= ตามหัวข้อกระทู้เลยนะคะว่า 'แรงบันดาลใจในการเรียนของคุณคืออะไร' =
แรงบันดาลใจในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นแรงบันดาลใจเรื่องเรียนอย่างเดียว เราอาจหมายถึงแรงบันดาลใจต่างๆ ในการดำเนินชีวิตหรืออะไรบางอย่างให้เราสามารถก้าวเดินต่อไปได้ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ครู ความฝันของเรา อนาคตของเราหรือใครสักคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราลุกขึ้นสู้ เมื่อวันนึงเราท้อหรือไม่มีใคร
แล้วก็อยากให้เพื่อนๆ ชาวพันทิปเข้ามาร่วมแชร์แรงบันดาลใจ เพื่อหากว่ามีใครกำลังท้ออยู่ ถ้าหากเขาได้เข้ามาอ่านแล้วก็อาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนนั้นได้มีแรงผลักดันและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค หรืออาจเป็นประสบการณ์ความทรงจำดีๆ ก็ตามแต่ ^^
= สำหรับเรื่องของเรานั้น เราขอแทนคนที่เป็นแรงบันดาลใจของเราว่าพี่ S นะคะ =
ส่วนตัวเราเป็นคนชอบวิชาคณิตมากแต่วิชาที่ชอบก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเก่งวิชานั้น เพียงแต่เราชอบที่จะทำโจทย์ชอบที่ใช้เวลาอยู่กับมันถึงแม้ว่าบางครั้งเราจะแก้ปัญหาโจทย์ไม่ได้หรือได้รับแรงกดดันต่างๆ บ้างอาจมีคำถามเกิดขึ้นมาในใจว่า 'ทำไมเราไม่เข้าใจ' แต่เพราะคำว่าชอบหรือจะเรียกว่ารักก็ได้ ถึงแม้ว่าเราไม่เข้าใจแต่เราก็พร้อมที่จะเปิดใจรับความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับมันเสมอ ...
มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เกริ่นยาวไปหน่อย 55555
เราได้รู้จักรุ่นพี่คนนึงคือ S ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น เรารู้จักพี่เขามาก่อนแต่พี่เขาคงไม่รู้จักเรา 5555 เราคิดว่าพี่ S เป็นคนที่เก่งมากๆ นั่นอาจเป็นเพราะเราไม่เคยเจอใครเก่งเท่าเขาแล้วก็ว่าได้ พี่ S จบม.ต้น จาก ร.ร. ที่เราอยู่แล้วสอบเข้าไปเรียนที่ ร.ร. อีกแห่ง แต่ถึงอย่างนั้นพี่เขาก็ยังเป็นคนมีจิตใจอาสาร่วมกับเพื่อนๆ ของพวกพี่เขากลับมาช่วยติวให้น้องๆ ซึ่งวิชาที่พี่ S มาติวให้คือวิชาคณิต ตอนแรกที่เรารู้ว่ามีติวเราก็ชวนเพื่อนๆ ไปติวด้วยกันแต่พอถึงวันติวจริง กลับมีแค่เราไปติวแค่คนเดียว เพื่อนรุ่นเดียวกันกับเราก็มีแต่ก็ไม่ใช่กลุ่มที่เราสนิทแต่เราก็คุยกันได้ปกติ ส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นพี่กันซะมากกว่า
วันแรกที่ไปติวนี่คิดหนักเลยว่า 'เฮ้ย กูจะรอดป่ะวะ' 'จะทำได้มั้ย' 'แล้วถ้าถามบ่อยเกินไปเราจะเป็นตัวถ่วงหรือเปล่า' เราเลยบอกตัวเองว่า 'ก็เพราะเราไม่รู้ป่ะวะถึงมาเรียน ถ้ารู้แล้วจะมาเรียนทำไม' พอคิดแบบนั้นเราก็มีความมั่นใจมากขึ้น มันก็แอบกดดันหน่อยๆ ที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนไม่ค่อยสนิท รู้สึกเหมือนเรายืนอยู่ตัวคนเดียวแบบไม่รู้จักใครท่ามกลางฝูงชนมากมาย เราพยายามลดความตื่นเต้นแล้วตั้งใจฟังที่พวกพี่ๆ เขาสอน แต่เราก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าอะไรยังไง เพราะเนื้อหาที่พวกพี่เขาเอามาติวนั้นเป็นพวกเนื้อหาที่จะเตรียมแข่งขันเข้าค่ายๆ หนึ่ง แต่เพื่อนรุ่นเดียวกันกับเราเขาเข้าใจเว้ย แต่ตัวเรานี่สิ ตอนนั้นโคตรรู้สึกท้อเลย เหมือนตัวเองโง่อยู่คนเดียว เราลองถามเพื่อนให้อธิบายให้ฟัง มันก็พอจะเข้าใจบ้างนะแต่ก็งงๆ
เราเลยตัดสินใจถามพี่ S เพราะพี่เขาเดินผ่านโต๊ะพอดีหรือเพราะน้องรหัสพี่เขานั่งอยู่ข้างๆ เรากันแน่ว้าา 5555 พี่ S ก็อธิบายดีนะแต่เราก็ยังงงๆ นิดหน่อยโดยรวมก็เข้าใจ ตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก พอถึงเวลาเลิกติว พี่เขาก็ขอเฟสน้องๆ เพื่อนๆ ทุกคนเพราะถ้ามีปัญหาก็สามารถทักไปถามโจทย์ได้
ช่วงติวมันเป็นวันหยุดยาว 5 วันรวด แต่เราติวแค่ 4 วัน เรารู้จักพี่เขามาตั้งแต่ม.1 แล้วก็จริง แล้วก็เคยแอดเฟสพี่เขาไปแล้วด้วยแต่พี่ S ก็ไม่เคยรับแอดเลยจนกระทั่งตอนที่พี่เขาจบไปแล้ว TT หลังจบการติววันแรกไปพี่เขาก็ทักเฟสมาว่า 'วันนี้สอนเป็นยังไง ให้วิจารณ์มาได้เลย' เราก็ตอบไปตามความจริงว่าคนนี้ติวเป็นแบบนี้ๆๆ บางคนเราก็ฟังไม่เข้าใจ พูดเร็วบ้างไรงี้เพราะเพื่อพี่เขาเอาไปปรับใช้ใหม่ ._. ติววันที่ 3-4 ก็เหมือนๆ เดิม แต่วันสุดท้ายของการติวมีการสอบพรีเทสก่อนที่เราจะเจอข้อสอบจริง เราเลยทักไปถามพี่เขาก่อนว่าเราได้คะแนนเท่าไหร่ คำตอบที่ได้คือเราได้คะแนนน้อยมากๆ ชนิดที่เต็ม 50 เราได้ 12 หรือ 13 นี่แหละ @.@
หลังจากจบการติวพี่เขาก็บินกลับไปเรียนต่อส่วนเราก็อยู่สถานที่เดิมๆ (เดี๋ยวๆ เหมือนจะดราม่า 5555) ปกติเราไม่มีคนคุย ในแชทเราคุยแค่กับกลุ่มเพื่อนเท่านั้น เราคิดว่าพอจบติวก็น่าจะจบเลย ที่จริงเราก็อยากคุยกับพี่เขานะเพราะเราอยากติดค่ายจริงๆ ตอนนั้นก็ไม่รู้จะถามใครวันต่อมาพี่เขาก็ทักมาถามว่า 'ติวครั้งนี้ได้อะไรบ้าง' เราก็ตอบไปว่าได้ความรู้เพิ่ม รู้ว่าควรอ่านหรือทำโจทย์ตรงไหนเพิ่มบลาๆๆ แล้วประโยคที่เป็นคีย์เวิร์ดตลอดเลยก็คือ 'พี่อยากให้น้องติด'
คุยไปคุยมาพี่ S ก็โยนโจทย์มาให้ทำเฉยเลย อห.ตอนนั้นคือแบบกูจะคิดยังไงวะ มันไม่มีอะไรอยู่ในหัวเลยเว้ย เราเลยบอกพี่เขาไปตรงๆ ว่าไม่รู้และไม่เข้าใจ พี่เขาก็ใจดีบอกว่า 'มีอะไรก็ถามพี่ได้ตลอดเลยนะ ไม่ต้องกลัว' พี่เขาก็สร้างกลุ่มติวคณิตขึ้นมาแล้วก็ลงโจทย์ทุกวัน วันต่อมาพี่ S ก็ลงโจทย์น่ะแหละ แล้วก็ทักเรามาว่า 'ทำโจทย์ในกลุ่ม' คือพอเรารู้แล้วว่าพี่เขาน่าจะว่างช่วงเวลานี้แล้วเวลานี้พี่เขาจะลงโจทย์ ตัวเรารู้เลยว่าต้องทำโจทย์นะ อาจจะฝึกวันละข้อสองข้อประมาณนี้ ความจริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องทำตามที่พี่เขาบอกก็ได้แต่เมื่อโอกาสทั้งทีที่จะมีคนติวให้เราก็ควรคว้าเอาไว้ (ในใจของเราคือ ทำไมพี่เขาต้องใจดีขนาดนี้ด้วยวะ ถึงขนาดบอกให้ทำโจทย์หรืออาจทักมาก่อน ทั้งๆ ที่พี่เขาตอบแชทเป็นคนสุดท้ายแล้วก็ทักมาในช่วงเวลาเดิมๆ ของแต่ละวัน พี่ S อาจไม่คิดอะไรนะแต่เราก็งงๆ แต่ใจนึงก็ดีเพราะเราก็จะได้ฝึกโจทย์ด้วย)
แต่พอพี่เขาทักมาก่อนเราก็เกรงใจไง ครั้งต่อไปเราก็เป็นฝ่ายทักไปถามโจทย์พี่เขาเองบ้าง แต่ก่อนถามเรารู้ว่าพี่เขาเรียนหนักเราจะชอบถามพี่ S ว่า 'พี่ว่างหรือเปล่าคะ' พี่เขาก็จะบอกว่า 'ว่างจ้า' มันก็จะเหมือนๆ เดิม เป็นแพทเทินเดิมคือ พี่เขาจะลงโจทย์ช่วงประมาณทุ่มสองทุ่มเราก็จะส่งไปถามพี่เขาช่วง 22.00-00.00 โดยประมาณ เราก็จะคุยกันช่วงเวลานั้นเกือบทุกวันแหละ
เราวางแผนจัดเวลาตัวเองใหม่คือ ตื่นตอนเช้าประมาณหกโมงกว่าๆ ไปโรงเรียน ช่วงนั้นไม่ได้เรียนพิเศษเพราะกำลังเก็บพวกโจทย์คณิตอยู่เลยฝึกกับตัวเองแล้วก็โจทย์ที่พี่ S ลงทิ้งไว้ในกลุ่ม เราเลิกเรียนประมาณสี่โมงกว่าๆ ถึงบ้านประมาณห้าโมงกว่าๆ เราอาบน้ำแต่งตัวนอนประมาณทุ่มกว่าๆ เรามีเวลานอนประมาณสองชั่วโมงแล้วตื่นมาทำโจทย์พี่ S ต่อประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนถึงเวลาที่เราคุยกันปกติ เราคุยเรื่องโจทย์แล้วพี่เขาก็สอนไปด้วยจนถึงเกือบเที่ยงคืน แล้วเราก็นอนต่อ กิจวัตรประจำวันของเราในช่วงนั้นมันจะวนลูปอยู่ประมาณนี้จนจะเป็นนิสัยอยู่แล้ว
แล้วพี่ S ก็จะเหมือนคอยให้กำลังใจตลอด บางข้อเราตอบไปมันถูกแล้วแต่เราก็ไม่กล้าและไม่มีความมั่นใจที่จะตอบว่าข้อนี้ตอบอะไรยังไง พี่ S ก็จะบอกว่า ให้มีความมั่นใจในตัวเองหน่อย ส่วนข้อไหนทำถูกแล้วพี่ S ก็จะมีชมบ้างว่า ‘ดีมากก’ หรือ ‘ถูกแล้ว ดีๆๆ’ ประมาณนี้ ซึ่งคำที่พิมพ์พวกนี้ถึงมันจะเป็นแค่ตัวอักษรแต่ก็สามารถทำให้เรารู้สึกดีได้เว้ย มันทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องมีความมั่นใจมากขึ้นนะ ถึงผิดก็ไม่เป็นไร กล้าๆ ตอบหน่อย เรารู้สึกอยากทำให้ทุกๆ วันเป็นวันที่มีค่ามากๆ เรารู้สึกว่าช่วงเวลาเหล่านั้นมันผ่านไปเร็วแต่มันก็ยังคงติดอยู่ในความทรงจำของเราตลอด
พี่ S บอกว่า ‘ถ้าติดเดี๋ยวเลี้ยง' เราเลยถามว่า ‘เลี้ยงอะไรคะ’ พี่เขาก็บอกว่า ‘เนื้อย่างมะ’ เราเลยตอบไปว่า ‘ขอเปลี่ยนเป็นนส. แทนได้มั้ยคะ’ ที่เราขอเป็นนส. แทนไม่ใช่เพราะสร้างภาพว่าเป็นคนตั้งใจเรียนแต่เพราะเพื่อทุกครั้งที่เราหยิบมันขึ้นมาอ่านเราก็จะนึกถึงคนที่ให้มันแก่เรา
ที่สำคัญพี่ S จะชอบบอกว่าอยากให้น้องติด เราไม่อยากคิดไปเองเพราะเราก็แอบคิดเกินพี่ชายอยู่นิดหน่อยแต่เราก็ไม่ชอบความไม่ชัดเจนแล้วก็ไม่ชอบหลอกหรือคิดไปเองเลยถามพี่เขาอ้อมๆ ไปว่า ที่พี่อยากให้เราติดนี่เป็นเพราะพี่แข่งกับพี่อีกคนนึงใช่มั้ยว่า ร.ร. ไหนจะติดมากกว่ากัน คำตอบที่ได้คือ 'ใช่ 5555' พี่เขาก็ตอบมาแบบนี้ แล้วเราก็กลับมาคิดว่าเราลืมอะไรไปหรือเปล่าว่า พี่ S เขามีคนที่ชอบอยู่แล้ว (สมมติว่าพี่คนนั้นคือพี่ V) พี่ V ก็เป็นรุ่นพี่ที่เราเคารพด้วย พี่เขาน่ารักมากๆ แล้วเรายังเคยให้พี่ V ติวชีวะให้อีกด้วย ส่วนคนอื่นๆ ที่รู้จักพี่ S ก็จะรู้ด้วยว่าพี่ S มีคนที่ชอบอยู่แล้วคือพี่ V แล้วพี่ S ก็จีบพี่คนนี้มา 3-4 ปีและแต่ก็ยังไม่เป็นแฟนกันสักที (พี่ S เขารักเดียวใจเดียวไง ._.)
ในเมื่อพี่เขาต้องการแข่งว่าร.ร. ไหนได้มากกว่ากัน เราเลยชวนเพื่อนๆ มาติวด้วย คือลากเข้ากลุ่ม พี่ S ก็จัดติวให้อีกครั้งแต่เป็นรุ่นพี่คนนึงมาติวให้แทนเพราะพี่ S ไม่สามารถมาติวให้ได้ เรารู้ตัวแหละว่าเราไม่ติดแน่ๆ เรารู้ตัวดี เราคิดว่าพี่ S ก็คงติวแบบนี้ให้คนอื่นเหมือนกัน
พอวันสอบจริงๆ มาถึง เราตื่นเต้นมากๆ เราอยากติดเพื่อที่จะได้เข้าค่าย อยากรู้ว่าในค่ายเป็นยังไงแล้วอีกเหตุผลคือเราอาจได้คุยกับพี่ S ต่อถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาที่ไม่นานนักแต่ก็น่าจะพอยืดเวลาไปได้อีกสักสามสี่เดือน แต่แล้วพอวันประกาศผลสอบ มันไม่มีชื่อเรา เราคิดว่าเราจะเสียใจมากๆ แต่เรากลับไม่รู้สึกเสียใจขนาดนั้น เราคิดว่าเราคงไม่มีโอกาสได้นส.จากพี่เขา หรือได้คุยกับพี่เขาอีกแล้ว ความรู้สึกเหมือนเป็นดาวพลูโตที่พี่ S เป็นดวงอาทิตย์วันนึงเราก็ถูกตัดออกจากวงโคจร ถึงเป็นแบบนั้นเราก็ไม่รู้สึกเสียดาย ถึงเราไม่ติดปีนั้นแต่ปีหน้าก็ต้องทำให้ได้ นั่นไม่ใช่เหรอที่เป็นวัตถุประสงค์หลักของเรา
มันก็ผ่านมาเกือบปีแล้วที่เราไม่ได้คุยกันและก็ไม่รู้ด้วยว่าพี่ S ลบเราออกไปจากความทรงจำเขาหรือยัง แต่เราก็ยังนึกถึงพี่เขาอยู่ เรารู้สึกดีมากๆ ในช่วงเวลาเหล่านั้น ไม่เคยเสียดายไม่เคยคิดที่จะลบมันออกไป เราชอบที่ได้คุยกับพี่ S เพราะพี่เหมือนคอยเป็นกำลังใจให้เรา เขาทำให้เราคิดในแง่บวก ทำให้ทุกๆ วันของเรามีค่ามากๆ เราไม่เคยคิดว่าเวลา 24 ชั่วโมงเนี่ยมันสั้นๆ มากๆ เราไม่อยากให้เวลาผ่านไปเลยแต่เราก็ต้องยอมรับความจริง สิ่งหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิดเลยคือ หลังจากที่เราจบไปแล้วมีความรู้มากพอก็ควรกลับมาติวให้รุ่นน้องด้วย
ไม่ว่าตอนจบของเราจะเป็นยังไง ถึงเราจะชอบเขาไม่ได้แต่ถ้าเขาเป็นแรงบันดาลใจให้เราแล้วทำให้เราสามารถเปลี่ยนตัวเองจากคนขี้เกียจเป็นคนขยันขึ้น มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น กล้ามากขึ้น ทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น เราก็ชอบเขาต่อไปเถอะ ไม่ต้องไปคิดเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่นหรือคนที่เขาชอบ มองที่ตัวเรา เราที่ชอบเขาแล้วพยายามทำตามความฝันของเราให้เป็นจริง เพื่อวันนึงในอนาคตเราอาจจะได้อยู่ใกล้ๆ เขาอีกสักครั้งแค่นั้นก็พอ ^^
ถึง...พี่ชายที่แสนดี : )
แรงบันดาลใจในการเรียนของคุณคืออะไร?
แรงบันดาลใจในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นแรงบันดาลใจเรื่องเรียนอย่างเดียว เราอาจหมายถึงแรงบันดาลใจต่างๆ ในการดำเนินชีวิตหรืออะไรบางอย่างให้เราสามารถก้าวเดินต่อไปได้ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ครู ความฝันของเรา อนาคตของเราหรือใครสักคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราลุกขึ้นสู้ เมื่อวันนึงเราท้อหรือไม่มีใคร
แล้วก็อยากให้เพื่อนๆ ชาวพันทิปเข้ามาร่วมแชร์แรงบันดาลใจ เพื่อหากว่ามีใครกำลังท้ออยู่ ถ้าหากเขาได้เข้ามาอ่านแล้วก็อาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนนั้นได้มีแรงผลักดันและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค หรืออาจเป็นประสบการณ์ความทรงจำดีๆ ก็ตามแต่ ^^
= สำหรับเรื่องของเรานั้น เราขอแทนคนที่เป็นแรงบันดาลใจของเราว่าพี่ S นะคะ =
ส่วนตัวเราเป็นคนชอบวิชาคณิตมากแต่วิชาที่ชอบก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเก่งวิชานั้น เพียงแต่เราชอบที่จะทำโจทย์ชอบที่ใช้เวลาอยู่กับมันถึงแม้ว่าบางครั้งเราจะแก้ปัญหาโจทย์ไม่ได้หรือได้รับแรงกดดันต่างๆ บ้างอาจมีคำถามเกิดขึ้นมาในใจว่า 'ทำไมเราไม่เข้าใจ' แต่เพราะคำว่าชอบหรือจะเรียกว่ารักก็ได้ ถึงแม้ว่าเราไม่เข้าใจแต่เราก็พร้อมที่จะเปิดใจรับความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับมันเสมอ ...
มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เกริ่นยาวไปหน่อย 55555
เราได้รู้จักรุ่นพี่คนนึงคือ S ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น เรารู้จักพี่เขามาก่อนแต่พี่เขาคงไม่รู้จักเรา 5555 เราคิดว่าพี่ S เป็นคนที่เก่งมากๆ นั่นอาจเป็นเพราะเราไม่เคยเจอใครเก่งเท่าเขาแล้วก็ว่าได้ พี่ S จบม.ต้น จาก ร.ร. ที่เราอยู่แล้วสอบเข้าไปเรียนที่ ร.ร. อีกแห่ง แต่ถึงอย่างนั้นพี่เขาก็ยังเป็นคนมีจิตใจอาสาร่วมกับเพื่อนๆ ของพวกพี่เขากลับมาช่วยติวให้น้องๆ ซึ่งวิชาที่พี่ S มาติวให้คือวิชาคณิต ตอนแรกที่เรารู้ว่ามีติวเราก็ชวนเพื่อนๆ ไปติวด้วยกันแต่พอถึงวันติวจริง กลับมีแค่เราไปติวแค่คนเดียว เพื่อนรุ่นเดียวกันกับเราก็มีแต่ก็ไม่ใช่กลุ่มที่เราสนิทแต่เราก็คุยกันได้ปกติ ส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นพี่กันซะมากกว่า
วันแรกที่ไปติวนี่คิดหนักเลยว่า 'เฮ้ย กูจะรอดป่ะวะ' 'จะทำได้มั้ย' 'แล้วถ้าถามบ่อยเกินไปเราจะเป็นตัวถ่วงหรือเปล่า' เราเลยบอกตัวเองว่า 'ก็เพราะเราไม่รู้ป่ะวะถึงมาเรียน ถ้ารู้แล้วจะมาเรียนทำไม' พอคิดแบบนั้นเราก็มีความมั่นใจมากขึ้น มันก็แอบกดดันหน่อยๆ ที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนไม่ค่อยสนิท รู้สึกเหมือนเรายืนอยู่ตัวคนเดียวแบบไม่รู้จักใครท่ามกลางฝูงชนมากมาย เราพยายามลดความตื่นเต้นแล้วตั้งใจฟังที่พวกพี่ๆ เขาสอน แต่เราก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าอะไรยังไง เพราะเนื้อหาที่พวกพี่เขาเอามาติวนั้นเป็นพวกเนื้อหาที่จะเตรียมแข่งขันเข้าค่ายๆ หนึ่ง แต่เพื่อนรุ่นเดียวกันกับเราเขาเข้าใจเว้ย แต่ตัวเรานี่สิ ตอนนั้นโคตรรู้สึกท้อเลย เหมือนตัวเองโง่อยู่คนเดียว เราลองถามเพื่อนให้อธิบายให้ฟัง มันก็พอจะเข้าใจบ้างนะแต่ก็งงๆ
เราเลยตัดสินใจถามพี่ S เพราะพี่เขาเดินผ่านโต๊ะพอดีหรือเพราะน้องรหัสพี่เขานั่งอยู่ข้างๆ เรากันแน่ว้าา 5555 พี่ S ก็อธิบายดีนะแต่เราก็ยังงงๆ นิดหน่อยโดยรวมก็เข้าใจ ตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก พอถึงเวลาเลิกติว พี่เขาก็ขอเฟสน้องๆ เพื่อนๆ ทุกคนเพราะถ้ามีปัญหาก็สามารถทักไปถามโจทย์ได้
ช่วงติวมันเป็นวันหยุดยาว 5 วันรวด แต่เราติวแค่ 4 วัน เรารู้จักพี่เขามาตั้งแต่ม.1 แล้วก็จริง แล้วก็เคยแอดเฟสพี่เขาไปแล้วด้วยแต่พี่ S ก็ไม่เคยรับแอดเลยจนกระทั่งตอนที่พี่เขาจบไปแล้ว TT หลังจบการติววันแรกไปพี่เขาก็ทักเฟสมาว่า 'วันนี้สอนเป็นยังไง ให้วิจารณ์มาได้เลย' เราก็ตอบไปตามความจริงว่าคนนี้ติวเป็นแบบนี้ๆๆ บางคนเราก็ฟังไม่เข้าใจ พูดเร็วบ้างไรงี้เพราะเพื่อพี่เขาเอาไปปรับใช้ใหม่ ._. ติววันที่ 3-4 ก็เหมือนๆ เดิม แต่วันสุดท้ายของการติวมีการสอบพรีเทสก่อนที่เราจะเจอข้อสอบจริง เราเลยทักไปถามพี่เขาก่อนว่าเราได้คะแนนเท่าไหร่ คำตอบที่ได้คือเราได้คะแนนน้อยมากๆ ชนิดที่เต็ม 50 เราได้ 12 หรือ 13 นี่แหละ @.@
หลังจากจบการติวพี่เขาก็บินกลับไปเรียนต่อส่วนเราก็อยู่สถานที่เดิมๆ (เดี๋ยวๆ เหมือนจะดราม่า 5555) ปกติเราไม่มีคนคุย ในแชทเราคุยแค่กับกลุ่มเพื่อนเท่านั้น เราคิดว่าพอจบติวก็น่าจะจบเลย ที่จริงเราก็อยากคุยกับพี่เขานะเพราะเราอยากติดค่ายจริงๆ ตอนนั้นก็ไม่รู้จะถามใครวันต่อมาพี่เขาก็ทักมาถามว่า 'ติวครั้งนี้ได้อะไรบ้าง' เราก็ตอบไปว่าได้ความรู้เพิ่ม รู้ว่าควรอ่านหรือทำโจทย์ตรงไหนเพิ่มบลาๆๆ แล้วประโยคที่เป็นคีย์เวิร์ดตลอดเลยก็คือ 'พี่อยากให้น้องติด'
คุยไปคุยมาพี่ S ก็โยนโจทย์มาให้ทำเฉยเลย อห.ตอนนั้นคือแบบกูจะคิดยังไงวะ มันไม่มีอะไรอยู่ในหัวเลยเว้ย เราเลยบอกพี่เขาไปตรงๆ ว่าไม่รู้และไม่เข้าใจ พี่เขาก็ใจดีบอกว่า 'มีอะไรก็ถามพี่ได้ตลอดเลยนะ ไม่ต้องกลัว' พี่เขาก็สร้างกลุ่มติวคณิตขึ้นมาแล้วก็ลงโจทย์ทุกวัน วันต่อมาพี่ S ก็ลงโจทย์น่ะแหละ แล้วก็ทักเรามาว่า 'ทำโจทย์ในกลุ่ม' คือพอเรารู้แล้วว่าพี่เขาน่าจะว่างช่วงเวลานี้แล้วเวลานี้พี่เขาจะลงโจทย์ ตัวเรารู้เลยว่าต้องทำโจทย์นะ อาจจะฝึกวันละข้อสองข้อประมาณนี้ ความจริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องทำตามที่พี่เขาบอกก็ได้แต่เมื่อโอกาสทั้งทีที่จะมีคนติวให้เราก็ควรคว้าเอาไว้ (ในใจของเราคือ ทำไมพี่เขาต้องใจดีขนาดนี้ด้วยวะ ถึงขนาดบอกให้ทำโจทย์หรืออาจทักมาก่อน ทั้งๆ ที่พี่เขาตอบแชทเป็นคนสุดท้ายแล้วก็ทักมาในช่วงเวลาเดิมๆ ของแต่ละวัน พี่ S อาจไม่คิดอะไรนะแต่เราก็งงๆ แต่ใจนึงก็ดีเพราะเราก็จะได้ฝึกโจทย์ด้วย)
แต่พอพี่เขาทักมาก่อนเราก็เกรงใจไง ครั้งต่อไปเราก็เป็นฝ่ายทักไปถามโจทย์พี่เขาเองบ้าง แต่ก่อนถามเรารู้ว่าพี่เขาเรียนหนักเราจะชอบถามพี่ S ว่า 'พี่ว่างหรือเปล่าคะ' พี่เขาก็จะบอกว่า 'ว่างจ้า' มันก็จะเหมือนๆ เดิม เป็นแพทเทินเดิมคือ พี่เขาจะลงโจทย์ช่วงประมาณทุ่มสองทุ่มเราก็จะส่งไปถามพี่เขาช่วง 22.00-00.00 โดยประมาณ เราก็จะคุยกันช่วงเวลานั้นเกือบทุกวันแหละ
เราวางแผนจัดเวลาตัวเองใหม่คือ ตื่นตอนเช้าประมาณหกโมงกว่าๆ ไปโรงเรียน ช่วงนั้นไม่ได้เรียนพิเศษเพราะกำลังเก็บพวกโจทย์คณิตอยู่เลยฝึกกับตัวเองแล้วก็โจทย์ที่พี่ S ลงทิ้งไว้ในกลุ่ม เราเลิกเรียนประมาณสี่โมงกว่าๆ ถึงบ้านประมาณห้าโมงกว่าๆ เราอาบน้ำแต่งตัวนอนประมาณทุ่มกว่าๆ เรามีเวลานอนประมาณสองชั่วโมงแล้วตื่นมาทำโจทย์พี่ S ต่อประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนถึงเวลาที่เราคุยกันปกติ เราคุยเรื่องโจทย์แล้วพี่เขาก็สอนไปด้วยจนถึงเกือบเที่ยงคืน แล้วเราก็นอนต่อ กิจวัตรประจำวันของเราในช่วงนั้นมันจะวนลูปอยู่ประมาณนี้จนจะเป็นนิสัยอยู่แล้ว
แล้วพี่ S ก็จะเหมือนคอยให้กำลังใจตลอด บางข้อเราตอบไปมันถูกแล้วแต่เราก็ไม่กล้าและไม่มีความมั่นใจที่จะตอบว่าข้อนี้ตอบอะไรยังไง พี่ S ก็จะบอกว่า ให้มีความมั่นใจในตัวเองหน่อย ส่วนข้อไหนทำถูกแล้วพี่ S ก็จะมีชมบ้างว่า ‘ดีมากก’ หรือ ‘ถูกแล้ว ดีๆๆ’ ประมาณนี้ ซึ่งคำที่พิมพ์พวกนี้ถึงมันจะเป็นแค่ตัวอักษรแต่ก็สามารถทำให้เรารู้สึกดีได้เว้ย มันทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องมีความมั่นใจมากขึ้นนะ ถึงผิดก็ไม่เป็นไร กล้าๆ ตอบหน่อย เรารู้สึกอยากทำให้ทุกๆ วันเป็นวันที่มีค่ามากๆ เรารู้สึกว่าช่วงเวลาเหล่านั้นมันผ่านไปเร็วแต่มันก็ยังคงติดอยู่ในความทรงจำของเราตลอด
พี่ S บอกว่า ‘ถ้าติดเดี๋ยวเลี้ยง' เราเลยถามว่า ‘เลี้ยงอะไรคะ’ พี่เขาก็บอกว่า ‘เนื้อย่างมะ’ เราเลยตอบไปว่า ‘ขอเปลี่ยนเป็นนส. แทนได้มั้ยคะ’ ที่เราขอเป็นนส. แทนไม่ใช่เพราะสร้างภาพว่าเป็นคนตั้งใจเรียนแต่เพราะเพื่อทุกครั้งที่เราหยิบมันขึ้นมาอ่านเราก็จะนึกถึงคนที่ให้มันแก่เรา
ที่สำคัญพี่ S จะชอบบอกว่าอยากให้น้องติด เราไม่อยากคิดไปเองเพราะเราก็แอบคิดเกินพี่ชายอยู่นิดหน่อยแต่เราก็ไม่ชอบความไม่ชัดเจนแล้วก็ไม่ชอบหลอกหรือคิดไปเองเลยถามพี่เขาอ้อมๆ ไปว่า ที่พี่อยากให้เราติดนี่เป็นเพราะพี่แข่งกับพี่อีกคนนึงใช่มั้ยว่า ร.ร. ไหนจะติดมากกว่ากัน คำตอบที่ได้คือ 'ใช่ 5555' พี่เขาก็ตอบมาแบบนี้ แล้วเราก็กลับมาคิดว่าเราลืมอะไรไปหรือเปล่าว่า พี่ S เขามีคนที่ชอบอยู่แล้ว (สมมติว่าพี่คนนั้นคือพี่ V) พี่ V ก็เป็นรุ่นพี่ที่เราเคารพด้วย พี่เขาน่ารักมากๆ แล้วเรายังเคยให้พี่ V ติวชีวะให้อีกด้วย ส่วนคนอื่นๆ ที่รู้จักพี่ S ก็จะรู้ด้วยว่าพี่ S มีคนที่ชอบอยู่แล้วคือพี่ V แล้วพี่ S ก็จีบพี่คนนี้มา 3-4 ปีและแต่ก็ยังไม่เป็นแฟนกันสักที (พี่ S เขารักเดียวใจเดียวไง ._.)
ในเมื่อพี่เขาต้องการแข่งว่าร.ร. ไหนได้มากกว่ากัน เราเลยชวนเพื่อนๆ มาติวด้วย คือลากเข้ากลุ่ม พี่ S ก็จัดติวให้อีกครั้งแต่เป็นรุ่นพี่คนนึงมาติวให้แทนเพราะพี่ S ไม่สามารถมาติวให้ได้ เรารู้ตัวแหละว่าเราไม่ติดแน่ๆ เรารู้ตัวดี เราคิดว่าพี่ S ก็คงติวแบบนี้ให้คนอื่นเหมือนกัน
พอวันสอบจริงๆ มาถึง เราตื่นเต้นมากๆ เราอยากติดเพื่อที่จะได้เข้าค่าย อยากรู้ว่าในค่ายเป็นยังไงแล้วอีกเหตุผลคือเราอาจได้คุยกับพี่ S ต่อถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาที่ไม่นานนักแต่ก็น่าจะพอยืดเวลาไปได้อีกสักสามสี่เดือน แต่แล้วพอวันประกาศผลสอบ มันไม่มีชื่อเรา เราคิดว่าเราจะเสียใจมากๆ แต่เรากลับไม่รู้สึกเสียใจขนาดนั้น เราคิดว่าเราคงไม่มีโอกาสได้นส.จากพี่เขา หรือได้คุยกับพี่เขาอีกแล้ว ความรู้สึกเหมือนเป็นดาวพลูโตที่พี่ S เป็นดวงอาทิตย์วันนึงเราก็ถูกตัดออกจากวงโคจร ถึงเป็นแบบนั้นเราก็ไม่รู้สึกเสียดาย ถึงเราไม่ติดปีนั้นแต่ปีหน้าก็ต้องทำให้ได้ นั่นไม่ใช่เหรอที่เป็นวัตถุประสงค์หลักของเรา
มันก็ผ่านมาเกือบปีแล้วที่เราไม่ได้คุยกันและก็ไม่รู้ด้วยว่าพี่ S ลบเราออกไปจากความทรงจำเขาหรือยัง แต่เราก็ยังนึกถึงพี่เขาอยู่ เรารู้สึกดีมากๆ ในช่วงเวลาเหล่านั้น ไม่เคยเสียดายไม่เคยคิดที่จะลบมันออกไป เราชอบที่ได้คุยกับพี่ S เพราะพี่เหมือนคอยเป็นกำลังใจให้เรา เขาทำให้เราคิดในแง่บวก ทำให้ทุกๆ วันของเรามีค่ามากๆ เราไม่เคยคิดว่าเวลา 24 ชั่วโมงเนี่ยมันสั้นๆ มากๆ เราไม่อยากให้เวลาผ่านไปเลยแต่เราก็ต้องยอมรับความจริง สิ่งหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิดเลยคือ หลังจากที่เราจบไปแล้วมีความรู้มากพอก็ควรกลับมาติวให้รุ่นน้องด้วย
ไม่ว่าตอนจบของเราจะเป็นยังไง ถึงเราจะชอบเขาไม่ได้แต่ถ้าเขาเป็นแรงบันดาลใจให้เราแล้วทำให้เราสามารถเปลี่ยนตัวเองจากคนขี้เกียจเป็นคนขยันขึ้น มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น กล้ามากขึ้น ทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น เราก็ชอบเขาต่อไปเถอะ ไม่ต้องไปคิดเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่นหรือคนที่เขาชอบ มองที่ตัวเรา เราที่ชอบเขาแล้วพยายามทำตามความฝันของเราให้เป็นจริง เพื่อวันนึงในอนาคตเราอาจจะได้อยู่ใกล้ๆ เขาอีกสักครั้งแค่นั้นก็พอ ^^
ถึง...พี่ชายที่แสนดี : )