บวชทำไม? ประโยชน์สูงสุดของการบวชคืออะไร ?

การจะรู้วว่าบวชไปทำไม ควรจะต้องรู้วัตถุประสงค์ในการบวช ประการหนึ่ง
กับเมื่อบวชแล้วได้ศึกษาและปฏิบัติขัดเกลาตัวเองตามธรรมวินัยได้เต็มที่มากน้อยขนาดไหน?


      ควรแยกแยะพิจารณา
      ถ้าจะมองง่ายๆ อย่างแรกคือบวชเพื่อตัวเอง ฝึกฝนอบรมตนเองและเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง
และผลพลอยได้ คือผู้ร่วมอนุโมทนาในการบวชก็จะได้บุญไปด้วย เช่นบิดามารดาเป็นต้น
      เมื่อได้ฝึกฝนอบรมตนเองแล้ว ย่อมเกิดผลจากการปฏิบัติมากน้อย ตามกำลังแห่ง
ความเพียรของผู้บวช ตั้งแต่ได้ความสงบเบื้องต้น ได้ฌาณ ได้อภิญญา ไล่สูงไปเรื่อยๆ
จนถึงบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์



     เมื่อมองภาพรวมของพระพุทธศาสนาตอนนี้  คือมีคนเข้ามาบวชน้อยลงมาก จำนวนพระเณร
ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องกำลังเป็นปัญหาใหญ่ของคณะสงฆ์ไทย จึงควรสนับสนุนให้กุลบุตร
ได้มีโอกาสบวชกันมากขึ้น

  [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
     

   
    แม้ในสมัยพุทธกาล กุลบุตรที่เข้ามาบวชก็มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ดังเช่น พระสาวก
ในครั้งพุทธกาลรูปหนึ่ง ชื่อว่า พระรัฏฐปาละ ท่านเป็นลูกเศรษฐี แต่ก็ได้สละทรัพยสมบัติออกบวช
ปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง วันหนึ่ง พระเจ้าแผ่นดินของแคว้นนั้น พระนามว่าพระเจ้าโกรัพยะ
ได้ถามท่านว่า ท่านบวชทำไม? เพราะคนโดยมากนั้น บวชกันเพราะเหตุว่า มีความเสื่อมเพราะชราบ้าง
มีความเสื่อมเพราะความป่วยไข้บ้าง มีความเสื่อมเพราะทรัพยสมบัติบ้าง มีความเสื่อมญาติบ้าง
แต่ว่าท่านรัฏฐปาละเป็นผู้ที่ยังไม่มีความเสื่อมใดๆ ดังกล่าวนั้น ไฉนท่านจึงออกบวช ท่านก็ตอบว่า
พระพุทธเจ้าได้ตรัส ธัมมุเทส ไว้ ๔ ข้อ คือ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


     - โลกอันชราย่อมนำเข้าไป ไม่ยั่งยืน
     - โลกไม่มีอะไรต้านทานจากความเจ็บป่วย ไม่เป็นใหญ่
     - โลกไม่ใช่ของ ๆ ตน เพราะทุก ๆ คนจำต้องละสิ่งทั้งปวงไป ด้วยอำนาจของความตาย และ
     - โลกพร่องอยู่ ไม่มีอิ่ม เป็นทาสของตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยาก
     ท่านได้ปรารภธัมมุเทส คือการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ ประการนี้ จึงได้ออกบวช

    แต่ว่าการบวชนั้น ก็มีมุมมองประเด็นอื่นอีก ดังในมิลินทปัญหา พระเจ้ามิลินท์ได้ถาม พระนาคเสน
ว่าประโยชน์สูงสุดของการบวชคืออะไร ?
    พระนาคเสนท่านก็ตอบว่า ประโยชน์สูงสุดของการบวชนั้น คือพระนิพพาน คือความดับ
เพราะไม่ยึดมั่นอะไรๆ ทั้งหมด


     ดังมีเรื่องที่พระนาคเสนตอบพระเจ้ามิลินท์ ดังนี้
     อย่างที่ ๑ เรียกว่า บวชได้กิ่งใบของพรหมจรรย์ คือบวชแล้วก็มุ่งแต่จะได้ลาภ ได้สักการะ
                ได้สรรเสริญ เมื่อได้ก็พอใจเพียงเท่านั้น
     อย่างที่ ๒ เรียกว่า บวชได้กะเทาะเปลือกของพรหมจรรย์ คือก็ไม่ได้มุ่งจะได้ลาภสักการะ
                และสรรเสริญทีเดียว แต่ก็ปฏิบัติในศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วย และก็พอใจเพียงว่า
                จะปฏิบัติในศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์เท่านั้น
     อย่างที่ ๓ เรียกว่า บวชได้เปลือกของพรหมจรรย์ คือเมื่อปฏิบัติในศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้แล้ว
                ก็ปฏิบัติในสมาธิให้บริบูรณ์ด้วย และก็พอใจเพียงสมาธิเท่านั้น
     อย่างที่ ๔ เรียกว่า บวชได้กระพี้ของพรหมจรรย์ คือเมื่อปฏิบัติในศีล ในสมาธิ ให้บริบูรณ์แล้ว
                ก็ปฏิบัติต่อไปจนเกิดญาณทัสสนะคือความรู้ความเห็นธรรมะขึ้นด้วย และก็พอใจ
                เพียงที่รู้ที่เห็นเท่านั้น
     อย่างที่ ๕ เรียกว่า บวชได้แก่นของพรหมจรรย์ คือว่าได้ปฏิบัติสืบขึ้นไปจนได้วิมุตติ คือความ
                หลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์บางส่วนหรือสิ้นเชิง ตามสามารถของการปฏิบัติ
     อย่างที่ ๕ นี้ จึงจะชื่อว่าได้บรรลุแก่นของการบวช หรือว่าบวชได้แก่นของพรหมจรรย์

     
   ดังนั้นผู้ชายแท้ๆ ผู้ได้โอกาสที่จะเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา จึงควรได้สละเวลาออกบวช
เพื่อศึกษาและ สัมผัสรับประโยชน์อย่างยิ่งจากการบวช แม้ลาสิกขาไป ก็จะมีธรรมะดีๆนำไปใช้ใน
ชีวิตการครองเรือนในเพศฆราวาสต่อไปได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่