พระนางจามเทวี ปฐมกษัตรีย์แห่งเมืองหริภุญชัย
และพระพี่เลี้ยงทั้งสอง เจ้าหญิงเกษวดี และเจ้าหญิงปทุมวดี
สวัสดีครับ เพื่อนๆชาวพันทิปทุกท่าน หลังจากกระทู้ที่แล้วที่ได้มาแบ่งปันประสบการณ์การไปถือศีลปฏิบัติธรรมที่วัดมเหยงคณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา ไปแล้ว นับว่าเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าต่อชีวิตหนึ่งที่ได้เกิดมาอย่างยิ่ง และได้เรียนรู้อะไรอีกมากมายจากการไปปฏิบัติธรรมในทุกๆครั้ง และคราวนี้ครับ จะขอมาเล่าต่อในส่วนที่ติดค้างเอาไว้จากกระทู้ที่แล้วในเรื่องของการระลึกชาติ ที่อยู่ดีๆมันก็เกิดขึ้นกับชีวิตของคนๆหนึ่ง และมันทำให้ชีวิตของคนๆหนึ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไปได้ จากเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่อาจจะได้ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป เรียนจบ ทำงาน หาเงิน มีครอบครัว มีลูก มีหลาน แก่ เจ็บ และตายไป ในชาติหนึ่งๆของคนเรามันควรจะจบแบบนั้นไม่ใช่หรือ? แน่นอนว่าพวกเราย่อมหลีกเลี่ยง หรือเปลี่ยนแปลงสัจธรรมในข้อนั้นไม่ได้ แต่ในระหว่างเส้นทางไปสู่จุดหมายนั้น การดำรงชีวิตอยู่ การมีตัวตนอยู่ของมนุษย์โดยอาศัยร่างกายสังขาร ของธาตุขันธุ์ทั้ง 4 ให้อย่างมีคุณค่า แะมีประโยชน์ที่สุด ต่อตนเองและผู้อื่น ต่อสังคมส่วนรวมเป็นสำคัญนั้น ย่อมทำให้ชีวิตหนึ่งที่เกิดมานั้น ไม่เปล่าประโยชน์ และนี่คือสิ่งที่ผมได้จากสภาวะของการมีโมเม้น "ระลึกชาติ" ครับ
และต้องขอบอกไว้ก่อนเลยนะครับว่าโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านและรับสารจากกระทู้นี้นะครับ ไม่ได้มีจุดประสงค์หรือจุดมุ่งหวังที่จะชวนให้งมงายหรือต้องเชื่อทั้งหมด เพราะเรื่องแบบนี้ไม่เกิดขึ้นกับตัวเอง จะไม่มีวันเข้าใจเลยครับ แต่เชื่อหรือไม่ครับ เรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อแบบนี้แหละที่เปลี่ยนชีวิตคนอย่างผมมาแล้ว ที่เกริ่นต้นเรื่องด้วยธรรมะ อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ อยากจะขอทำความเข้าใจในส่วนนี้ก่อน ^^ เพราะชีวิตของเราทุกคนมันก็แค่นี้ เท่านี้ เพียงนี้ จริงๆครับ ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่อง ผมอยากจะขอขอบพระคุณทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่ทำให้ผมได้มาเป็นผมในทุกวันนี้ ขอบพระคุณพ่อและแม่ เพื่อน มิตร ผู้คนร่วมโลกทั้งหลาย ในทุกๆวัน ที่เราได้ประสบพบเจอกัน เรื่องราวต่างๆทั้งดีและร้ายที่ผ่านเข้ามา ที่ทำให้ผมได้มาอยู่ในจุดนี้และได้มีลมหายใจอยู่ต่อไปเรื่อยๆในทุกวินาที และได้มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวรู้ตนของตัวเองอยู่ได้ในทุกขณะ ทุกช่วงเวลานาทีของชีวิต และขอขอบคุณทุกๆท่านที่แวะเข้ามาอ่านกระทู้นี้ด้วยนะครับ หวังว่าเรื่องราวและอุทาหรณ์ในกระทู้นี้ จะมีประโยชน์และสามารถเป็นบทเรียน ข้อคิด ในการใช้ชีวิตต่อไปของทุกท่านนะครับ ^^
ย้อนไปเมื่อช่วงเดือนมกราคม ปี 2558 ผมเป็นเพียงนิสิตจบใหม่ ที่กำลังรอรับปริญญา เป็นช่วงของชีวิตที่เพิ่งก้าวข้ามผ่านพาร์ทของแบบฝึกหัด เตรียมตัวก้าวเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง ซึ่ง ณ ตอนนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่าโลกแห่งความเป็นจริงนั้น จริงๆมันคืออะไร รู้แค่ว่าตื่นเต้น ที่กำลังจะได้เป็นผู้ใหญ่ รู้แค่นั้นจริงๆ ผมมีเพื่อนสนิทอยู่กลุ่มหนึ่ง ที่เป็นเพื่อนสนิทสนิ้ทสนิท แบบไปไหนไปพร้อมกันได้เสมอ พวกเราเรียนตัวเองว่า "ดอกดวง" ศูนย์รวมของคนดอกๆที่มีเป็นดวงๆ 5555 (มันมีที่มา) วันหนึ่งเพื่อนดอกหมายเลขสี่(โค้ดลับเรียกแทนตัวของสมาชิกดอกดวง) ได้แจ้งข่าวในไลน์กรุ๊ปดอกดวงว่า พี่สาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของนางจะแต่งงาน ในวันเสาร์ที่ 17 มกราคม 2558 อยากได้กำลังทัพเสริมของชาวดอกดวงไปช่วยเอนเตอร์เทนและออแกไนซ์งานแต่ง ในสมาชิก 6 คนของเรานั้น พวกเราสะดวกไปกันเพียง 3 คน มีดอกหนึ่ง(ผมเอง) ดอกสอง และดอกสี่ ผู้ที่รับเป็นแม่งานในการจัดงานแต่งของพี่สาวของนาง ซึ่งงานแต่งงานจัดขึ้นที่ จ.ลพบุรี บ้านเกิดของเจ้าสาวและดอกสี่ ในส่วนของการวางแผนงาน ผมดอกหนึ่ง รับหน้าที่ดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายชุดไทยของเจ้าสาว และเครื่องแต่งกายของชาวดอกดวงที่จะใส่ขึ้นแสดงในช่วงของงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสตอนกลางคืน แถมยังต้องขึ้นแสดงในบางโชว์ร่วมกับดอกสอง และดอกสี่อีกด้วย และพ่วงด้วยหน้าที่แต่งหน้าทำผมเจ้าสาวในช่วงเวลางานเลี้ยงกลางคืน โชคดีที่มีรุ่นพี่อีกหนึ่งคนที่สนิทกับพวกเราชาวดอกดวงมาช่วยงานในส่วนของการเอนเตอร์เทนด้วย งานในคืนนั้นจึงผ่านพ้นสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
ดอกสี่และดอกสองมีความบัลเล่ต์เปิดตัวเจ้าบ่าวและเจ้าสาวนิดหน่อย
เช้าวันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม 2558 หลังจากที่พวกเราทั้งหมดประกอบร่างจากความเหนื่อยล้าเรียบร้อยแล้ว ดอกสี่นางมาเฉลยว่าได้ไปบนบานศาลกล่าวเอาไว้กับศาลเจ้าปู่(ผมจำชื่อของท่านไม่ได้แล้ว) อยู่แถวบ้านโซนวัดท่าแค นางบนไว้ว่าขอให้งานลุล่วงไปด้วยดี แล้วนางจะพาเพื่อนๆมารำถวายแก้บน สรุปก็ซ้อมรำกันเช้านั้นแล้วก็ยกทีมกันไปรำแก้บนหน้าศาลของเจ้าปู่ตอนสายๆ จากนั้นช่วงกลางวันพี่เจ้าสาวจึงอาสาพาพวกเราเที่ยวชมเมืองลพบุรีครับ หลักๆก็จะไปเที่ยวในส่วนที่เป็นโบราณสถาน พระปรางค์สามยอด ศาลพระกาฬ ซึ่งในระหว่างที่กำลังเที่ยวอยู่ ตัวผมก็เริ่มมีความรู้สึกว่า เฮ้ย เมืองนี้มันเก๋ มีปราสาทราชวังโบราณในยุคเมื่อพันกว่าปีก่อนผุดขึ้นมาอยู่กลางเมือง คนในเมืองนี้โคตรโชคดีอ่ะ ตื่นเช้ามาเปิดประตูบ้านแล้วได้พบกับสิ่งก่อสร้างอันน่ามหัศจรรย์นี้ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง ฟีลลิ่งเดียวกับที่เคยอิจฉาคนอยุธยา บอกตามตรงว่าตอนนั้นอิจฉาคนลพบุรี อยากย้ายมาอยู่ลพบุรีมากๆ เท่าที่จำความได้ความสัมพันธ์ของผมกับจังหวัดลพบุรีนั้นมีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะใช้เป็นเพียงทางผ่านเวลาที่จะเดินทางขึ้นภาคเหนือ หรือไม่ก็ติดตามคุณพ่อของผมที่รัชราชการทหารขึ้นตอนมาทำธุระที่ จ.ลพบุรี กับอีกครั้งล่าสุดคือมากับโรงเรียนเก่าสมัยมัธยม มาเป็นตัวแทนแข่งขันประกวดวงดนตรีลูกทุ่ง แถมประกวดเสร็จคุณครูพาเที่ยวสวนสัตว์ลพบุรี ไปยืนมองลิงชิมแปนซีในกรง ดันถูกลิง
น้ำลายใส่ เลยกลายเป็นว่ามีความทรงจำแย่ๆติดตัวกลับบ้าน แค่นั้นจริงๆ มันเลยกลายเป็นความรู้สึกเฉยๆกับจังหวัดลพบุรีไปโดยปริยาย จนมาครั้งนี้แหมละครับ ที่เริ่มมีความรู้สึกชอบจังหวัดลพบุรีขึ้นมา อยากกลับมาเที่ยวอีก เพราะยังเที่ยวชมวัด วัง โบราณสถานไม่ครบเลย เที่ยวกันครึ่งวันบ่าย จนเย็นก็เดินทางกลับมากรุงเทพครับ คืนวันอาทิตย์ก็หลับไปด้วยความเหนื่อยล้ามาทั้งวันครับ
เช้าวันจันทร์ที่ 19 มกราคม 2568 วันนั้นเป็นวันชิวๆสบายๆ ยังพักผ่อนอยู่จากความเหนื่อยล้า ทั้งวันเลยไม่ได้ทำอะไรครับ นอนเล่นอยู่ที่ห้อง ระหว่างที่นอนเล่นก็นึกขึ้นได้ว่าอยากหาข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับ จ.ลพบุรี โบราณสถานในจังหวัด และยุคสมัยของประวัติศาสตร์ในแถบนั้น ต้องบอกก่อนเลยว่าความรู้พื้นฐานทางประวัติศาสตร์ก็พอมี พอรู้ว่าลพบุรีแต่ก่อน เคยอยู่ใต้อารยธรรมของขอม แล้ววันนั้นเองก็ได้รู้ว่า "ลพบุรี" กับ "ละโว้" คืออย่างเดียวกัน จริงๆรู้จักทั้งสองชื่อมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่เพิ่งรู้ว่ามันคือเมืองเดียวกัน 55555 เลยขยายความ หาคีย์เวิร์ด search เกี่ยวกับวัฒนธรรมของศิลปะในยุคนี้ เช่น พวกเทวรูป สถาปัตยกรรม โบราณสถาน โบราณวัตถุต่างๆ อ่านเพลินๆนอนพลิกนอนตะแคงคว่ำหงาย อ่านในโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ จนมาสะดุดย่อหน้าหนึ่งในวิกิพีเดีย เกี่ยวกับเมืองลพบุรี จึงเอะใจขึ้นมา "พระนางจามเทวีเกี่ยวอะไรกับเมืองลพบุรี?" อยู่ทางเหนือไม่ใช่เหรอ ตอนนั้นรู้แค่ว่าเป็นกษัตริย์ผู้หญิงอยู่ จ.ลำพูน เพราะเวลาเดินทางไปเที่ยวเชียงใหม่เนี่ย ต้องเดินทางผ่าน จ.ลำพูน ก็จะได้แวะไหว้สักการะพระนางจามเทวี พอความสงสัยเกิดขึ้น ว่าพระนางจามเทวี
กับ เมืองละโว้มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน เลยกดที่ชื่อพระนางจามเทวีเข้าไปอ่านครับ
แคปด้วยจอโทรศัพท์มือถือ แสดงให้เห็นว่าตอนนั้นที่นอนอ่านประวัติเมืองลพบุรี ภาพที่เห็นเป็นแบบนี้จากหน้าเว็บวิกิพีเดียครับ
หน้าเพจประวัติของพระนางจามเทวีครับ
จากนั้นก็เริ่มอ่านประวัติโดยสังเขปว่าทรงเป็นใคร มาจากไหน เป็นลูกเต้าเหล่าใคร เชื้อสายมาจากไหน เมื่ออ่านไปได้ยังไม่ถึงไหน มันมีความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นมา คล้ายกับว่ามีอะไรพุ่งขึ้นมาจุกอยู่ที่อกแล้วมันแน่น หายใจไม่ออก เลยลุกขึ้นมานั่งอ่านประวัติของท่านแทนครับ แต่พอลุกขึ้นมาก็ไม่หายแน่น แต่ก็พอทุเลาลงบ้าง ด้วยความที่ยังอยากอ่านอยู่ เลยเปลี่ยนอิริยาบถเป็นกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงกับหัวเตียง จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านต่อ ยังไม่ทันได้อ่าน จากความรู้สึกแน่นอก มันกลับกลายเป็นความหน่วงอยู่ข้างใน แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต มันเป็นความรู้สึกใหม่ที่เพิ่งเคยรู้สึก อธิบายไม่ถูก แต่รู้ว่ามันหน่วง หนักๆอยู่ในอก จึงดันตัวขึ้นมานั่งให้หลังตรง ตอนนั้นมันมีความรู้สึกว่าเริ่มอยากจะร้องไห้ แต่ก็ถามตัวเองในใจว่า จะร้องทำไม? จนความรู้สึกหนักและหน่วงนั้นมันทวีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อตัวผมเองต้านไม่ไหวแล้ว เลยปล่อยเลยตามเลย อยากร้องก็ร้องออกมา พอคิดได้เท่านั้น ก็ปล่อยโฮ ร้องไห้ออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน น้ำหูน้ำตาไหลเต็มหน้าไปหมด มือก็เช็ดน้ำตาแต่ก็ยังไม่ยอมวางมือจากโทรศัพท์ ในใจก็สบถกับตัวเองเกี่ยวกับความรู้สึกที่กำลังร้องไห้นี้ว่า "KU เป็น HEAR อะไรเนี่ย KU ร้องไห้ทำไม ฮือๆๆ" แต่เชื่อหรือไม่ครับ(ไม่ต้องเชื่อก็ได้ 555) มันเหมือนมีอีกหนึ่งความคิดข้างในตัวของเรา ที่กำลังรู้สึกเศร้าสร้อย หวนไห้ คำนึง ระลึกถึง โหยหาอะไรสักอย่างที่เรารอคอยมานานแสนนาน ผมปล่อยให้ตัวเองนั่งพับเพียบร้องไห้อยู่บนเตียงประมาณ 5 นาทีได้ จากนั้นพอความเศร้าเริ่มบรรเทาลง ก็เช็ดน้ำหูน้ำตา ลุกไปล้างหน้าล้างตา แล้วเดินกลับมานั่งบนเตียง พร้อมกับคำถามว่า "เมื่อกี๊ KU เป็นอะไร!!? แล้ว KU จะไปหาคำตอบมาจากไหน เกิดอะไรขึ้นกับ KU แล้วใครจะให้คำตอบ KU ได้วะเนี่ยยย"
นั่นจึงเป็นที่มาของจุดเริ่มต้นของการที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเอง(อาจจะ)ระลึกชาติได้ และคำถามในใจที่ต้องการคำตอบ!
เดี๋ยวจะขอมาเล่าต่อพรุ่งนี้นะครับ ลิมิตตัวอักษรกำลังจะเต็มแล้ว คืนนี้ดึกแล้วขอตัวไปพักผ่อนนะครับ
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ ^^
มีคำถาม หรือสงสัยอะไรตรงไหน ที่ผมยังเล่าไม่ชัดเจน คอมเม้นถามได้เลยครับ ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผมครับ
<3
เมื่ออยู่ดีๆก็ระลึกชาติได้ ชีวิตของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งก็เปลี่ยนไปตั้งแต่บัดนั้น...
พระนางจามเทวี ปฐมกษัตรีย์แห่งเมืองหริภุญชัย
และพระพี่เลี้ยงทั้งสอง เจ้าหญิงเกษวดี และเจ้าหญิงปทุมวดี
สวัสดีครับ เพื่อนๆชาวพันทิปทุกท่าน หลังจากกระทู้ที่แล้วที่ได้มาแบ่งปันประสบการณ์การไปถือศีลปฏิบัติธรรมที่วัดมเหยงคณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา ไปแล้ว นับว่าเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าต่อชีวิตหนึ่งที่ได้เกิดมาอย่างยิ่ง และได้เรียนรู้อะไรอีกมากมายจากการไปปฏิบัติธรรมในทุกๆครั้ง และคราวนี้ครับ จะขอมาเล่าต่อในส่วนที่ติดค้างเอาไว้จากกระทู้ที่แล้วในเรื่องของการระลึกชาติ ที่อยู่ดีๆมันก็เกิดขึ้นกับชีวิตของคนๆหนึ่ง และมันทำให้ชีวิตของคนๆหนึ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไปได้ จากเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่อาจจะได้ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป เรียนจบ ทำงาน หาเงิน มีครอบครัว มีลูก มีหลาน แก่ เจ็บ และตายไป ในชาติหนึ่งๆของคนเรามันควรจะจบแบบนั้นไม่ใช่หรือ? แน่นอนว่าพวกเราย่อมหลีกเลี่ยง หรือเปลี่ยนแปลงสัจธรรมในข้อนั้นไม่ได้ แต่ในระหว่างเส้นทางไปสู่จุดหมายนั้น การดำรงชีวิตอยู่ การมีตัวตนอยู่ของมนุษย์โดยอาศัยร่างกายสังขาร ของธาตุขันธุ์ทั้ง 4 ให้อย่างมีคุณค่า แะมีประโยชน์ที่สุด ต่อตนเองและผู้อื่น ต่อสังคมส่วนรวมเป็นสำคัญนั้น ย่อมทำให้ชีวิตหนึ่งที่เกิดมานั้น ไม่เปล่าประโยชน์ และนี่คือสิ่งที่ผมได้จากสภาวะของการมีโมเม้น "ระลึกชาติ" ครับ
และต้องขอบอกไว้ก่อนเลยนะครับว่าโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านและรับสารจากกระทู้นี้นะครับ ไม่ได้มีจุดประสงค์หรือจุดมุ่งหวังที่จะชวนให้งมงายหรือต้องเชื่อทั้งหมด เพราะเรื่องแบบนี้ไม่เกิดขึ้นกับตัวเอง จะไม่มีวันเข้าใจเลยครับ แต่เชื่อหรือไม่ครับ เรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อแบบนี้แหละที่เปลี่ยนชีวิตคนอย่างผมมาแล้ว ที่เกริ่นต้นเรื่องด้วยธรรมะ อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ อยากจะขอทำความเข้าใจในส่วนนี้ก่อน ^^ เพราะชีวิตของเราทุกคนมันก็แค่นี้ เท่านี้ เพียงนี้ จริงๆครับ ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่อง ผมอยากจะขอขอบพระคุณทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่ทำให้ผมได้มาเป็นผมในทุกวันนี้ ขอบพระคุณพ่อและแม่ เพื่อน มิตร ผู้คนร่วมโลกทั้งหลาย ในทุกๆวัน ที่เราได้ประสบพบเจอกัน เรื่องราวต่างๆทั้งดีและร้ายที่ผ่านเข้ามา ที่ทำให้ผมได้มาอยู่ในจุดนี้และได้มีลมหายใจอยู่ต่อไปเรื่อยๆในทุกวินาที และได้มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวรู้ตนของตัวเองอยู่ได้ในทุกขณะ ทุกช่วงเวลานาทีของชีวิต และขอขอบคุณทุกๆท่านที่แวะเข้ามาอ่านกระทู้นี้ด้วยนะครับ หวังว่าเรื่องราวและอุทาหรณ์ในกระทู้นี้ จะมีประโยชน์และสามารถเป็นบทเรียน ข้อคิด ในการใช้ชีวิตต่อไปของทุกท่านนะครับ ^^
ย้อนไปเมื่อช่วงเดือนมกราคม ปี 2558 ผมเป็นเพียงนิสิตจบใหม่ ที่กำลังรอรับปริญญา เป็นช่วงของชีวิตที่เพิ่งก้าวข้ามผ่านพาร์ทของแบบฝึกหัด เตรียมตัวก้าวเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง ซึ่ง ณ ตอนนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่าโลกแห่งความเป็นจริงนั้น จริงๆมันคืออะไร รู้แค่ว่าตื่นเต้น ที่กำลังจะได้เป็นผู้ใหญ่ รู้แค่นั้นจริงๆ ผมมีเพื่อนสนิทอยู่กลุ่มหนึ่ง ที่เป็นเพื่อนสนิทสนิ้ทสนิท แบบไปไหนไปพร้อมกันได้เสมอ พวกเราเรียนตัวเองว่า "ดอกดวง" ศูนย์รวมของคนดอกๆที่มีเป็นดวงๆ 5555 (มันมีที่มา) วันหนึ่งเพื่อนดอกหมายเลขสี่(โค้ดลับเรียกแทนตัวของสมาชิกดอกดวง) ได้แจ้งข่าวในไลน์กรุ๊ปดอกดวงว่า พี่สาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของนางจะแต่งงาน ในวันเสาร์ที่ 17 มกราคม 2558 อยากได้กำลังทัพเสริมของชาวดอกดวงไปช่วยเอนเตอร์เทนและออแกไนซ์งานแต่ง ในสมาชิก 6 คนของเรานั้น พวกเราสะดวกไปกันเพียง 3 คน มีดอกหนึ่ง(ผมเอง) ดอกสอง และดอกสี่ ผู้ที่รับเป็นแม่งานในการจัดงานแต่งของพี่สาวของนาง ซึ่งงานแต่งงานจัดขึ้นที่ จ.ลพบุรี บ้านเกิดของเจ้าสาวและดอกสี่ ในส่วนของการวางแผนงาน ผมดอกหนึ่ง รับหน้าที่ดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายชุดไทยของเจ้าสาว และเครื่องแต่งกายของชาวดอกดวงที่จะใส่ขึ้นแสดงในช่วงของงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสตอนกลางคืน แถมยังต้องขึ้นแสดงในบางโชว์ร่วมกับดอกสอง และดอกสี่อีกด้วย และพ่วงด้วยหน้าที่แต่งหน้าทำผมเจ้าสาวในช่วงเวลางานเลี้ยงกลางคืน โชคดีที่มีรุ่นพี่อีกหนึ่งคนที่สนิทกับพวกเราชาวดอกดวงมาช่วยงานในส่วนของการเอนเตอร์เทนด้วย งานในคืนนั้นจึงผ่านพ้นสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
ดอกสี่และดอกสองมีความบัลเล่ต์เปิดตัวเจ้าบ่าวและเจ้าสาวนิดหน่อย
เช้าวันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม 2558 หลังจากที่พวกเราทั้งหมดประกอบร่างจากความเหนื่อยล้าเรียบร้อยแล้ว ดอกสี่นางมาเฉลยว่าได้ไปบนบานศาลกล่าวเอาไว้กับศาลเจ้าปู่(ผมจำชื่อของท่านไม่ได้แล้ว) อยู่แถวบ้านโซนวัดท่าแค นางบนไว้ว่าขอให้งานลุล่วงไปด้วยดี แล้วนางจะพาเพื่อนๆมารำถวายแก้บน สรุปก็ซ้อมรำกันเช้านั้นแล้วก็ยกทีมกันไปรำแก้บนหน้าศาลของเจ้าปู่ตอนสายๆ จากนั้นช่วงกลางวันพี่เจ้าสาวจึงอาสาพาพวกเราเที่ยวชมเมืองลพบุรีครับ หลักๆก็จะไปเที่ยวในส่วนที่เป็นโบราณสถาน พระปรางค์สามยอด ศาลพระกาฬ ซึ่งในระหว่างที่กำลังเที่ยวอยู่ ตัวผมก็เริ่มมีความรู้สึกว่า เฮ้ย เมืองนี้มันเก๋ มีปราสาทราชวังโบราณในยุคเมื่อพันกว่าปีก่อนผุดขึ้นมาอยู่กลางเมือง คนในเมืองนี้โคตรโชคดีอ่ะ ตื่นเช้ามาเปิดประตูบ้านแล้วได้พบกับสิ่งก่อสร้างอันน่ามหัศจรรย์นี้ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง ฟีลลิ่งเดียวกับที่เคยอิจฉาคนอยุธยา บอกตามตรงว่าตอนนั้นอิจฉาคนลพบุรี อยากย้ายมาอยู่ลพบุรีมากๆ เท่าที่จำความได้ความสัมพันธ์ของผมกับจังหวัดลพบุรีนั้นมีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะใช้เป็นเพียงทางผ่านเวลาที่จะเดินทางขึ้นภาคเหนือ หรือไม่ก็ติดตามคุณพ่อของผมที่รัชราชการทหารขึ้นตอนมาทำธุระที่ จ.ลพบุรี กับอีกครั้งล่าสุดคือมากับโรงเรียนเก่าสมัยมัธยม มาเป็นตัวแทนแข่งขันประกวดวงดนตรีลูกทุ่ง แถมประกวดเสร็จคุณครูพาเที่ยวสวนสัตว์ลพบุรี ไปยืนมองลิงชิมแปนซีในกรง ดันถูกลิงน้ำลายใส่ เลยกลายเป็นว่ามีความทรงจำแย่ๆติดตัวกลับบ้าน แค่นั้นจริงๆ มันเลยกลายเป็นความรู้สึกเฉยๆกับจังหวัดลพบุรีไปโดยปริยาย จนมาครั้งนี้แหมละครับ ที่เริ่มมีความรู้สึกชอบจังหวัดลพบุรีขึ้นมา อยากกลับมาเที่ยวอีก เพราะยังเที่ยวชมวัด วัง โบราณสถานไม่ครบเลย เที่ยวกันครึ่งวันบ่าย จนเย็นก็เดินทางกลับมากรุงเทพครับ คืนวันอาทิตย์ก็หลับไปด้วยความเหนื่อยล้ามาทั้งวันครับ
เช้าวันจันทร์ที่ 19 มกราคม 2568 วันนั้นเป็นวันชิวๆสบายๆ ยังพักผ่อนอยู่จากความเหนื่อยล้า ทั้งวันเลยไม่ได้ทำอะไรครับ นอนเล่นอยู่ที่ห้อง ระหว่างที่นอนเล่นก็นึกขึ้นได้ว่าอยากหาข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับ จ.ลพบุรี โบราณสถานในจังหวัด และยุคสมัยของประวัติศาสตร์ในแถบนั้น ต้องบอกก่อนเลยว่าความรู้พื้นฐานทางประวัติศาสตร์ก็พอมี พอรู้ว่าลพบุรีแต่ก่อน เคยอยู่ใต้อารยธรรมของขอม แล้ววันนั้นเองก็ได้รู้ว่า "ลพบุรี" กับ "ละโว้" คืออย่างเดียวกัน จริงๆรู้จักทั้งสองชื่อมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่เพิ่งรู้ว่ามันคือเมืองเดียวกัน 55555 เลยขยายความ หาคีย์เวิร์ด search เกี่ยวกับวัฒนธรรมของศิลปะในยุคนี้ เช่น พวกเทวรูป สถาปัตยกรรม โบราณสถาน โบราณวัตถุต่างๆ อ่านเพลินๆนอนพลิกนอนตะแคงคว่ำหงาย อ่านในโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ จนมาสะดุดย่อหน้าหนึ่งในวิกิพีเดีย เกี่ยวกับเมืองลพบุรี จึงเอะใจขึ้นมา "พระนางจามเทวีเกี่ยวอะไรกับเมืองลพบุรี?" อยู่ทางเหนือไม่ใช่เหรอ ตอนนั้นรู้แค่ว่าเป็นกษัตริย์ผู้หญิงอยู่ จ.ลำพูน เพราะเวลาเดินทางไปเที่ยวเชียงใหม่เนี่ย ต้องเดินทางผ่าน จ.ลำพูน ก็จะได้แวะไหว้สักการะพระนางจามเทวี พอความสงสัยเกิดขึ้น ว่าพระนางจามเทวี
กับ เมืองละโว้มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน เลยกดที่ชื่อพระนางจามเทวีเข้าไปอ่านครับ
แคปด้วยจอโทรศัพท์มือถือ แสดงให้เห็นว่าตอนนั้นที่นอนอ่านประวัติเมืองลพบุรี ภาพที่เห็นเป็นแบบนี้จากหน้าเว็บวิกิพีเดียครับ
หน้าเพจประวัติของพระนางจามเทวีครับ
จากนั้นก็เริ่มอ่านประวัติโดยสังเขปว่าทรงเป็นใคร มาจากไหน เป็นลูกเต้าเหล่าใคร เชื้อสายมาจากไหน เมื่ออ่านไปได้ยังไม่ถึงไหน มันมีความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นมา คล้ายกับว่ามีอะไรพุ่งขึ้นมาจุกอยู่ที่อกแล้วมันแน่น หายใจไม่ออก เลยลุกขึ้นมานั่งอ่านประวัติของท่านแทนครับ แต่พอลุกขึ้นมาก็ไม่หายแน่น แต่ก็พอทุเลาลงบ้าง ด้วยความที่ยังอยากอ่านอยู่ เลยเปลี่ยนอิริยาบถเป็นกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงกับหัวเตียง จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านต่อ ยังไม่ทันได้อ่าน จากความรู้สึกแน่นอก มันกลับกลายเป็นความหน่วงอยู่ข้างใน แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต มันเป็นความรู้สึกใหม่ที่เพิ่งเคยรู้สึก อธิบายไม่ถูก แต่รู้ว่ามันหน่วง หนักๆอยู่ในอก จึงดันตัวขึ้นมานั่งให้หลังตรง ตอนนั้นมันมีความรู้สึกว่าเริ่มอยากจะร้องไห้ แต่ก็ถามตัวเองในใจว่า จะร้องทำไม? จนความรู้สึกหนักและหน่วงนั้นมันทวีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อตัวผมเองต้านไม่ไหวแล้ว เลยปล่อยเลยตามเลย อยากร้องก็ร้องออกมา พอคิดได้เท่านั้น ก็ปล่อยโฮ ร้องไห้ออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน น้ำหูน้ำตาไหลเต็มหน้าไปหมด มือก็เช็ดน้ำตาแต่ก็ยังไม่ยอมวางมือจากโทรศัพท์ ในใจก็สบถกับตัวเองเกี่ยวกับความรู้สึกที่กำลังร้องไห้นี้ว่า "KU เป็น HEAR อะไรเนี่ย KU ร้องไห้ทำไม ฮือๆๆ" แต่เชื่อหรือไม่ครับ(ไม่ต้องเชื่อก็ได้ 555) มันเหมือนมีอีกหนึ่งความคิดข้างในตัวของเรา ที่กำลังรู้สึกเศร้าสร้อย หวนไห้ คำนึง ระลึกถึง โหยหาอะไรสักอย่างที่เรารอคอยมานานแสนนาน ผมปล่อยให้ตัวเองนั่งพับเพียบร้องไห้อยู่บนเตียงประมาณ 5 นาทีได้ จากนั้นพอความเศร้าเริ่มบรรเทาลง ก็เช็ดน้ำหูน้ำตา ลุกไปล้างหน้าล้างตา แล้วเดินกลับมานั่งบนเตียง พร้อมกับคำถามว่า "เมื่อกี๊ KU เป็นอะไร!!? แล้ว KU จะไปหาคำตอบมาจากไหน เกิดอะไรขึ้นกับ KU แล้วใครจะให้คำตอบ KU ได้วะเนี่ยยย"
นั่นจึงเป็นที่มาของจุดเริ่มต้นของการที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเอง(อาจจะ)ระลึกชาติได้ และคำถามในใจที่ต้องการคำตอบ!
เดี๋ยวจะขอมาเล่าต่อพรุ่งนี้นะครับ ลิมิตตัวอักษรกำลังจะเต็มแล้ว คืนนี้ดึกแล้วขอตัวไปพักผ่อนนะครับ
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ ^^
มีคำถาม หรือสงสัยอะไรตรงไหน ที่ผมยังเล่าไม่ชัดเจน คอมเม้นถามได้เลยครับ ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผมครับ
<3