ทริปนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9-11 ก.ค.ที่ผ่านมา ออกจากกรุงเทพฯ ตอนบ่ายๆ ไปถึงสุโขทัยเย็นๆ ตอนแรกว่าจะไปกางเต็นท์นอนที่อุทยาน แต่ดูแล้วท่าจะลำบากหากฝนตก + ช่วงนี้อากาศร้อน เลยไปนอนรีสอร์ทใกล้ๆ ชื่อเปี่ยมสุข มันเจ๋งมาก ห้องนึงนอนได้ 4 คน 400 บาท ตกหัวละ 100 บาท อย่างฟิน
จากนั้นไปขึ้นเขาหลวงในช่วงบ่ายวันที่ 2 โชคดีตอนขึ้นไม่มีแดด แถมฝนไม่ตก ระหว่างทางมีแคร่ มีหินให้นั่งพัก มีถังน้ำต่อมาจากท่อด้านบนเขาให้นักท่องเที่ยวได้ดื่ม แต่ช่วงต้นๆ 2-3 ถังใช้ไม่ได้ สงสัยท่อจะแตก ส่วนร้านค้าแบบภูกระดึงเลิกหวัง ที่นี่ไม่มี มีให้แต่ถังขยะ
ช่วงหน้าฝนที่ผมไปเนี่ย แวะจุดพักทีนึง ยุง แมลง บินตอมตัวให้ว่อน ฉะนั้นอย่าแวะนานจะดีที่สุด หรือไม่ก็ฉีดสเปรย์กันแมลงทาให้ทั่วทั้งตัว แต่ระวัง บุ้ง กิ้งกือ มด ฯลฯ สัตว์ต่างๆ มันอันตรายอยู่นะ
ผ่านไป 4.15 ชั่วโมง เดินๆ หยุดๆ ก็ถึงปลายทางคือจุดกางเต็นท์ ซึ่งพอผมขึ้นไปถึงก็แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเหลือละ (อันนี้คือจุดดีมากๆ เดี๋ยวเล่าให้ฟัง) มีอยู่ประมาณ 4-5 กลุ่ม ซึ่งถือว่าไม่เยอะ จากนั้นรีบไปอาบน้ำล้างเหงื่อ และหาของกิน (ห้องน้ำจัดว่าดี)
ตอนแรกเต็นท์มันถูกกางอยู่ใต้ต้นไม้ ซึ่งเราขึ้นมาถึงขนาดนี้ก็คงไม่ใช่ เลยต้องย้ายเต็นท์ไปรับวิวทะเลหมอก (ความซวยกำลังจะมา) ระหว่างนั่งก่อไฟเพื่อต้มมาม่า จากฟ้าสว่างๆ ปรากฎว่าฟ้ามืดภายในเวลาไม่ถึง 1 นาที ทันใดนั้นฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก ซึ่งตอนแรกเจ้าหน้าที่มาถามแล้วว่าจะย้ายไปนอนในเต็นท์โรงเรือนมั้ย ตอนนั้นกลุ่มผมก็ยังดื้อเพราะรู้สึกไปล่วงหน้าว่ามันจะอึดอัด อุตส่าห์ขึ้นมาถึงด้านบน จะให้ไปนอนโรงเรือนแคบๆ มันใช่หรอ
แต่อยู่ไปได้ไม่นาน ปรากฎว่าเต็นท์ถูกลมปะทะอยู่เป็นสิบๆ รอบ จนต้องนอนผลักใช้มือและเท้ายันกลับเข้ารูปร่างเดิม แต่มิได้นำพา ใครจะไปรู้คืนนั้นฝนเล่นตกหนักแบบไม่ลืมหูลืมตา 12 ชั่วโมง แถมน้ำเริ่มซึมทั้งเต็นท์ จนกระทั่ง 4 ทุ่ม เลยตัดสินใจย้ายไปนอนใต้หลังคา ซึ่งถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมากๆ และควรทำตั้งนานแล้ว เพราะมันสงบจากลมพายุอย่างมากถึงมากที่สุด
(ภาพนี้ถ่ายตอนเช้า)
ตื่นเช้ามาดูก็พบว่าสภาพเต็นท์เล็ก ใหญ่ ถูกลมพัดปลิวเกลื่อนบางอันไปตกหน้าห้องน้ำ บางอันหมุดยังไม่หลุด แต่สภาพแบนแต๋ดแต๋ ยอมใจธรรมชาติเลย
ตอนแรกก็บ่นนะขึ้นมาทำไมวะเนี่ย นอนแปปเดียวก็ลงแล้ว แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ก่อนลงเลยเดินไป 400 เมตร (หรือ 200 เมตรจำไม่ได้) จากจุดกางเต็นท์เพื่อไปผานารายณ์ พอขึ้นไปถึงเท่านั้นแหละ
สัมผัสได้เลยว่าตูขึ้นมาเพื่อสิ่งนี้ ทะเลหมอกมันสวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก มากที่สุดตั้งแต่เดินขึ้นเขาภูกระดึง ภูสอยดาว ก้อนหินก็สวย แม้ว่าจะไม่ได้ไปเก็บครบ 4 ยอดเขา เพราะเวลาน้อย แต่มาแค่นี้ก็รู้สึกว่าคุ้ม และรอมาซ่อมอีกรอบตอนหน้าหนาว (แค่คงไม่มีทะเลหมอกสวยๆแบบนี้แล้ว)
ขาลง เนื่องจากผมลงเป็นกลุ่มท้ายๆ (08.30) และฝนเพิ่งหยุดนอนเช้า แน่นอนทางเละเป็นโคลน การสไลด์จึงไม่ใช่เรื่องแปลก (แต่ผมไม่สไลด์นะ มีบทเรียนจากภูสอยดาวมาแล้ว)
ดังนั้น สรุปได้ว่า
1.เตรียมรองเท้า (สตั๊ดดอย) + ไม้ค้ำยันให้พร้อม
2.มาฤดูฝนทางลำบากจริง แต่สวยงามที่สุด (หน้าหนาวไม่มีทะเลหมอกแบบหน้าฝน)
3.ความยากลำบากของเส้นทาง ผมยกให้เขาหลวงโหดสุด เพราะความสูง 1200 เมตรกับระยะทาง 3.7 กิโลเมตร มันชันมาก ทางราบมีไม่ถึง 10% นอนนั้นชันตลอด ขึ้นก็ขึ้นลูกเดียว ลงก็ลงลูกเดียว แต่ยังดีมีน้ำให้กินตามจุดแวะ และมีราวกั้นอยู่หลายจุด ไม่เหมือนภูสอยดาว ไม่มีอะไรเลย
4.ข้างบนจะกินมาม่า ต้องซื้อเตามาก่อไฟต้มน้ำ ไม่มีกระติกไฟฟ้า (มาม่าซองละ 15 บาท โค้กกระป๋อง 35 บาท)
จบข่าว ขอให้คนรักผจญภัยไปลองสักครั้ง
[CR] ประสบการณ์เต็นท์ปลิว ณ เขาหลวง สุโขทัย ความลำบากที่แลกมาด้วยความสวยงาม
ทริปนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9-11 ก.ค.ที่ผ่านมา ออกจากกรุงเทพฯ ตอนบ่ายๆ ไปถึงสุโขทัยเย็นๆ ตอนแรกว่าจะไปกางเต็นท์นอนที่อุทยาน แต่ดูแล้วท่าจะลำบากหากฝนตก + ช่วงนี้อากาศร้อน เลยไปนอนรีสอร์ทใกล้ๆ ชื่อเปี่ยมสุข มันเจ๋งมาก ห้องนึงนอนได้ 4 คน 400 บาท ตกหัวละ 100 บาท อย่างฟิน
จากนั้นไปขึ้นเขาหลวงในช่วงบ่ายวันที่ 2 โชคดีตอนขึ้นไม่มีแดด แถมฝนไม่ตก ระหว่างทางมีแคร่ มีหินให้นั่งพัก มีถังน้ำต่อมาจากท่อด้านบนเขาให้นักท่องเที่ยวได้ดื่ม แต่ช่วงต้นๆ 2-3 ถังใช้ไม่ได้ สงสัยท่อจะแตก ส่วนร้านค้าแบบภูกระดึงเลิกหวัง ที่นี่ไม่มี มีให้แต่ถังขยะ
ช่วงหน้าฝนที่ผมไปเนี่ย แวะจุดพักทีนึง ยุง แมลง บินตอมตัวให้ว่อน ฉะนั้นอย่าแวะนานจะดีที่สุด หรือไม่ก็ฉีดสเปรย์กันแมลงทาให้ทั่วทั้งตัว แต่ระวัง บุ้ง กิ้งกือ มด ฯลฯ สัตว์ต่างๆ มันอันตรายอยู่นะ
ผ่านไป 4.15 ชั่วโมง เดินๆ หยุดๆ ก็ถึงปลายทางคือจุดกางเต็นท์ ซึ่งพอผมขึ้นไปถึงก็แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเหลือละ (อันนี้คือจุดดีมากๆ เดี๋ยวเล่าให้ฟัง) มีอยู่ประมาณ 4-5 กลุ่ม ซึ่งถือว่าไม่เยอะ จากนั้นรีบไปอาบน้ำล้างเหงื่อ และหาของกิน (ห้องน้ำจัดว่าดี)
ตอนแรกเต็นท์มันถูกกางอยู่ใต้ต้นไม้ ซึ่งเราขึ้นมาถึงขนาดนี้ก็คงไม่ใช่ เลยต้องย้ายเต็นท์ไปรับวิวทะเลหมอก (ความซวยกำลังจะมา) ระหว่างนั่งก่อไฟเพื่อต้มมาม่า จากฟ้าสว่างๆ ปรากฎว่าฟ้ามืดภายในเวลาไม่ถึง 1 นาที ทันใดนั้นฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก ซึ่งตอนแรกเจ้าหน้าที่มาถามแล้วว่าจะย้ายไปนอนในเต็นท์โรงเรือนมั้ย ตอนนั้นกลุ่มผมก็ยังดื้อเพราะรู้สึกไปล่วงหน้าว่ามันจะอึดอัด อุตส่าห์ขึ้นมาถึงด้านบน จะให้ไปนอนโรงเรือนแคบๆ มันใช่หรอ
แต่อยู่ไปได้ไม่นาน ปรากฎว่าเต็นท์ถูกลมปะทะอยู่เป็นสิบๆ รอบ จนต้องนอนผลักใช้มือและเท้ายันกลับเข้ารูปร่างเดิม แต่มิได้นำพา ใครจะไปรู้คืนนั้นฝนเล่นตกหนักแบบไม่ลืมหูลืมตา 12 ชั่วโมง แถมน้ำเริ่มซึมทั้งเต็นท์ จนกระทั่ง 4 ทุ่ม เลยตัดสินใจย้ายไปนอนใต้หลังคา ซึ่งถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมากๆ และควรทำตั้งนานแล้ว เพราะมันสงบจากลมพายุอย่างมากถึงมากที่สุด
(ภาพนี้ถ่ายตอนเช้า)
ตื่นเช้ามาดูก็พบว่าสภาพเต็นท์เล็ก ใหญ่ ถูกลมพัดปลิวเกลื่อนบางอันไปตกหน้าห้องน้ำ บางอันหมุดยังไม่หลุด แต่สภาพแบนแต๋ดแต๋ ยอมใจธรรมชาติเลย
ตอนแรกก็บ่นนะขึ้นมาทำไมวะเนี่ย นอนแปปเดียวก็ลงแล้ว แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ก่อนลงเลยเดินไป 400 เมตร (หรือ 200 เมตรจำไม่ได้) จากจุดกางเต็นท์เพื่อไปผานารายณ์ พอขึ้นไปถึงเท่านั้นแหละ
สัมผัสได้เลยว่าตูขึ้นมาเพื่อสิ่งนี้ ทะเลหมอกมันสวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก มากที่สุดตั้งแต่เดินขึ้นเขาภูกระดึง ภูสอยดาว ก้อนหินก็สวย แม้ว่าจะไม่ได้ไปเก็บครบ 4 ยอดเขา เพราะเวลาน้อย แต่มาแค่นี้ก็รู้สึกว่าคุ้ม และรอมาซ่อมอีกรอบตอนหน้าหนาว (แค่คงไม่มีทะเลหมอกสวยๆแบบนี้แล้ว)
ขาลง เนื่องจากผมลงเป็นกลุ่มท้ายๆ (08.30) และฝนเพิ่งหยุดนอนเช้า แน่นอนทางเละเป็นโคลน การสไลด์จึงไม่ใช่เรื่องแปลก (แต่ผมไม่สไลด์นะ มีบทเรียนจากภูสอยดาวมาแล้ว)
ดังนั้น สรุปได้ว่า
1.เตรียมรองเท้า (สตั๊ดดอย) + ไม้ค้ำยันให้พร้อม
2.มาฤดูฝนทางลำบากจริง แต่สวยงามที่สุด (หน้าหนาวไม่มีทะเลหมอกแบบหน้าฝน)
3.ความยากลำบากของเส้นทาง ผมยกให้เขาหลวงโหดสุด เพราะความสูง 1200 เมตรกับระยะทาง 3.7 กิโลเมตร มันชันมาก ทางราบมีไม่ถึง 10% นอนนั้นชันตลอด ขึ้นก็ขึ้นลูกเดียว ลงก็ลงลูกเดียว แต่ยังดีมีน้ำให้กินตามจุดแวะ และมีราวกั้นอยู่หลายจุด ไม่เหมือนภูสอยดาว ไม่มีอะไรเลย
4.ข้างบนจะกินมาม่า ต้องซื้อเตามาก่อไฟต้มน้ำ ไม่มีกระติกไฟฟ้า (มาม่าซองละ 15 บาท โค้กกระป๋อง 35 บาท)
จบข่าว ขอให้คนรักผจญภัยไปลองสักครั้ง