นิยามสั้นๆ => เส้นทางนี้วิวข้างทางงดงามกว่าจุดหมายปลายทาง
======================================
Basic Information
เราใช้บริการของ Rize Travel (search ที่ FB เลยค่ะ) โดยเค้าจะติดต่อกับ agency ที่อินเดียให้อีกทีนึง
สมาชิกทั้งหมด 4 คน ซึ่งกำลังดีเลยกับรถ van เพราะทุกคนสามารถถ่ายรูปข้างทางได้ และไม่เบียดกันเกินไป
การเดินทางเริ่มต้นคืนวันที่ 1 กค 2560 และเดินทางกลับคืนวันที่ 9 กค 2560 (ใครจะไปเลห์ กรุณาเตรียมอาหารไทยไปให้เกินอย่าได้ขาด)
ซึ่งถือว่าเป็นช่วง high season ของการท่องเที่ยว Leh เลยทีเดียว
เราไป Nubra วันที่ 4 กค 2560 โดยไปค้าง 1 คืน ซึ่งเป็นต้นฤดูที่หิมะยังละลายไม่หมด และยังเป็นสีขาวไร้รอยเท้า
กระทู้สำหรับ Pangong Lake
https://ppantip.com/topic/36696988
สภาพอากาศ กลางวันแดดร้อนจัด. กลางคืนก็หนาวจัดเช่นกัน ให้เตรียมเสื้อผ้าไป 2 แบบเลย
การไปเป็นหมู่คณะ ถือว่าดีเลิศ ที่สุดค่ะ 5555
======================================
เราออกจากเลห์แต่เช้า 7:30 เพื่อไป nubra (จริงๆก็ไม่เช้าเท่าไรนะ ^^)
ตาชิหนุ่มหล่อผิวเข้ม คนขับรถของเราพาเราขับรถไปเรื่อยๆ ผ่านหมู่บ้าน ตาชิแทบจะทักทุกคนที่ผ่านทาง ทำให้เราสงสัยว่า แถวนี้คือบ้านเขาหรือไร เมื่อเลยหมู่บ้านรถเริ่มไต่ขึ้นสู่ความสูงเรื่อยๆๆ ลมเย็นพัดตามความเร็วของรถจนรู้สึกสะท้าน เราเริ่มมองเห็นยอดเขาที่หิมะยังไม่ละลายปกคลุมอยู่ จากมองไกลๆ จนใกล้เข้ามาแทบจะเอื้อมมือถึง รถก็แล่นทำความเร็วได้บ้างไม่ได้บ้างพร้อมมีเสียงเพลงเคล้าคลอแบบ Indian style ฟังไปก็เพราะดีเหมือนกัน
ถนนที่ตอนแรกราดยางดูดีไม่น่าทรมานร่างกายเท่าไร ได้เริ่มเปลี่ยนเป็นทางดินแดงฝุ่นคลุ้ง ตามด้วยธารน้ำที่เกิดจากหิมะละลาย ทางที่สร้างมาแสนแคบ เมื่อมีรถสวนก็ต้องชะลอ แบ่งๆกันไป บางช่วงมีหินหล่นมากองขวางทาง บางช่วงต้องซ่อมทาง ทำรถติดเกินกว่าครึ่งชั่วโมง ซึ่งทำให้เราได้ออกมาถ่ายรูปกัน
ภูเขาเรียงซ้อนเป็นทิวแถวสวยงาม ยอดเขาปกคลุมด้วยหิมะ สลับกับเนินเขาสีดำ เหมือนเค้กช็อกโกแลตโรยไอซ์ซิ่ง (คงอร่อยน่าดู แบบว่าหิวมาก ระหว่างทางไม่มีร้านค้า) ทางคดโค้ง สุดลูกหูลูกตา สวยงามเกินคำบรรยาย
เมืองนี้ถนนเป็นของทหาร มีทหารจึงมีถนน เมื่อจะใช้เส้นทางต้องขออนุญาต ณ จุด Khardungla pass ก็เป็นจุดหนึ่งที่ต้องทำพิธีขอใช้ทาง จุดนี้เป็นถนนที่สูงที่สุด ซึ่งมีความสูงราวๆ 5600เมตรจากระดับน้ำทะเล วิวที่นี่สวยมาก น้ำแข็งปกคลุมแม้จะเป็นช่วงหน้าร้อน เราโชคดีที่ไปเร็วก่อนที่น้ำแข็งจะละลายหมด และก่อนที่จะมีรอยเท้ามากมายเหยียบย่ำหิมะขาวๆให้เปลี่ยนเป็นสีดำเหมือนตอนขากลับ
ที่นี่เค้าจะเอาธงมาแขวนตามความเชื่อว่าจะมีสิ่งดีๆเกินขึ้น บนภูเขาหิมะ จึงเต็มไปด้วยธง และคน! ความสูงระดับนี้แม้จะกินยา diamox มาแล้ว เราก็ยังมีอาการชาที่ปลายนิ้ว ชาที่ใบหน้าเล็กน้อย เดินนิดหน่อยก็เหนื่อยแล้ว ต้องเดินแบบคนขี้เกียจเดินอ่ะค่ะ หรือจะใช้วิธีเดินจงกรมก็ได้ อาการเหล่านี้เป็นอาการของคนที่อาศัยอยู่เบื้องต่ำอย่างเราอยากมาอยู่บนเบื้องสูงแบบนี้นั่นเอง (555)
แม้อากาศจะเย็น ลมก็เย็นและแรง แต่แดดแรงกว่ามากกกกก. เผากันหน้าไหม้ จมูกลอก. แต่นี่มันหิมะแรกของเรานะ ดังนั้นจึงต้องจิ้มๆ สัมผัสๆ เหยียบๆ แต่รองเท้าจิ มันไม่ใช่รองเท้าเดินหิมะ เหยียบลื่นปรื๊ด ลื่นปรื๊ด. ถ้าไม่งั้น เราจะปีนขึ้นไปนอนดิ้นๆๆ ให้ซะใจไปเล้ยยยย อิอิ
ลำธารที่เกิดจากหิมะละลาย
ผ่านจุดสูงสุดนี้ เราก็ลงต่ำมาเรื่อยๆ เวลาก็เลยเที่ยงค่อนมาบ่ายโมงแล้ว ขนมก็กินกันจนจะหมดแล้วแต่มันไม่อิ่มเท่าข้าว ทุกคนเพลียก็หลับไป ตาชิหันมาถามอะไรซักอย่างกับพี่ตู่ พี่ตู่สะลึมสะลือได้ยินนึกว่ากินข้าวก่อนมั้ย เลยตอน ok แต่จริงๆ คือ ตาชิ ถามว่าจะแวะวัด deskit ก่อนมั้ย?
เวรกรรม! หิวจะตาย ยังจะต้องปีนวัดอีกหรอเนี่ย??!!?? (วัดที่นี่จะสร้างบนเขา มันก็จะมีบันได ไต่ไปเรื่อยๆ ซึ่งการอยู่ในสภาพออกซิเจนน้อย การเดินขึ้น คือเหนื่อยเป็น 5 เท่าของบ้านเรา)
แต่มันก่อมากันแล้ว หิวก็หิว โมโหก็โมโห ขำก็ขำ 5555
ไปปีนวัดกลับมาก็บ่าย 2 ละ กว่าจะได้กินข้าว เฮ้อ พอดีด้านล่างของวัดเป็นร้านอาหารจีน อินเดีย ซึ่งเค๊าทำได้ อร่อยสุดๆ (หรือหิวมากก็ไม่รู้) ไม่มีกลิ่นเครื่องเทศที่เราขยาดเลย (ก็ขนาดชานมยังมีกลิ่นเครื่องเทศเลย โอ้ยตาย มายก๊อด)
ขับต่อมาอีกนิดก็ถึง Nubra valley ซึ่งเป็นจุดที่มีทะเลทราย และอูฐ อากาศมีแต่ความร้อนของดวงอาทิตย์ แผดเผาจนจะไหม้เกรียม แบบว่าแต่งตัวไม่ถูกจริงๆ เรารู้ว่าถ้าอยู่กลางแดด ตอนกลางวันมันจะร้อนม๊ากกกมากกกก แต่ถ้าพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า มันก่อจะเริ่มหนาว และหนาว และหนาววววว แต่เราก็เลือกเป็น UV Cut ก่อนแล้วกันนะ 5555
ภาพทะเลทรายที่เห็นกับในจินตนาการ มันต่างกันมาก (มีแอบเคืองอยู่ในใจ 555 แหม่ นั่งรถมาตั้งไกลป่าท้อสิบหลี่) เราก็คิดว่าจะเจอทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล สีเหลืองทองอร่าม แต่ที่เห็นมันเป็นทรายดำๆเหมือนชายหาดเจ้าหลาว เป็นอย่างนี้ไปได้ยังไงเนี่ย??!!?? 555 ส่วนอูฐที่คิดว่าจะขี่ในตอนแรก ก็มีความเหม็นมากกกก และคนเยอะมากกกก เราจึงเปลี่ยนใจ ไปหามุมสร้างสรรค์ถ่ายรูปอย่างเดียวดีกว่า ^^ (เมื่อมีโอกาสถ่ายรูป แค่จิ้งหรีดทะเลทรายก็รุมถ่ายกันนะคะ 5555)
ขณะที่เดินตามๆกันมา
พี่ตู่ “น้ำมันนิ่งหรือสั่น ใช้ ND ได้มั้ย?” เราก็งง??
พอเดินมาอีกหน่อย
พี่ตู่ก็ถามว่า “ที่นี่เค๊ามีอะไร”
เรา “มีทะเลทรายกับอูฐ”
พี่ตู่ “อ้าว ไม่มีทะเลสาปหรอกหรอ?”
เรา “ 5555 ถึงว่า ถามว่าน้ำนิ่งหรือสั่น ทะเลสาปปันกองเราไปวันมะรืน วันนี้มา Nubra valley ก่อน” (เอ๊า ฮา!! นี่แกไม่เคยอ่านอะไรมาก่อนเลย ชิมิ)
(แต่จริงๆมันก็มีน้ำด้วยนะเออ อิอิ)
มองจากทิศของพระอาทิตย์แล้ว เราก็ต้องเดินไปไกล (แหม่ เหนื่อยอีกแล้วสินะ พวกคนเบื้องล่างเนี่ย) เพราะสิ่งที่อยากได้คือ อูฐเดินฝุ่นจากทรายฟุ้งย้อนแสงสีทองอร่าม (อันนี้ต้อง process ภาพให้เป็นสีทอง นะเออ) จึงต้องเดิน เดิน เดิน กันหน่อย ออกแรงกันนิด
สำหรับคนที่แข็งแรง ออกกำลังกายประจำ ก็ไม่ต้องสงสัยนะ ว่าทำไมเดินแค่นี้ เหนื่อยจังเลย...
เมื่อพระอาทิตย์ลาลับ เราก็ลาทะเลทรายกลับที่พัก โอ้ว หนาวจริงหนาวจัง ที่นี่ ไม่มีน้ำอุ่นด้วย (อย่าถามว่าจะอาบน้ำมั๊ยนะ?) แถมยังปั่นไฟใช้อีก 4 ทุ่มกว่า ไฟก็ดับไปเอง แบตที่ชาร์จก็ไม่เต็มนะเออ v_v
หากคุณมีวันลาน้อย และกำลังเลือกว่าจะไปนอนที่ Nubra หรือ Pangong ดี แนะนำให้เลือก Pangong ค่ะ หรือคุณจะเปิดเส้นทางเที่ยวใหม่แบบว่า ออกแต่เช้ามืดไป Kadungla pass แล้วสายๆ ไป Pangong ก็น่าจะได้อยู่น๊า
Nubra = ระหว่างทางสวยงามกว่าปลายทาง
Pangong = ปลายทางงดงามกว่าระหว่างทาง
------------------------
ภาพทั้งหมดถ่ายด้วยกล้อง FujiX-T1 , lens 10-24mm, lens 50-140mm (คำเตือน การถ่ายรูปบนรถที่วิ่งนั้น มีความยากระดับ 10)
คิม อัน ยอง
[CR] ฉันไปทำอะไรที่นูบร้า (Nubra Valley)
======================================
Basic Information
เราใช้บริการของ Rize Travel (search ที่ FB เลยค่ะ) โดยเค้าจะติดต่อกับ agency ที่อินเดียให้อีกทีนึง
สมาชิกทั้งหมด 4 คน ซึ่งกำลังดีเลยกับรถ van เพราะทุกคนสามารถถ่ายรูปข้างทางได้ และไม่เบียดกันเกินไป
การเดินทางเริ่มต้นคืนวันที่ 1 กค 2560 และเดินทางกลับคืนวันที่ 9 กค 2560 (ใครจะไปเลห์ กรุณาเตรียมอาหารไทยไปให้เกินอย่าได้ขาด)
ซึ่งถือว่าเป็นช่วง high season ของการท่องเที่ยว Leh เลยทีเดียว
เราไป Nubra วันที่ 4 กค 2560 โดยไปค้าง 1 คืน ซึ่งเป็นต้นฤดูที่หิมะยังละลายไม่หมด และยังเป็นสีขาวไร้รอยเท้า
กระทู้สำหรับ Pangong Lake https://ppantip.com/topic/36696988
สภาพอากาศ กลางวันแดดร้อนจัด. กลางคืนก็หนาวจัดเช่นกัน ให้เตรียมเสื้อผ้าไป 2 แบบเลย
การไปเป็นหมู่คณะ ถือว่าดีเลิศ ที่สุดค่ะ 5555
======================================
เราออกจากเลห์แต่เช้า 7:30 เพื่อไป nubra (จริงๆก็ไม่เช้าเท่าไรนะ ^^)
ตาชิหนุ่มหล่อผิวเข้ม คนขับรถของเราพาเราขับรถไปเรื่อยๆ ผ่านหมู่บ้าน ตาชิแทบจะทักทุกคนที่ผ่านทาง ทำให้เราสงสัยว่า แถวนี้คือบ้านเขาหรือไร เมื่อเลยหมู่บ้านรถเริ่มไต่ขึ้นสู่ความสูงเรื่อยๆๆ ลมเย็นพัดตามความเร็วของรถจนรู้สึกสะท้าน เราเริ่มมองเห็นยอดเขาที่หิมะยังไม่ละลายปกคลุมอยู่ จากมองไกลๆ จนใกล้เข้ามาแทบจะเอื้อมมือถึง รถก็แล่นทำความเร็วได้บ้างไม่ได้บ้างพร้อมมีเสียงเพลงเคล้าคลอแบบ Indian style ฟังไปก็เพราะดีเหมือนกัน
ถนนที่ตอนแรกราดยางดูดีไม่น่าทรมานร่างกายเท่าไร ได้เริ่มเปลี่ยนเป็นทางดินแดงฝุ่นคลุ้ง ตามด้วยธารน้ำที่เกิดจากหิมะละลาย ทางที่สร้างมาแสนแคบ เมื่อมีรถสวนก็ต้องชะลอ แบ่งๆกันไป บางช่วงมีหินหล่นมากองขวางทาง บางช่วงต้องซ่อมทาง ทำรถติดเกินกว่าครึ่งชั่วโมง ซึ่งทำให้เราได้ออกมาถ่ายรูปกัน
ภูเขาเรียงซ้อนเป็นทิวแถวสวยงาม ยอดเขาปกคลุมด้วยหิมะ สลับกับเนินเขาสีดำ เหมือนเค้กช็อกโกแลตโรยไอซ์ซิ่ง (คงอร่อยน่าดู แบบว่าหิวมาก ระหว่างทางไม่มีร้านค้า) ทางคดโค้ง สุดลูกหูลูกตา สวยงามเกินคำบรรยาย
เมืองนี้ถนนเป็นของทหาร มีทหารจึงมีถนน เมื่อจะใช้เส้นทางต้องขออนุญาต ณ จุด Khardungla pass ก็เป็นจุดหนึ่งที่ต้องทำพิธีขอใช้ทาง จุดนี้เป็นถนนที่สูงที่สุด ซึ่งมีความสูงราวๆ 5600เมตรจากระดับน้ำทะเล วิวที่นี่สวยมาก น้ำแข็งปกคลุมแม้จะเป็นช่วงหน้าร้อน เราโชคดีที่ไปเร็วก่อนที่น้ำแข็งจะละลายหมด และก่อนที่จะมีรอยเท้ามากมายเหยียบย่ำหิมะขาวๆให้เปลี่ยนเป็นสีดำเหมือนตอนขากลับ
ที่นี่เค้าจะเอาธงมาแขวนตามความเชื่อว่าจะมีสิ่งดีๆเกินขึ้น บนภูเขาหิมะ จึงเต็มไปด้วยธง และคน! ความสูงระดับนี้แม้จะกินยา diamox มาแล้ว เราก็ยังมีอาการชาที่ปลายนิ้ว ชาที่ใบหน้าเล็กน้อย เดินนิดหน่อยก็เหนื่อยแล้ว ต้องเดินแบบคนขี้เกียจเดินอ่ะค่ะ หรือจะใช้วิธีเดินจงกรมก็ได้ อาการเหล่านี้เป็นอาการของคนที่อาศัยอยู่เบื้องต่ำอย่างเราอยากมาอยู่บนเบื้องสูงแบบนี้นั่นเอง (555)
แม้อากาศจะเย็น ลมก็เย็นและแรง แต่แดดแรงกว่ามากกกกก. เผากันหน้าไหม้ จมูกลอก. แต่นี่มันหิมะแรกของเรานะ ดังนั้นจึงต้องจิ้มๆ สัมผัสๆ เหยียบๆ แต่รองเท้าจิ มันไม่ใช่รองเท้าเดินหิมะ เหยียบลื่นปรื๊ด ลื่นปรื๊ด. ถ้าไม่งั้น เราจะปีนขึ้นไปนอนดิ้นๆๆ ให้ซะใจไปเล้ยยยย อิอิ
ลำธารที่เกิดจากหิมะละลาย
ผ่านจุดสูงสุดนี้ เราก็ลงต่ำมาเรื่อยๆ เวลาก็เลยเที่ยงค่อนมาบ่ายโมงแล้ว ขนมก็กินกันจนจะหมดแล้วแต่มันไม่อิ่มเท่าข้าว ทุกคนเพลียก็หลับไป ตาชิหันมาถามอะไรซักอย่างกับพี่ตู่ พี่ตู่สะลึมสะลือได้ยินนึกว่ากินข้าวก่อนมั้ย เลยตอน ok แต่จริงๆ คือ ตาชิ ถามว่าจะแวะวัด deskit ก่อนมั้ย?
เวรกรรม! หิวจะตาย ยังจะต้องปีนวัดอีกหรอเนี่ย??!!?? (วัดที่นี่จะสร้างบนเขา มันก็จะมีบันได ไต่ไปเรื่อยๆ ซึ่งการอยู่ในสภาพออกซิเจนน้อย การเดินขึ้น คือเหนื่อยเป็น 5 เท่าของบ้านเรา)
แต่มันก่อมากันแล้ว หิวก็หิว โมโหก็โมโห ขำก็ขำ 5555
ไปปีนวัดกลับมาก็บ่าย 2 ละ กว่าจะได้กินข้าว เฮ้อ พอดีด้านล่างของวัดเป็นร้านอาหารจีน อินเดีย ซึ่งเค๊าทำได้ อร่อยสุดๆ (หรือหิวมากก็ไม่รู้) ไม่มีกลิ่นเครื่องเทศที่เราขยาดเลย (ก็ขนาดชานมยังมีกลิ่นเครื่องเทศเลย โอ้ยตาย มายก๊อด)
ขับต่อมาอีกนิดก็ถึง Nubra valley ซึ่งเป็นจุดที่มีทะเลทราย และอูฐ อากาศมีแต่ความร้อนของดวงอาทิตย์ แผดเผาจนจะไหม้เกรียม แบบว่าแต่งตัวไม่ถูกจริงๆ เรารู้ว่าถ้าอยู่กลางแดด ตอนกลางวันมันจะร้อนม๊ากกกมากกกก แต่ถ้าพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า มันก่อจะเริ่มหนาว และหนาว และหนาววววว แต่เราก็เลือกเป็น UV Cut ก่อนแล้วกันนะ 5555
ภาพทะเลทรายที่เห็นกับในจินตนาการ มันต่างกันมาก (มีแอบเคืองอยู่ในใจ 555 แหม่ นั่งรถมาตั้งไกลป่าท้อสิบหลี่) เราก็คิดว่าจะเจอทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล สีเหลืองทองอร่าม แต่ที่เห็นมันเป็นทรายดำๆเหมือนชายหาดเจ้าหลาว เป็นอย่างนี้ไปได้ยังไงเนี่ย??!!?? 555 ส่วนอูฐที่คิดว่าจะขี่ในตอนแรก ก็มีความเหม็นมากกกก และคนเยอะมากกกก เราจึงเปลี่ยนใจ ไปหามุมสร้างสรรค์ถ่ายรูปอย่างเดียวดีกว่า ^^ (เมื่อมีโอกาสถ่ายรูป แค่จิ้งหรีดทะเลทรายก็รุมถ่ายกันนะคะ 5555)
ขณะที่เดินตามๆกันมา
พี่ตู่ “น้ำมันนิ่งหรือสั่น ใช้ ND ได้มั้ย?” เราก็งง??
พอเดินมาอีกหน่อย
พี่ตู่ก็ถามว่า “ที่นี่เค๊ามีอะไร”
เรา “มีทะเลทรายกับอูฐ”
พี่ตู่ “อ้าว ไม่มีทะเลสาปหรอกหรอ?”
เรา “ 5555 ถึงว่า ถามว่าน้ำนิ่งหรือสั่น ทะเลสาปปันกองเราไปวันมะรืน วันนี้มา Nubra valley ก่อน” (เอ๊า ฮา!! นี่แกไม่เคยอ่านอะไรมาก่อนเลย ชิมิ)
(แต่จริงๆมันก็มีน้ำด้วยนะเออ อิอิ)
มองจากทิศของพระอาทิตย์แล้ว เราก็ต้องเดินไปไกล (แหม่ เหนื่อยอีกแล้วสินะ พวกคนเบื้องล่างเนี่ย) เพราะสิ่งที่อยากได้คือ อูฐเดินฝุ่นจากทรายฟุ้งย้อนแสงสีทองอร่าม (อันนี้ต้อง process ภาพให้เป็นสีทอง นะเออ) จึงต้องเดิน เดิน เดิน กันหน่อย ออกแรงกันนิด
สำหรับคนที่แข็งแรง ออกกำลังกายประจำ ก็ไม่ต้องสงสัยนะ ว่าทำไมเดินแค่นี้ เหนื่อยจังเลย...
เมื่อพระอาทิตย์ลาลับ เราก็ลาทะเลทรายกลับที่พัก โอ้ว หนาวจริงหนาวจัง ที่นี่ ไม่มีน้ำอุ่นด้วย (อย่าถามว่าจะอาบน้ำมั๊ยนะ?) แถมยังปั่นไฟใช้อีก 4 ทุ่มกว่า ไฟก็ดับไปเอง แบตที่ชาร์จก็ไม่เต็มนะเออ v_v
หากคุณมีวันลาน้อย และกำลังเลือกว่าจะไปนอนที่ Nubra หรือ Pangong ดี แนะนำให้เลือก Pangong ค่ะ หรือคุณจะเปิดเส้นทางเที่ยวใหม่แบบว่า ออกแต่เช้ามืดไป Kadungla pass แล้วสายๆ ไป Pangong ก็น่าจะได้อยู่น๊า
Nubra = ระหว่างทางสวยงามกว่าปลายทาง
Pangong = ปลายทางงดงามกว่าระหว่างทาง
------------------------
ภาพทั้งหมดถ่ายด้วยกล้อง FujiX-T1 , lens 10-24mm, lens 50-140mm (คำเตือน การถ่ายรูปบนรถที่วิ่งนั้น มีความยากระดับ 10)
คิม อัน ยอง
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น