หากลองสังเกตดูก็จะพบว่ามันน่าสนใจ และน่าทึ่งมาก โดยเฉพาะปรัชญาของการเอาชีวิตรอด หรือแนวคิดทัศนคติที่แตกต่างกันระหว่างความตื่นกลัวของคนที่เพิ่งผ่านหรือออกจากสนามรบ/สงครามมา กับความกล้าหาญของคนที่ยังไม่เคยผ่านประสบการณ์ความน่ากลัวของทั้งเสียงระเบิดและเสียงปืนมาเลย
นอกจากบทสนทนาที่คมคายและ contrast จนเห็นภาพเหล่านั้น ยังมีหน้าตา ท่าทางและอารมณ์ความตะเกียกตะกายของนักแสดงที่ทำออกมาอย่างสมจริง และได้อารมณ์แบบจุกๆที่หน้าอกมากๆ มันดูอึดอัด ปนๆกันไปไม่รู้ว่าจะสงสาร หรือจะรู้สึกว่า "สถานการณ์ในนั้นมันน่ากลัวอยากออกไปจากตรงนั้นไวๆ" ดี คือนักแสดงบางคนถึงจะดูโนเนม และออกฉากมาโดยแทบไม่ได้พูดไม่ได้จาอะไรมาก แต่ก็สื่อสารออกมาผ่านใบหน้า แววตา และน้ำเสียง การแผดเสียง การหลับตาปี๋ด้วยความรู้สึกไม่ปลอดภัยพร้อมๆกับทำท่าเหมือนจะหลั่งน้ำตา รวมถึงความสั่นเทาบนร่างกาย (ซึ่งผมคิดว่าน่าจะปนๆไประหว่างสั่นเพราะความหนาวจากที่ตัวเปียกน้ำและเสียงระเบิดจากเครื่องบินทิ้งระเบิด)
Tom Hardy คือ ไฮไลท์ที่สำคัญคนหนึ่งของหนัง โผล่มาแบบเดียวกับใน The Dark Knight Rises เมื่อปี 2012 เลย คือ มาแบบที่ไม่ต้องแสดงอะไรมากนอกจากใช้คิ้วและสายตา ตวัดกวัดแกว่งไปมาบนใบหน้า (เพราะใน Dunkirk เขาแสดงเป็นนักบิน ต้องปิดหน้าเกือบจะตลอดเวลาอยู่แล้ว) แต่ก็ยังช่วยให้คนดูเราได้สัมผัสถึงอารมณ์และสปิริตของนักบินอังกฤษที่ต้องคอยบินคุ้มกันไม่ให้พวก Nazi เข้ามาจู่โจมขนย้ายกำลังพลอังกฤษดี
ภาพและการตัดภาพ ของ Hoyte van Hoytema ผู้กำกับด้านภาพ (cinematographic director) ของ Dunkirk ก็เป็นคนที่รู้จังหวะการเล่นความช้าความเร็วของภาพดี ผมชอบการแพนกล้องในหลายๆจุดในหลายๆ motion ของ Dunkirk ดี ไม่ว่าจะการตัดภาพระหว่างฉาก หรือ ฉากที่ตัดไปตัดมาระหว่างท้ายเครื่องบิน กับหน้าของ Hardy
ด้านดนตรีและเพลงประกอบ ฝีมือของ Hans Zimmer ก็ทำออกมาได้ใจ ไม่ผิดหวังจริงๆ คือมันถึงใจ และได้อารมณ์ และยังมีเสียงนาฬิกาติ๊กต๊อกๆจากนาฬิกาของ Nolan ที่ช่วยเข้ามาบีบเขย่า และสั่นคลอนหัวใจของคนดูอยู่ตลอดเวลาของฉากที่จำเป็นต้องบิวท์อารมณ์ให้รู้สึกลุ้นอีกด้วย เสียงนาฬิกาของ Nolan จึงเป็นอีกสิ่งที่ช่วยเสริมความระทึกให้กับ Dunkirk ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
นอกจากเสียง ดนตรี และเพลงดังที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีเรื่องของ special effect ต่างๆที่ Nolan และทีมงานใส่เสริมเข้ามาอีกด้วย เช่น effect เสียงหวีดร้องของเครื่องบินที่กำลังบินข้ามหัวคนมันเป็นเสียงที่ไม่ได้ทำให้แค่แสบแก้วหู แต่ยังสร้างอารมณ์หวาดเสียวของความกระวนกระวายว่าจะถูกทิ้งระเบิดใส่หรือไม่อีกด้วย (เป็นการทำงานร่วมกันของเสียงและการโฟกัสภาพช้าๆไปที่ท้องเครื่องบินแบบโคตรจะสัมพันธ์กัน)
(แม้บางครั้งเสียง sound effect มันจะดังไปจนกลบเสียงตัวละครไปบ้างก็เถอะ)
ในเรื่องนี้สิ่งที่ผมชื่นชมอีกและชวนให้สังเกตอีกเรื่องก็คือ Nolan ไม่ได้ใส่สัญลักษณ์ ป้าย หรือธงอะไรที่บ่งชี้ไปถึงตัว Nazi Germany เลยแม้แต่น้อย แต่ก็สามารถฉายแบบเสียดสีให้เห็นถึงความน่ากลัว ความโหดร้าย อำมหิตของพวก Nazi ได้เป็นอย่างดี ถ้าสังเกตดีๆจะพบว่าฉากระเบิดเรือแต่ละครั้ง Nolan จะพยายามให้กล้องโฟกัสไปให้เห็นธง Red Cross (ธงกาชาด สีขาว-แดง ที่เป็นสัญลักษณ์ของพยาบาล สัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่า "ห้ามยิง หรือ ทำลายใครที่ติดธงนี้นะ" ในฐานะมารยาทหนึ่งของการทำสงคราม) ที่ท้ายที่สุดแล้วพวก Nazi ก็ทิ้งบอมบ์ใส่เรือที่มีธงของหน่วยพยาบาลเหล่านี้จนจมทะเลไปพร้อมกับเสียงหวีดร้องอยู่ดี
ในมิตินี้ผมรู้สึกว่ามันแบบ... มันอาจจะตีความได้ว่าเป็นการอวยฝั่งสัมพันธมิตร ฝั่งอังกฤษ ฝั่งอเมริกา และแอบด่าความเลวร้ายของเยอรมนีไปเป็นนัยๆก็ตาม แต่คือมันเป็นการเสียดสีที่มีศิลปะ และมีเทคนิคอะ มันไม่เหมือนการทำหนังที่สื่อสาร แบบอวยฝ่ายสัมพันธมิตรชัดๆแบบหนังเรื่อง FURY ของ David Ayer อะ มันลุ่มลึกกว่า
สำหรับ Nolan ผมว่า Nolan เป็นคนทำหนังที่ประสบความสำเร็จคนนึงในยุคนี้และปีนี้เลยนะ คือเขามีความสามารถนำเรื่องราวที่คนเรารู้ตอนจบของหนังอยู่แล้ว อย่างประวัติศาสตร์โลกมาเล่าในรูปแบบเทคนิควิธีใหม่ๆ ให้คนดูลุ้น และตื่นเต้น ร่วมไปกับบรรยากาศในหนังได้อะ ลุ้นไปกับเสียงปืนที่มาเป็นจังหวะ ลุ้นไปกับระเบิดที่ไม่รู้จะลงที่เรือเหล่านั้นไหม อะไรอย่างนี้อะ
มันอาจจะไม่ได้ดราม่ากระชากน้ำตาได้เท่ากับ The Boy in the Striped Pajamas หรือไม่ได้ให้อารมณ์ epic แบบ Schindler's List แต่มันก็ทำได้ออกมาให้มีอารมณ์ความน่าติดตามในแบบฉบับของ Nolan อะ
ถ้าอ่านแล้วชอบก็เรียนเชิญมากดไลค์ที่เพจนะครับ:
https://www.facebook.com/critiquesofeverything/
[SR] Dunkirk - รีวิวแบบเป็นกลาง (มี Spoil เล็กน้อย)
โทษที จะโพสต์ตั้งแต่เมื่อคืนละ พอดีพิมพ์ไปพิมพ์มาละเผลอหลับ เลยไม่ได้โพสต์ 55555 เหนื่อยจัด ไปธุระมาหลายที่
ผมไปดูเรื่องนี้มาไม่ใช่เพราะกระแสอะไรหรอก แต่ชอบผลงานของ Nolan เป็นการส่วนตัว ผมตามทั้งผลงานของครอบครัวนี้มาสักพักใหญ่ๆแล้ว ทั้งตัวเขาเอง (Christopher Nolan) ทั้งน้องชายของเขา (Jonathan Nolan) บางทีก็ตามไปถึงลุงของเขา (John Nolan)
เพราะหนังแต่ละเรื่องของสองพี่น้องคู่นี้ ถ้าไม่เน้นปรัชญา ก็จะเน้นความดราม่าที่ใส่มาได้เต็มขั้นถึงขีดสุดตลอดจริงๆ ไม่เว้นแม้แต่ใน Dunkirk นี้ ที่ใส่อารมณ์ดราม่า ที่หดหู่ด้วยการนำเรื่องราวของสงครามที่เคยเกิดขึ้นจริงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาเล่าผ่านเทคนิควิธีใหม่ๆ ที่หาได้ยากในแวดวงภาพยนตร์แนวสงคราม ชนิดที่คุณจะหาไม่ได้จาก Saving Private Ryan หรือ Band of Brothers เลย (เพราะเป้าหมายของ Nolan นั้นถูกตั้งไว้คนละจุดกับ Steven Spielberg)
เนื่องจากการเล่าเรื่องเหตุการณ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ของ Nolan ครั้งนี้ทำออกมาได้แตกต่าง มีเอกลักษณ์ ด้วยการจับภาพของสงครามมาพูดในมิติของการเอาตัวรอด การดิ้นรน การต่อสู้และดีลกับระยะเวลาที่มีค่อนข้างจำกัด ไม่ใช่การต่อสู้ หรือ ประจันหน้ากันระหว่างทหารสองฝั่งสองฝ่ายที่หันคมดาบและปลายปืนเข้ากระหน่ำใส่กัน
Nolan เริ่มด้วยการแบ่งการเล่าเรื่องออกเป็น 3 ส่วนที่แยกจากกัน คือ เนื้อเรื่องส่วนที่เกิดขึ้นบนชายหาด (กินเวลาประมาณเกือบๆสัปดาห์) บนผืนทะเล (ในระยะเวลาประมาณ 1 วัน) และท้ายสุดเนื้อเรื่องที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า (ที่กินเวลาประมาณชั่วโมง)
*เนื้อเรื่องคงไม่ต้องพูดถึงเพราะเป็นเรื่องที่สร้างจากเหตุการณ์จริง เคยเกิดขึ้นจริงอยู่แล้ว
แต่ไม่ต้องกังวลใจนะครับ เรื่องนี้ Nolan ก็ยังคงใช้เทคนิคที่เกี่ยวข้องกับความเหลื่อมซ้อนกันของ "เวลา" ในการเล่าเรื่องอยู่เช่นเดิม แต่รับรองว่าไม่งง และเข้าใจง่ายกว่า Memento หรือ Inception อย่างแน่นอน
ในแง่ของงานกำกับ ผมว่า Nolan เป็นอีกคนหนึง่ที่รู้จักวิธีไล่ระดับอารมณ์ของคนดูได้เยี่ยมระดับนึงเลยนะ จากเริ่มแรกที่เปิดฉากมาที่ในเมือง ตามมาด้วยฉากชายหาด และก็ฉากระเบิดเรือ ไล่ไปเรื่อยๆจนถึงฉากสุดท้าย คือมันมีความขึ้น-ลงของอารมณ์ในแต่ละฉากสลับไปกันสลับกันมาอยู่เรื่อยๆ มันทำให้ดูไม่น่าเบื่อ และไม่ตื้นเขินเกินเวลาคนดูมองเข้าไปที่ตัวหนัง ซึ่งถือว่ารักษามาตรฐานของตัวเองได้ดี
ด้านงานเขียนบทที่ Nolan ก็เขียนเองเช่นเดิมนี้ ก็เป็นอีกบทพิสูจน์ฝีมือของ Nolan ในเชิงซ้อนได้เช่นกัน เพราะบทพูดภายในหนัง Dunkirk นั้น แทบจะมีน้อยมาก มากเมื่อเทียบกับ The Dark Knight หรือ Batman Begins
ตัวละครภายในหนัง Dunkirk แทบไม่จำเป็นต้องพูด หรือ สื่อสารผ่านวาจาออกมาเพื่อให้คนดูรับรู้ถึงอารมณ์ และบรรยากาศในหนังเลย เพราะองค์ประกอบอื่นๆที่ Nolan ใส่เข้ามานั้นช่วยเติมเต็มและอุดทุกอย่างให้แก่คนดูได้อย่างสมบูรณ์แบบจนปริมาณบทพูดของตัวละครแทบเป็นเรื่องรองไปเลย
ในปริมาณความน้อยของบทพูดในกลุ่มตัวละครนี้ Nolan ก็ไม่พลาดที่จะปล่อยให้มันผ่านไปเฉยๆ แต่ได้แทรกเอาบทพูด บทสนทนาที่คมๆ แทรกนัยทางปรัชญาระหว่างตัวละครหนุ่มๆที่ต้องการเอาชีวิตรอดให้คนดูได้นำมาขบคิดกันอีกด้วย ไม่ว่าจะในฉากบนชายฝั่ง หรือแม้แต่บนผืนน้ำทะเล บทพูดแต่ละชุดมีความหมายในตัวมันเอง ที่หากลองสังเกตดูก็จะพบว่ามันน่าสนใจ และน่าทึ่งมาก โดยเฉพาะปรัชญาของการเอาชีวิตรอด หรือแนวคิดทัศนคติที่แตกต่างกันระหว่างความตื่นกลัวของคนที่เพิ่งผ่านหรือออกจากสนามรบ/สงครามมา กับความกล้าหาญของคนที่ยังไม่เคยผ่านประสบการณ์ความน่ากลัวของทั้งเสียงระเบิดและเสียงปืนมาเลย
นอกจากบทสนทนาที่คมคายและ contrast จนเห็นภาพเหล่านั้น ยังมีหน้าตา ท่าทางและอารมณ์ความตะเกียกตะกายของนักแสดงที่ทำออกมาอย่างสมจริง และได้อารมณ์แบบจุกๆที่หน้าอกมากๆ มันดูอึดอัด ปนๆกันไปไม่รู้ว่าจะสงสาร หรือจะรู้สึกว่า "สถานการณ์ในนั้นมันน่ากลัวอยากออกไปจากตรงนั้นไวๆ" ดี คือนักแสดงบางคนถึงจะดูโนเนม และออกฉากมาโดยแทบไม่ได้พูดไม่ได้จาอะไรมาก แต่ก็สื่อสารออกมาผ่านใบหน้า แววตา และน้ำเสียง การแผดเสียง การหลับตาปี๋ด้วยความรู้สึกไม่ปลอดภัยพร้อมๆกับทำท่าเหมือนจะหลั่งน้ำตา รวมถึงความสั่นเทาบนร่างกาย (ซึ่งผมคิดว่าน่าจะปนๆไประหว่างสั่นเพราะความหนาวจากที่ตัวเปียกน้ำและเสียงระเบิดจากเครื่องบินทิ้งระเบิด)
Tom Hardy คือ ไฮไลท์ที่สำคัญคนหนึ่งของหนัง โผล่มาแบบเดียวกับใน The Dark Knight Rises เมื่อปี 2012 เลย คือ มาแบบที่ไม่ต้องแสดงอะไรมากนอกจากใช้คิ้วและสายตา ตวัดกวัดแกว่งไปมาบนใบหน้า (เพราะใน Dunkirk เขาแสดงเป็นนักบิน ต้องปิดหน้าเกือบจะตลอดเวลาอยู่แล้ว) แต่ก็ยังช่วยให้คนดูเราได้สัมผัสถึงอารมณ์และสปิริตของนักบินอังกฤษที่ต้องคอยบินคุ้มกันไม่ให้พวก Nazi เข้ามาจู่โจมขนย้ายกำลังพลอังกฤษดี
ภาพและการตัดภาพ ของ Hoyte van Hoytema ผู้กำกับด้านภาพ (cinematographic director) ของ Dunkirk ก็เป็นคนที่รู้จังหวะการเล่นความช้าความเร็วของภาพดี ผมชอบการแพนกล้องในหลายๆจุดในหลายๆ motion ของ Dunkirk ดี ไม่ว่าจะการตัดภาพระหว่างฉาก หรือ ฉากที่ตัดไปตัดมาระหว่างท้ายเครื่องบิน กับหน้าของ Hardy
ด้านดนตรีและเพลงประกอบ ฝีมือของ Hans Zimmer ก็ทำออกมาได้ใจ ไม่ผิดหวังจริงๆ คือมันถึงใจ และได้อารมณ์ และยังมีเสียงนาฬิกาติ๊กต๊อกๆจากนาฬิกาของ Nolan ที่ช่วยเข้ามาบีบเขย่า และสั่นคลอนหัวใจของคนดูอยู่ตลอดเวลาของฉากที่จำเป็นต้องบิวท์อารมณ์ให้รู้สึกลุ้นอีกด้วย เสียงนาฬิกาของ Nolan จึงเป็นอีกสิ่งที่ช่วยเสริมความระทึกให้กับ Dunkirk ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
นอกจากเสียง ดนตรี และเพลงดังที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีเรื่องของ special effect ต่างๆที่ Nolan และทีมงานใส่เสริมเข้ามาอีกด้วย เช่น effect เสียงหวีดร้องของเครื่องบินที่กำลังบินข้ามหัวคนมันเป็นเสียงที่ไม่ได้ทำให้แค่แสบแก้วหู แต่ยังสร้างอารมณ์หวาดเสียวของความกระวนกระวายว่าจะถูกทิ้งระเบิดใส่หรือไม่อีกด้วย (เป็นการทำงานร่วมกันของเสียงและการโฟกัสภาพช้าๆไปที่ท้องเครื่องบินแบบโคตรจะสัมพันธ์กัน)
(แม้บางครั้งเสียง sound effect มันจะดังไปจนกลบเสียงตัวละครไปบ้างก็เถอะ)
ในเรื่องนี้สิ่งที่ผมชื่นชมอีกและชวนให้สังเกตอีกเรื่องก็คือ Nolan ไม่ได้ใส่สัญลักษณ์ ป้าย หรือธงอะไรที่บ่งชี้ไปถึงตัว Nazi Germany เลยแม้แต่น้อย แต่ก็สามารถฉายแบบเสียดสีให้เห็นถึงความน่ากลัว ความโหดร้าย อำมหิตของพวก Nazi ได้เป็นอย่างดี ถ้าสังเกตดีๆจะพบว่าฉากระเบิดเรือแต่ละครั้ง Nolan จะพยายามให้กล้องโฟกัสไปให้เห็นธง Red Cross (ธงกาชาด สีขาว-แดง ที่เป็นสัญลักษณ์ของพยาบาล สัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่า "ห้ามยิง หรือ ทำลายใครที่ติดธงนี้นะ" ในฐานะมารยาทหนึ่งของการทำสงคราม) ที่ท้ายที่สุดแล้วพวก Nazi ก็ทิ้งบอมบ์ใส่เรือที่มีธงของหน่วยพยาบาลเหล่านี้จนจมทะเลไปพร้อมกับเสียงหวีดร้องอยู่ดี
ในมิตินี้ผมรู้สึกว่ามันแบบ... มันอาจจะตีความได้ว่าเป็นการอวยฝั่งสัมพันธมิตร ฝั่งอังกฤษ ฝั่งอเมริกา และแอบด่าความเลวร้ายของเยอรมนีไปเป็นนัยๆก็ตาม แต่คือมันเป็นการเสียดสีที่มีศิลปะ และมีเทคนิคอะ มันไม่เหมือนการทำหนังที่สื่อสาร แบบอวยฝ่ายสัมพันธมิตรชัดๆแบบหนังเรื่อง FURY ของ David Ayer อะ มันลุ่มลึกกว่า
สำหรับ Nolan ผมว่า Nolan เป็นคนทำหนังที่ประสบความสำเร็จคนนึงในยุคนี้และปีนี้เลยนะ คือเขามีความสามารถนำเรื่องราวที่คนเรารู้ตอนจบของหนังอยู่แล้ว อย่างประวัติศาสตร์โลกมาเล่าในรูปแบบเทคนิควิธีใหม่ๆ ให้คนดูลุ้น และตื่นเต้น ร่วมไปกับบรรยากาศในหนังได้อะ ลุ้นไปกับเสียงปืนที่มาเป็นจังหวะ ลุ้นไปกับระเบิดที่ไม่รู้จะลงที่เรือเหล่านั้นไหม อะไรอย่างนี้อะ
มันอาจจะไม่ได้ดราม่ากระชากน้ำตาได้เท่ากับ The Boy in the Striped Pajamas หรือไม่ได้ให้อารมณ์ epic แบบ Schindler's List แต่มันก็ทำได้ออกมาให้มีอารมณ์ความน่าติดตามในแบบฉบับของ Nolan อะ
ถ้าอ่านแล้วชอบก็เรียนเชิญมากดไลค์ที่เพจนะครับ: https://www.facebook.com/critiquesofeverything/