พระไทยเปลี่ยนไปขนาดไหน ศาสนาไม่เคยเสื่อม มีแต่คนที่เปลี่ยนไป
จึงโยงตั้งแต่ว่า บวชทำไม บวชเพื่ออะไร
เมื่อฤดูกาลก่อนเข้าพรรษาที่ผ่านมา ชาวไทนพุทธจำนวนส่วนมาก มักจะได้รัใบบอกบุญ การ์ดเชิญให้ไปร่วมการกุศลงานอุปสมบท
ข้าราชการ พนง. ก็ลาการงานกันออกบวช ในช่วงระยะเวลา ๔ เดือน ถึงจะเป็นนักบวชเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก็พอใจ
คนไทยพุทธ เราถือว่า ถ้าชีวิตของเราเกิดมาเป็นชาย ย่างเข้าสู่วัยฉกรรจ์แล้ว จะต้องหาโอกาสเข้ามาสู่ภายใต้ร่มกาสาวพัตร์ กันครั้งหนึ่ง ดังนั้น ผู้ชายที่นับถือพุทธศาสนานั้น ส่วนมากแล้ว มักจะเคยบวชกันมาอย่างน้อยก็ ๑ ครั้ง
คนสมัยก่อนนั้นเป็นผู้เคร่งครัดในทางพระพุทธศาสนา คนที่ยังไม่ได้บวชเรียน เป็นคนที่ไม่บรรลุนิติภาวะ เป็นผู้ที่ยังไม่ควรแก่การครองเรือน ซึ่งในสมัยก่อนนั้น ถ้าผู้ชายจะไปขอลูกสาวใครมาเป็นภรรยาแล้ว พ่อแม่ฝ่ายหญิง เขาจะถามก่อนว่า คนที่จะมาเป็นเขยนั้นบวชหรือยัง หากถ้า บวชแล้วจะยกลูกสาวให้ เพราะคิดว่าผ่านการบวชมาคงไม่ลูกสาวเอาไปทุบ ไปตี หรือ ปล่อยปละละเลย ให้ตกทุกข์ได้ยาก อด ๆ อยาก ๆ หรือ ทอดทิ้งกลางคัน ให้ได้รับความเดือดร้อนในภายหลัง
มูลเหตุที่ทำให้พ่อแม่ทุกคน ผู้ให้กำเนิดลูกออกมาเป็นชาย และ อยากได้บวชลูกชายนั้น เกิดมาจากการอยากได้บุญ อยากได้กุศล ที่ตนถือว่าเป็นครั้งสำคัญมาก พ่อแม่บางคนมีลูกชายแล้ว ถ้าไม่ได้บวช สังเกตุดู พ่อแม่เหล่านั้น ไม่ค่อยสบายใจ บางคนก็มีลูกชายประพฤติตนดี ไม่ทอดทิ้งพ่อแม่ หาเงินหาทองได้แล้วก็ส่งเสียเลี้ยงดู มิให้อดอยาก แต่เงินทองข้าวน้ำขนมนมเนย ที่ลูกนำมาให้แม่นั้น ก็ยังไม่สามารถทำให้ แม่เกิดปิติโสมนัสจนกระทั่งน้ำตาไหล แต่ถ้าพ่อแม่ได้บวชลูกชายแล้ว บางคนดีใจกันจนน้ำตาไหล เมื่อพ่อแม่ได้เห็นลูกได้ห่ม ผ้าย้อมน้ำฝาด อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ พ่อแม่ทุกคนจะเกิดความสุขใจอย่างสุดซึ้ง...
เมื่อลูกชายมีอายุย่างเข้า ๒๐ ปี จึงหมายมั่นไว้ว่า จะต้องบวชลูกคนนี้ แต่ถ้าหากว่าไม่ได้บวชลูกชาย ฝั่งพ่อแม่ก็จะเสียใจ บางถึงกับร้องไห้ก็มี จึงเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าผู้ที่เป็นพ่อแม่ ที่ได้ใช้ชีวิตผจญต่อเหตุการณ์ของโลกมาเป็นเวลานานหลายสิบปีนั้น ได้เห็นอานิสงส์ของการประพฤติพรหมจรรย์ ในพระพุทธศาสนานี้ได้เป็นอย่างดีแล้ว ซึ่งในสมัยนี้ แตกต่างกว่าในสมัยพุทธกาลมาก...
ในสมัยพุทธกาลนั้น ชายที่มีศรัทธาจะเข้ามาบวช ในพระพุทธศาสนานั้น ไม่ได้บวชได้ง่าย ๆ กว่าจะบวชได้แต่ละครั้ง แต่ละคนต้อง ผจญมาร เครื่องกีดขวางมากมายหลายชั้น จึงต้องมีศรัทธาอย่างมั่นคงจริง ๆ จึงจะมีโอกาสได้บวช เพราะ คนในสมัยนั้น ยังไม่นิยมให้ลูกบวช เพราะถือว่า ถ้ามีลูกชายแล้ว ผู้เป็นพ่อแม่จะต้องให้อยู่ ครองเรือน เพื่อสืบมรดกวงศ์ตระกูลต่อไป ยิ่งบางคนเป็นเศรษฐีมีลูกชายเพียงคนเดียว ก็ยิ่งจะหวงแหนกีดกันมากยิ่งขึ้น กุลบุตรที่ออกบวชในสมัยนั้นได้ แต่ละครั้ง จึงต้องฝ่าฟันต่ออุปสรรค และมีการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวจริง ๆ จึงจะออกบวชได้ เพราะ การออกบวชแต่ละคนนั้น ผู้ที่เป็นพ่อแม่ญาติ พี่น้องภรรยา ต้องร้องไห้กันน้ำตาอาบหน้าด้วยความเสียดายในการจากไป...(ไม่ใช่ตาย แต่เพราะมักไม่สึก)
ซึ่งต่างจากในปัจจุบันมากนัก ทั้งการบวชในสมัยนั้น เขามิได้บวชกันตามประเพณี เหมือนอย่างในปัจจุบัน คนที่ออกบวชนั้น เขามีเหตุผลในเรื่อง ชีวิต นี้เพียงพอทีเดียว ถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้ การบวช จะเปลี่ยนแปลงมาก ซึ่งอาจไม่เหมือนกับ ในสมัยพุทธกาลก็ตามที แต่เราก็ยังเห็นอานิสงส์ของการออกบวชอยู่มาก เพราะ บุคคลที่เข้ามาสู่ความเป็นนักบวชนั้น ได้เข้ามาดพื่อ "หล่อหลอมจิตใจของตนเสียใหม่ให้ดีขึ้น"
จึงขอรวมการบวชที่ แบบคิดเองเออเอง ผสมกับที่บางตามคณาจารย์ต่างๆกล่าวไว้
1. อุปนิสสสรณิกา บวชเพื่อหาทางหลุดพ้นทุกข์ ซึ่ง ถ้าหากผู้ใดบวชแล้วจะคำปฏิญาณที่ให้ไว้เมื่อวันบวชว่า
“สัพพะทุกขะ นิสสะระณะนิพพานะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา ปัพพาเชถะมัง ภันเต”
“ข้าแต่พระอุปัชฌาย์ผู้เจริญ ขอท่านจงรับเอาผ้ากาสวะ บวชให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด
เพื่อข้าพเจ้าจะได้ประพฤติปฏิบัติกำจัดทุกข์ทั้งปวง ให้สิ้นไป และกระทำพระนิพพานให้แจ้ง”
ซึ่งไม่ทราบว่ามีทำตามที่บอกไว้มากเท่าใด
2. บวชด้วยศรัทธา อาจจะเป็นว่าฟังธรรมจากพระเทศ ใครบางที่สอน จึงมีจิตศรัทธา ถ้าเห็นธรรมถึงขั้นจะอัพเลเวลไป ข้อ1.
3. บวชกันตามประเพณี อ่าว 20แล้ว บวชๆๆ แบบนี้จะบวชไม่นาน แบบ3-15 วันบ้าง พรรษาบ้าง ตามแต่สะดวก
4. บวชพื่อศึกษา สมัยก่อนมีมาก เนื่องจากวัดเปรียบเหมือนโรงเรียน จึงเข้ามาศึกษา วิชาต่างๆ
แต่ปัจจุบันดูว่าจะกลายเป็นชอบวิชาอาคม สักยัน .. บวชหาอาจารย์ฝึกกันไป
5. บวชแก้กรรม บวชเบญจเพศ บางว่ามีคราวเคราะห์ หรือจะถึงฆาต จึงรีบมาบวชเพื่ออาศัยอานิสงส์ผลบุญจากการบวชปกป้องคุ้มกัน
6. บวชหน้าไฟ บวชอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับ (ส่วนมากชอบเป็นเณรมากกว่า) เชื่อว่าจะได้ให้ผู้เสียชีวิตขึ้นสวรรค์
บวชแบบเสื่อมๆ
เมื่อบวชไปแล้วทำดีก็มา ทำไม่ดีก็มี
1. อุปมุยหิกา แปลว่า บวชด้วยความหลงงมงาย เห็นเขาบวชก็สักแต่ว่าบวชตามเขาบ้าง
จัดงานอลังการไว้โชว์เขา อาจมีชีสวยๆเลยมาบวชเพื่อใกล้ชิด
บวชไปตามกระแสโดย
ไม่มีความศรัทธาที่จะบวชอย่างแท้จริง
2. อุปชีวิกา คือ บวชมา เพื่ออาศัยพระพุทธศาสนา ใช้ผ้าเหลืองหาเลี้ยงชีวิต
มากินๆนอนๆไม่ทำอะไร มีของดีๆกิน ไม่อยากจะทำมาหากิน
ไม่ต้องเดือดร้อนหาค่าครองชีพ
ไม่สนใจปฏิบัติตามพระธรรมวินัย
3. อุปกีฬิกา บวชให้เกิดความเพลิดเพลินไปวันหนึ่งๆ ชอบเล่นหวยสองตัว สามตัว
มิหนำซ้ำบางยังบอกใบ้ให้หวย ให้เสน่ห์ยาแฝด ทำเครื่องรางของขลัง
ปลุกเสกวัตถุโดย
ไม่ใส่ใจประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย
4. อุปทูสิกา บวชแล้ว ทำชั่วเสียหาย ให้ศาสนาเสื่อม ไม่ได้บวชเพื่อทำให้ตนเองหมดเวรหมดภัย
เช่น พวกทุศีล เป็นการ Combo หลายข้อมารวมกัน
ที่เข้ามามีลูกเมีย ปาราชิกไปก็มาก เป็นมิจฉาชีพจับไม่ได้ไล่ไม่ทันก้เยอะ
แล้วสังเกต พวดนี้จะกลับมาแอบบวชใหม่ ที่อื่นไกลๆ ซึ่งนี่แหละ
ตัวไรไร ของจริง
ท่านคิดว่า ส่วนใหญ่ผู้เข้ามาบวชในปัจจุบัน ส่วนใหญ่น่าจะเป็นแบบไหน ท่านใดที่เป็นชาย เคยบวชหรือไม่ ตอนท่านบวชเป็นอย่างไร
คหสต. ว่าจากเหตุของการบวช จึงรู้ผลของความเป็นพระ บ้างว่าไม่อยากไหว้ ไม่ชอบเห็นแล้วเสื่อมจากเหตุการต่างๆ
ส่วนตัวถ้าไม่ได้ทำไม่งามต่อหน้าเร ก็จะไหว้ หรือให้ความเคารพเหมือนญาติผู้ใหญ่เพราะการเคารพ
ไม่ได้เคารพที่ตัวคนเดิน แต่เคารพความเป็นสัญลักษณ์(ผ้าเหลือง) ที่เป็นสมมุติสงฆ์ แทนพระอริยบุคคล
ที่เราไม่ทราบว่าเป็นใคร หลีกเลี่ยงใจที่เป็นบาป
*** เขียนขึ้นเนื่องจากเห็นคนด่าพระก็มาก เห็นพระประพฤติไม่ดีก็มาก บ้างก็ชักมาการเมือง บ้างไม่ได้ยุ่งแต่ก็โนโหนมาจนได้***
*** ขออภัยล่วงหน้าหากขาดตกบกพร่องใดช่วยบอกใน Commentย่อยนี้ไว้***
บวชทำไม บวชเพื่ออะไร
จึงโยงตั้งแต่ว่า บวชทำไม บวชเพื่ออะไร
เมื่อฤดูกาลก่อนเข้าพรรษาที่ผ่านมา ชาวไทนพุทธจำนวนส่วนมาก มักจะได้รัใบบอกบุญ การ์ดเชิญให้ไปร่วมการกุศลงานอุปสมบท
ข้าราชการ พนง. ก็ลาการงานกันออกบวช ในช่วงระยะเวลา ๔ เดือน ถึงจะเป็นนักบวชเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก็พอใจ
คนไทยพุทธ เราถือว่า ถ้าชีวิตของเราเกิดมาเป็นชาย ย่างเข้าสู่วัยฉกรรจ์แล้ว จะต้องหาโอกาสเข้ามาสู่ภายใต้ร่มกาสาวพัตร์ กันครั้งหนึ่ง ดังนั้น ผู้ชายที่นับถือพุทธศาสนานั้น ส่วนมากแล้ว มักจะเคยบวชกันมาอย่างน้อยก็ ๑ ครั้ง
คนสมัยก่อนนั้นเป็นผู้เคร่งครัดในทางพระพุทธศาสนา คนที่ยังไม่ได้บวชเรียน เป็นคนที่ไม่บรรลุนิติภาวะ เป็นผู้ที่ยังไม่ควรแก่การครองเรือน ซึ่งในสมัยก่อนนั้น ถ้าผู้ชายจะไปขอลูกสาวใครมาเป็นภรรยาแล้ว พ่อแม่ฝ่ายหญิง เขาจะถามก่อนว่า คนที่จะมาเป็นเขยนั้นบวชหรือยัง หากถ้า บวชแล้วจะยกลูกสาวให้ เพราะคิดว่าผ่านการบวชมาคงไม่ลูกสาวเอาไปทุบ ไปตี หรือ ปล่อยปละละเลย ให้ตกทุกข์ได้ยาก อด ๆ อยาก ๆ หรือ ทอดทิ้งกลางคัน ให้ได้รับความเดือดร้อนในภายหลัง
มูลเหตุที่ทำให้พ่อแม่ทุกคน ผู้ให้กำเนิดลูกออกมาเป็นชาย และ อยากได้บวชลูกชายนั้น เกิดมาจากการอยากได้บุญ อยากได้กุศล ที่ตนถือว่าเป็นครั้งสำคัญมาก พ่อแม่บางคนมีลูกชายแล้ว ถ้าไม่ได้บวช สังเกตุดู พ่อแม่เหล่านั้น ไม่ค่อยสบายใจ บางคนก็มีลูกชายประพฤติตนดี ไม่ทอดทิ้งพ่อแม่ หาเงินหาทองได้แล้วก็ส่งเสียเลี้ยงดู มิให้อดอยาก แต่เงินทองข้าวน้ำขนมนมเนย ที่ลูกนำมาให้แม่นั้น ก็ยังไม่สามารถทำให้ แม่เกิดปิติโสมนัสจนกระทั่งน้ำตาไหล แต่ถ้าพ่อแม่ได้บวชลูกชายแล้ว บางคนดีใจกันจนน้ำตาไหล เมื่อพ่อแม่ได้เห็นลูกได้ห่ม ผ้าย้อมน้ำฝาด อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ พ่อแม่ทุกคนจะเกิดความสุขใจอย่างสุดซึ้ง...
เมื่อลูกชายมีอายุย่างเข้า ๒๐ ปี จึงหมายมั่นไว้ว่า จะต้องบวชลูกคนนี้ แต่ถ้าหากว่าไม่ได้บวชลูกชาย ฝั่งพ่อแม่ก็จะเสียใจ บางถึงกับร้องไห้ก็มี จึงเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าผู้ที่เป็นพ่อแม่ ที่ได้ใช้ชีวิตผจญต่อเหตุการณ์ของโลกมาเป็นเวลานานหลายสิบปีนั้น ได้เห็นอานิสงส์ของการประพฤติพรหมจรรย์ ในพระพุทธศาสนานี้ได้เป็นอย่างดีแล้ว ซึ่งในสมัยนี้ แตกต่างกว่าในสมัยพุทธกาลมาก...
ในสมัยพุทธกาลนั้น ชายที่มีศรัทธาจะเข้ามาบวช ในพระพุทธศาสนานั้น ไม่ได้บวชได้ง่าย ๆ กว่าจะบวชได้แต่ละครั้ง แต่ละคนต้อง ผจญมาร เครื่องกีดขวางมากมายหลายชั้น จึงต้องมีศรัทธาอย่างมั่นคงจริง ๆ จึงจะมีโอกาสได้บวช เพราะ คนในสมัยนั้น ยังไม่นิยมให้ลูกบวช เพราะถือว่า ถ้ามีลูกชายแล้ว ผู้เป็นพ่อแม่จะต้องให้อยู่ ครองเรือน เพื่อสืบมรดกวงศ์ตระกูลต่อไป ยิ่งบางคนเป็นเศรษฐีมีลูกชายเพียงคนเดียว ก็ยิ่งจะหวงแหนกีดกันมากยิ่งขึ้น กุลบุตรที่ออกบวชในสมัยนั้นได้ แต่ละครั้ง จึงต้องฝ่าฟันต่ออุปสรรค และมีการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวจริง ๆ จึงจะออกบวชได้ เพราะ การออกบวชแต่ละคนนั้น ผู้ที่เป็นพ่อแม่ญาติ พี่น้องภรรยา ต้องร้องไห้กันน้ำตาอาบหน้าด้วยความเสียดายในการจากไป...(ไม่ใช่ตาย แต่เพราะมักไม่สึก)
ซึ่งต่างจากในปัจจุบันมากนัก ทั้งการบวชในสมัยนั้น เขามิได้บวชกันตามประเพณี เหมือนอย่างในปัจจุบัน คนที่ออกบวชนั้น เขามีเหตุผลในเรื่อง ชีวิต นี้เพียงพอทีเดียว ถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้ การบวช จะเปลี่ยนแปลงมาก ซึ่งอาจไม่เหมือนกับ ในสมัยพุทธกาลก็ตามที แต่เราก็ยังเห็นอานิสงส์ของการออกบวชอยู่มาก เพราะ บุคคลที่เข้ามาสู่ความเป็นนักบวชนั้น ได้เข้ามาดพื่อ "หล่อหลอมจิตใจของตนเสียใหม่ให้ดีขึ้น"
จึงขอรวมการบวชที่ แบบคิดเองเออเอง ผสมกับที่บางตามคณาจารย์ต่างๆกล่าวไว้
1. อุปนิสสสรณิกา บวชเพื่อหาทางหลุดพ้นทุกข์ ซึ่ง ถ้าหากผู้ใดบวชแล้วจะคำปฏิญาณที่ให้ไว้เมื่อวันบวชว่า
“สัพพะทุกขะ นิสสะระณะนิพพานะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา ปัพพาเชถะมัง ภันเต”
“ข้าแต่พระอุปัชฌาย์ผู้เจริญ ขอท่านจงรับเอาผ้ากาสวะ บวชให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด
เพื่อข้าพเจ้าจะได้ประพฤติปฏิบัติกำจัดทุกข์ทั้งปวง ให้สิ้นไป และกระทำพระนิพพานให้แจ้ง”
ซึ่งไม่ทราบว่ามีทำตามที่บอกไว้มากเท่าใด
2. บวชด้วยศรัทธา อาจจะเป็นว่าฟังธรรมจากพระเทศ ใครบางที่สอน จึงมีจิตศรัทธา ถ้าเห็นธรรมถึงขั้นจะอัพเลเวลไป ข้อ1.
3. บวชกันตามประเพณี อ่าว 20แล้ว บวชๆๆ แบบนี้จะบวชไม่นาน แบบ3-15 วันบ้าง พรรษาบ้าง ตามแต่สะดวก
4. บวชพื่อศึกษา สมัยก่อนมีมาก เนื่องจากวัดเปรียบเหมือนโรงเรียน จึงเข้ามาศึกษา วิชาต่างๆ
แต่ปัจจุบันดูว่าจะกลายเป็นชอบวิชาอาคม สักยัน .. บวชหาอาจารย์ฝึกกันไป
5. บวชแก้กรรม บวชเบญจเพศ บางว่ามีคราวเคราะห์ หรือจะถึงฆาต จึงรีบมาบวชเพื่ออาศัยอานิสงส์ผลบุญจากการบวชปกป้องคุ้มกัน
6. บวชหน้าไฟ บวชอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับ (ส่วนมากชอบเป็นเณรมากกว่า) เชื่อว่าจะได้ให้ผู้เสียชีวิตขึ้นสวรรค์
บวชแบบเสื่อมๆ
เมื่อบวชไปแล้วทำดีก็มา ทำไม่ดีก็มี
1. อุปมุยหิกา แปลว่า บวชด้วยความหลงงมงาย เห็นเขาบวชก็สักแต่ว่าบวชตามเขาบ้าง
จัดงานอลังการไว้โชว์เขา อาจมีชีสวยๆเลยมาบวชเพื่อใกล้ชิด
บวชไปตามกระแสโดยไม่มีความศรัทธาที่จะบวชอย่างแท้จริง
2. อุปชีวิกา คือ บวชมา เพื่ออาศัยพระพุทธศาสนา ใช้ผ้าเหลืองหาเลี้ยงชีวิต
มากินๆนอนๆไม่ทำอะไร มีของดีๆกิน ไม่อยากจะทำมาหากิน
ไม่ต้องเดือดร้อนหาค่าครองชีพ ไม่สนใจปฏิบัติตามพระธรรมวินัย
3. อุปกีฬิกา บวชให้เกิดความเพลิดเพลินไปวันหนึ่งๆ ชอบเล่นหวยสองตัว สามตัว
มิหนำซ้ำบางยังบอกใบ้ให้หวย ให้เสน่ห์ยาแฝด ทำเครื่องรางของขลัง
ปลุกเสกวัตถุโดยไม่ใส่ใจประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย
4. อุปทูสิกา บวชแล้ว ทำชั่วเสียหาย ให้ศาสนาเสื่อม ไม่ได้บวชเพื่อทำให้ตนเองหมดเวรหมดภัย
เช่น พวกทุศีล เป็นการ Combo หลายข้อมารวมกัน
ที่เข้ามามีลูกเมีย ปาราชิกไปก็มาก เป็นมิจฉาชีพจับไม่ได้ไล่ไม่ทันก้เยอะ
แล้วสังเกต พวดนี้จะกลับมาแอบบวชใหม่ ที่อื่นไกลๆ ซึ่งนี่แหละ ตัวไรไร ของจริง
ท่านคิดว่า ส่วนใหญ่ผู้เข้ามาบวชในปัจจุบัน ส่วนใหญ่น่าจะเป็นแบบไหน ท่านใดที่เป็นชาย เคยบวชหรือไม่ ตอนท่านบวชเป็นอย่างไร
คหสต. ว่าจากเหตุของการบวช จึงรู้ผลของความเป็นพระ บ้างว่าไม่อยากไหว้ ไม่ชอบเห็นแล้วเสื่อมจากเหตุการต่างๆ
ส่วนตัวถ้าไม่ได้ทำไม่งามต่อหน้าเร ก็จะไหว้ หรือให้ความเคารพเหมือนญาติผู้ใหญ่เพราะการเคารพ
ไม่ได้เคารพที่ตัวคนเดิน แต่เคารพความเป็นสัญลักษณ์(ผ้าเหลือง) ที่เป็นสมมุติสงฆ์ แทนพระอริยบุคคล
ที่เราไม่ทราบว่าเป็นใคร หลีกเลี่ยงใจที่เป็นบาป
*** เขียนขึ้นเนื่องจากเห็นคนด่าพระก็มาก เห็นพระประพฤติไม่ดีก็มาก บ้างก็ชักมาการเมือง บ้างไม่ได้ยุ่งแต่ก็โนโหนมาจนได้***
*** ขออภัยล่วงหน้าหากขาดตกบกพร่องใดช่วยบอกใน Commentย่อยนี้ไว้***