แม่ผมเคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เป็นเรื่องที่ผมจะไม่มีทางลืมไปตลอดชีวิต
แม่เล่าว่าแม่เป็นน้องคนเล็กสุดท้องแม่มีพี่น้องรวมกันทั้งหมด 5 คน รวมถึงตัวแม่ด้วย ตอนนั้นแม่อายุราวๆ 8-9 ขวบ ทุกวันแม่และพี่ๆอีก 2 คนที่ยังเรียนอยู่ ต้องเดินเท้าไปโรงเรียนที่ไกลพอสมควรเดินทางประมาน20นาที
และการใช้เส้นทางแต่ละครั้งต้องผ่านบ้านเก่าๆหลังหนึ่งเป็นบ้านที่ดูวังเวงและน่ากลัว มีรั่วล้อมรอบและมีหญ้าขึ้นสูง พื้นที่บ้านเหมือนไม่มีคนอยู่ แต่กลับมียายแก่ๆคนหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียว(ขอสมมุติชื่อ) แกชื่อยายจัน สามีแกชื่อตามี พอสามียายแกเสียชีวิต ยายจันก็ไม่ค่อยพบปะผู้คนเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน และทุกๆครั้งที่แม่ผมเดินผ่านบ้านหลังนี้ ยายแก่คนนั้นก็จะชอบจ้องมองมาที่แม่ของผม สายตาดูเย็นชา บ้างครั้งก็จ้องมองด้วยสายตาลุกวาว แล้วก็แลบลิ้นเลียริมฝีปากไปมา
มีอยู่วันหนึ่งพี่สาวคนโตของบ้าน ชื่อป้าฟ้าที่กำลังท้องแก่เกิดอาการเจ็บท้อง เหมือนคนใกล้จะคลอด สามีแกก็ทำอะไรไม่ถูก เลยรีบวิ่งมาบ้านยายผมเพราะบ้านอยู่ติดกันและเรียกพี่ๆน้องๆช่วยกันไปดู พอไปถึงยายเลยบอกให้พี่คนที่ 4 ชื่อพี่พาไปตามหมอตำแยที่กลางหมู่บ้านมา เพราะถ้าเดินทางไปจากหมู่บ้านจนถึงโรงบาลในตัวเมือง ใช้เวลาเกือบๆ 2 ชั่วโมง ยายเลยกลัวไม่ทันเวลาอาจจะคลอดกลางทางได้ พอหมอมาถึง หมอก็ใช้เวลาในการทำคลอดพอสมควร จนเสร็จและปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูก ทุกคนต่างพากันดีใจยกใหญ่สีหน้าทุกคนดูมีความสุขกันทั่วหน้า แต่ในขณะนั้นแม่ผมได้มองไปที่บริเวณก่อไผ่ ได้มีเงาดำมองเห็นหน้าไม่ชัด รู้แค่ว่ามีลักษณะเหมือนคนแก่ทำตัวลับๆล่อๆอยู่ห่างๆ
พอวันรุ่งขึ้น ก็มีคนมาเยี่ยมป้าฟ้ามากมายและพากันมาผูกแขนให้หลานชายที่พึ่งจะเกิด แต่ยังไม่ได้ทันตั้งชื่อ ท่ามกลางผู้คนมากมายในขณะนั้น ได้มีหญิงแก่ๆคนหนึ่งเดินตรงมา คือยายจัน ทุกคนต่างพากันเงียบไม่พูดไม่จาอะไร ยายจันก็เดินตรงมาที่ทารกน้อยและหยิบฝ่ายผูกแขน จับแขนทารกน้อยขึ้นและผูกฝ้าย และพูดว่า “น่ากินจังเลยเนอะ เด็กเกิดใหม่เนี้ย” พอได้ยินแบบนั้นเท่านั้นละ สามีป้าฟ้า โมโหสุดขีดแล้วก็ไล่ยายคนนั้นออกจากบ้าน “ออกไปจากบ้านกูเลยนะ และอย่ามาให้กูเห็นอีก กูเอาตายแน้” เป็นภาษาอีสาน ยายคนนั้นก็ได้แต่ยิ้ม และแลบลิ้นเลียมือที่พึ่งจับแขนของทารกอย่างน่าสยอง พร้องกับได้ยินเสียงแว่วๆว่า “หอม น่าอร่อย น่ากินจังเนอะ” ไปตลอดทาง….
เรื่องสยองที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยิน
แม่เล่าว่าแม่เป็นน้องคนเล็กสุดท้องแม่มีพี่น้องรวมกันทั้งหมด 5 คน รวมถึงตัวแม่ด้วย ตอนนั้นแม่อายุราวๆ 8-9 ขวบ ทุกวันแม่และพี่ๆอีก 2 คนที่ยังเรียนอยู่ ต้องเดินเท้าไปโรงเรียนที่ไกลพอสมควรเดินทางประมาน20นาที
และการใช้เส้นทางแต่ละครั้งต้องผ่านบ้านเก่าๆหลังหนึ่งเป็นบ้านที่ดูวังเวงและน่ากลัว มีรั่วล้อมรอบและมีหญ้าขึ้นสูง พื้นที่บ้านเหมือนไม่มีคนอยู่ แต่กลับมียายแก่ๆคนหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียว(ขอสมมุติชื่อ) แกชื่อยายจัน สามีแกชื่อตามี พอสามียายแกเสียชีวิต ยายจันก็ไม่ค่อยพบปะผู้คนเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน และทุกๆครั้งที่แม่ผมเดินผ่านบ้านหลังนี้ ยายแก่คนนั้นก็จะชอบจ้องมองมาที่แม่ของผม สายตาดูเย็นชา บ้างครั้งก็จ้องมองด้วยสายตาลุกวาว แล้วก็แลบลิ้นเลียริมฝีปากไปมา
มีอยู่วันหนึ่งพี่สาวคนโตของบ้าน ชื่อป้าฟ้าที่กำลังท้องแก่เกิดอาการเจ็บท้อง เหมือนคนใกล้จะคลอด สามีแกก็ทำอะไรไม่ถูก เลยรีบวิ่งมาบ้านยายผมเพราะบ้านอยู่ติดกันและเรียกพี่ๆน้องๆช่วยกันไปดู พอไปถึงยายเลยบอกให้พี่คนที่ 4 ชื่อพี่พาไปตามหมอตำแยที่กลางหมู่บ้านมา เพราะถ้าเดินทางไปจากหมู่บ้านจนถึงโรงบาลในตัวเมือง ใช้เวลาเกือบๆ 2 ชั่วโมง ยายเลยกลัวไม่ทันเวลาอาจจะคลอดกลางทางได้ พอหมอมาถึง หมอก็ใช้เวลาในการทำคลอดพอสมควร จนเสร็จและปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูก ทุกคนต่างพากันดีใจยกใหญ่สีหน้าทุกคนดูมีความสุขกันทั่วหน้า แต่ในขณะนั้นแม่ผมได้มองไปที่บริเวณก่อไผ่ ได้มีเงาดำมองเห็นหน้าไม่ชัด รู้แค่ว่ามีลักษณะเหมือนคนแก่ทำตัวลับๆล่อๆอยู่ห่างๆ
พอวันรุ่งขึ้น ก็มีคนมาเยี่ยมป้าฟ้ามากมายและพากันมาผูกแขนให้หลานชายที่พึ่งจะเกิด แต่ยังไม่ได้ทันตั้งชื่อ ท่ามกลางผู้คนมากมายในขณะนั้น ได้มีหญิงแก่ๆคนหนึ่งเดินตรงมา คือยายจัน ทุกคนต่างพากันเงียบไม่พูดไม่จาอะไร ยายจันก็เดินตรงมาที่ทารกน้อยและหยิบฝ่ายผูกแขน จับแขนทารกน้อยขึ้นและผูกฝ้าย และพูดว่า “น่ากินจังเลยเนอะ เด็กเกิดใหม่เนี้ย” พอได้ยินแบบนั้นเท่านั้นละ สามีป้าฟ้า โมโหสุดขีดแล้วก็ไล่ยายคนนั้นออกจากบ้าน “ออกไปจากบ้านกูเลยนะ และอย่ามาให้กูเห็นอีก กูเอาตายแน้” เป็นภาษาอีสาน ยายคนนั้นก็ได้แต่ยิ้ม และแลบลิ้นเลียมือที่พึ่งจับแขนของทารกอย่างน่าสยอง พร้องกับได้ยินเสียงแว่วๆว่า “หอม น่าอร่อย น่ากินจังเนอะ” ไปตลอดทาง….