สรุปสั้นๆ สำหรับคนขี้เกียจอ่าน คือ หนังสนุกมากครับ ตัดเกรดได้ 8/10 หรือ 4.5/5 ดาว (ทำดาวครึ่งดวงไม่เป็น เลยใส่แค่ 4 ในรูป) ดูเลย คุ้มค่าบัตรทุกนาที
อ่ะ ต่อไปเวอร์ชั่นปกติ
(ไม่สปอยเกินกว่าตัวอย่างฮะ ไม่ต้องห่วง)
Spiderman: Homecoming คือการรีบู๊ทหนังรอบที่ 3 ของหนังฮีโร่แมงมุม ลูกรักของมาร์เวล (และของโซนี่ในปัจจุบัน) โดยได้พ่อหนุ่ม ทอม ฮอลแลนด์ มารับบท ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ในวัยไฮสกูล ... สปอยเลยก็ได้ว่า ปีเตอร์ พาร์คเกอร์คือสไปเดอร์แมน ... แต่นั่น คุณก็คงรู้กันไปแล้วแหละ
ชื่อตอนก็บอกกันอย่างชัดเจนว่า นี่คือหนังที่เป็นเสมือนงานเลี้ยงต้อนรับ สไปดี้กลับบ้าน – แม้ว่าในทางเทคนิคแล้ว เขาจะตกเป็นของโซนี่ก็ตาม (คือ หนังเรื่องนี้โซนี่จ้างมาร์เวลสร้างอ่ะนะครับ ฉะนั้นสิทธิในตัวพ่อแมงมุมปากไวก็ยังเป็นของโซนี่เหมือนเดิม) แต่ถ้าเอาโลโก้โซนี่ออกไป นี่คือหนังที่มีความเป็น “มาร์เวล” ในทุกองค์ประกอบ
โฮมคัมมิ่ง เล่าเรื่องราวต่อจากเหตุการณ์ใน Captain America: Civil War (อ่านบทวิจารณ์ได้ที่นี่
https://ppantip.com/topic/35091601 ) ที่โทนี่ สตาร์คได้ค้นพบเด็กหนุ่มที่มีพลังแมงมุม และพาเข้ามาร่วมในศึกตะลุมบอนด้วย ซึ่งทำให้พาร์คเกอร์ในวัยคะนองรู้สึกคึกคักเป็นอย่างมาก ... เด็กมีของก็อยากปล่อยอ่ะนะ
แต่พอจบงานใน “สงครามกลางเมือง” แล้ว สตาร์คกลับไม่ยอมเรียกใช้เด็กใหม่ในสังกัดคนนี้สักที ปล่อยให้วิ่งไล่จับโจร พาคนแก่กลับบ้านไปวันๆ ... ทำให้สไปดี้ในวัยกำดัดเริ่มอดรนทนไม่ไหว อยากโชวจะแย่อยู่แล้ว ... และไม่นาน เขาก็ได้โอกาสแสดงฝีมือจริงๆ เมื่อบังเอิญไปพบพ่อค้าอาวุธสงครามเถื่อนที่ใช้เทคโนโลยีเอเลี่ยนเข้า
ซึ่งเขาหารู้ไม่ว่า นี่เป็นการเจอตออย่างจัง และเป็นบททดสอบว่า เขาคู่ควรเป็นฮีโร่หรือเปล่า
ก็อย่างที่บอกว่า นี่คือหนังมาร์เวล และมาร์เวลก็เหมือนมีเวทย์มนต์ในการสะกดคนดูให้อยู่หมัด หนังมีจังหวะจะโคน พร้อมมีช่วงเวลาที่คนดูต้องทึ่ง มีมุมตลกแบบเป็นธรรมชาติ บทที่ไม่ฝืนความรู้สึกเกินไปนัก และไม่มีความรุนแรงโดยไม่จำเป็น
ทอม ฮอลแลนด์ พิสูจน์ตัวเองมาตั้งแต่ Civil War ว่าเขาคือสไปเดอร์แมนของยุคนี้ และรัศมีที่เปล่งประกายตลอดช่วงเวลาของหนัง ยิ่งตอกย้ำให้คนดูยอมรับว่า สตูดิโอเลือกคนไม่ผิดจริงๆ เพราะสไปเดอร์แมนของฮอลแลนด์ คือเด็กหนุ่มที่ทรงพลัง แต่ถ่อมตน พูดมาก มีอารมณ์ขัน มีฮอร์โมนของเด็กวัยรุ่นอย่างเต็มเปี่ยม เรียกว่า ขนาดต้องเข้าฉากกับนักแสดงเก๋าๆ แบบไมเคิ่ล คีตัน ก็ยังกินกันไม่ลงทีเดียว
แม้จะเป็นหนังยอดมนุษย์ แต่นี่คืออีกครั้งที่มาร์เวลสอนเราเรื่อง coming of age แม้จะไม่มีบทพูดเท่ๆ เหมือน โทบี้ แมคไกว แต่ฮอลแลนด์ก็เรียนรู้ไปพร้อมๆ กับผู้ชมว่า พลังที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่งจริงๆ เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่ใช่ชุดเท่ๆ ที่ทำให้เขาเป็นสไปเดอร์แมน แต่จิตวิญญาณต่างหากที่สำคัญ
หนังอาจจะการหักมุมเล็กๆ แต่ก็ไม่เกินคาดอะไรนัก ถือว่าพอรับได้ที่ผูกปม ความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกและตัวร้ายขึ้นมา (ซึ่งคีตันก็เล่นได้เนียนจนหลายคนแอบเห็นใจ วัลเชอร์กลายเป็นเหยื่อคนหนึ่งที่โลกบังคับให้เขาต้องร้าย) จนนำไปสู่บทสรุปที่เรายิ้มออก
ข้อเสียของหนังก็ใช่จะไม่มี อย่างแรกเลย นี่คือภาคต่อของ Civil War อย่างไม่ต้องสงสัย แค่สลับมาดูเนื้อเรื่องฝั่งพ่อนักพ่นใยเท่านั้นเอง ก็ไม่ใช่ว่า ถ้าคุณไม่เคยดูหนังเรื่องก่อนหน้าแล้วจะไปต่อไม่ถูก เพียงแต่ ถ้าคุณตามจักรวาลมาร์เวลมาตั้งแต่ปี 2008 ... คุณจะฟินกับหลายๆ ฉากจนน้ำเดินเท่านั้นเอง
หนังอาจไม่ถูกจริตคนที่ชอบความทึมทะมึน จริงจัง และเน้นความดาร์คของชีวิตฮีโร่มากเท่าใดนัก ... ก็คุณจะเด็ก ม.ปลาย มีชีวิตโศกศัลย์อะไรนักหนาเล่า นี่คือหนังที่เต็มไปพลังหนุ่มสาว มีความสดใสที่คลุมซ่อนความเป็นผู้ใหญ่ไว้อีกที ... ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ในนาทีแรก และนาทีสุดท้ายของหนัง ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
งานคืนสู่เหย้าของสไปเดอร์แมน คือสิ่งที่คุณควรเสพอย่างสุดๆ ถ้าคุณคือแฟนมาร์เวล หรือแฟนของพ่อแมงมุมปากสว่าง มาร์เวลได้สอนโซนี่ให้รู้ว่า ลูกรักของพวกเขาต้องเลี้ยงดูอย่างไรไม่ให้เสียของ ... แม้ว่าโซนี่ยังหากินกับสไปเดอร์แมนได้อีกนานก็จริง แต่คงแยกทางกับมาร์เวลไม่ได้ง่ายๆ แน่
เห็นพ่อแมงมุมขยุ้มหัวใจคืนชีพอย่างงดงามแบบนี้แล้ว ... อยากให้ฟ๊อกซ์ลดทิฐิแล้วจ้างมาร์เวลทำ แฟนแทสติก โฟร์ อีกสักที ... คราวนี้มีแววจะปังสมใจแฟนๆ
[CR] Spiderman: Homecoming งานคืนสู่เหย้าของน้องแมงมุม
อ่ะ ต่อไปเวอร์ชั่นปกติ
(ไม่สปอยเกินกว่าตัวอย่างฮะ ไม่ต้องห่วง)
Spiderman: Homecoming คือการรีบู๊ทหนังรอบที่ 3 ของหนังฮีโร่แมงมุม ลูกรักของมาร์เวล (และของโซนี่ในปัจจุบัน) โดยได้พ่อหนุ่ม ทอม ฮอลแลนด์ มารับบท ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ในวัยไฮสกูล ... สปอยเลยก็ได้ว่า ปีเตอร์ พาร์คเกอร์คือสไปเดอร์แมน ... แต่นั่น คุณก็คงรู้กันไปแล้วแหละ
ชื่อตอนก็บอกกันอย่างชัดเจนว่า นี่คือหนังที่เป็นเสมือนงานเลี้ยงต้อนรับ สไปดี้กลับบ้าน – แม้ว่าในทางเทคนิคแล้ว เขาจะตกเป็นของโซนี่ก็ตาม (คือ หนังเรื่องนี้โซนี่จ้างมาร์เวลสร้างอ่ะนะครับ ฉะนั้นสิทธิในตัวพ่อแมงมุมปากไวก็ยังเป็นของโซนี่เหมือนเดิม) แต่ถ้าเอาโลโก้โซนี่ออกไป นี่คือหนังที่มีความเป็น “มาร์เวล” ในทุกองค์ประกอบ
โฮมคัมมิ่ง เล่าเรื่องราวต่อจากเหตุการณ์ใน Captain America: Civil War (อ่านบทวิจารณ์ได้ที่นี่ https://ppantip.com/topic/35091601 ) ที่โทนี่ สตาร์คได้ค้นพบเด็กหนุ่มที่มีพลังแมงมุม และพาเข้ามาร่วมในศึกตะลุมบอนด้วย ซึ่งทำให้พาร์คเกอร์ในวัยคะนองรู้สึกคึกคักเป็นอย่างมาก ... เด็กมีของก็อยากปล่อยอ่ะนะ
แต่พอจบงานใน “สงครามกลางเมือง” แล้ว สตาร์คกลับไม่ยอมเรียกใช้เด็กใหม่ในสังกัดคนนี้สักที ปล่อยให้วิ่งไล่จับโจร พาคนแก่กลับบ้านไปวันๆ ... ทำให้สไปดี้ในวัยกำดัดเริ่มอดรนทนไม่ไหว อยากโชวจะแย่อยู่แล้ว ... และไม่นาน เขาก็ได้โอกาสแสดงฝีมือจริงๆ เมื่อบังเอิญไปพบพ่อค้าอาวุธสงครามเถื่อนที่ใช้เทคโนโลยีเอเลี่ยนเข้า
ซึ่งเขาหารู้ไม่ว่า นี่เป็นการเจอตออย่างจัง และเป็นบททดสอบว่า เขาคู่ควรเป็นฮีโร่หรือเปล่า
ก็อย่างที่บอกว่า นี่คือหนังมาร์เวล และมาร์เวลก็เหมือนมีเวทย์มนต์ในการสะกดคนดูให้อยู่หมัด หนังมีจังหวะจะโคน พร้อมมีช่วงเวลาที่คนดูต้องทึ่ง มีมุมตลกแบบเป็นธรรมชาติ บทที่ไม่ฝืนความรู้สึกเกินไปนัก และไม่มีความรุนแรงโดยไม่จำเป็น
ทอม ฮอลแลนด์ พิสูจน์ตัวเองมาตั้งแต่ Civil War ว่าเขาคือสไปเดอร์แมนของยุคนี้ และรัศมีที่เปล่งประกายตลอดช่วงเวลาของหนัง ยิ่งตอกย้ำให้คนดูยอมรับว่า สตูดิโอเลือกคนไม่ผิดจริงๆ เพราะสไปเดอร์แมนของฮอลแลนด์ คือเด็กหนุ่มที่ทรงพลัง แต่ถ่อมตน พูดมาก มีอารมณ์ขัน มีฮอร์โมนของเด็กวัยรุ่นอย่างเต็มเปี่ยม เรียกว่า ขนาดต้องเข้าฉากกับนักแสดงเก๋าๆ แบบไมเคิ่ล คีตัน ก็ยังกินกันไม่ลงทีเดียว
แม้จะเป็นหนังยอดมนุษย์ แต่นี่คืออีกครั้งที่มาร์เวลสอนเราเรื่อง coming of age แม้จะไม่มีบทพูดเท่ๆ เหมือน โทบี้ แมคไกว แต่ฮอลแลนด์ก็เรียนรู้ไปพร้อมๆ กับผู้ชมว่า พลังที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่งจริงๆ เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่ใช่ชุดเท่ๆ ที่ทำให้เขาเป็นสไปเดอร์แมน แต่จิตวิญญาณต่างหากที่สำคัญ
หนังอาจจะการหักมุมเล็กๆ แต่ก็ไม่เกินคาดอะไรนัก ถือว่าพอรับได้ที่ผูกปม ความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกและตัวร้ายขึ้นมา (ซึ่งคีตันก็เล่นได้เนียนจนหลายคนแอบเห็นใจ วัลเชอร์กลายเป็นเหยื่อคนหนึ่งที่โลกบังคับให้เขาต้องร้าย) จนนำไปสู่บทสรุปที่เรายิ้มออก
ข้อเสียของหนังก็ใช่จะไม่มี อย่างแรกเลย นี่คือภาคต่อของ Civil War อย่างไม่ต้องสงสัย แค่สลับมาดูเนื้อเรื่องฝั่งพ่อนักพ่นใยเท่านั้นเอง ก็ไม่ใช่ว่า ถ้าคุณไม่เคยดูหนังเรื่องก่อนหน้าแล้วจะไปต่อไม่ถูก เพียงแต่ ถ้าคุณตามจักรวาลมาร์เวลมาตั้งแต่ปี 2008 ... คุณจะฟินกับหลายๆ ฉากจนน้ำเดินเท่านั้นเอง
หนังอาจไม่ถูกจริตคนที่ชอบความทึมทะมึน จริงจัง และเน้นความดาร์คของชีวิตฮีโร่มากเท่าใดนัก ... ก็คุณจะเด็ก ม.ปลาย มีชีวิตโศกศัลย์อะไรนักหนาเล่า นี่คือหนังที่เต็มไปพลังหนุ่มสาว มีความสดใสที่คลุมซ่อนความเป็นผู้ใหญ่ไว้อีกที ... ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ในนาทีแรก และนาทีสุดท้ายของหนัง ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
งานคืนสู่เหย้าของสไปเดอร์แมน คือสิ่งที่คุณควรเสพอย่างสุดๆ ถ้าคุณคือแฟนมาร์เวล หรือแฟนของพ่อแมงมุมปากสว่าง มาร์เวลได้สอนโซนี่ให้รู้ว่า ลูกรักของพวกเขาต้องเลี้ยงดูอย่างไรไม่ให้เสียของ ... แม้ว่าโซนี่ยังหากินกับสไปเดอร์แมนได้อีกนานก็จริง แต่คงแยกทางกับมาร์เวลไม่ได้ง่ายๆ แน่
เห็นพ่อแมงมุมขยุ้มหัวใจคืนชีพอย่างงดงามแบบนี้แล้ว ... อยากให้ฟ๊อกซ์ลดทิฐิแล้วจ้างมาร์เวลทำ แฟนแทสติก โฟร์ อีกสักที ... คราวนี้มีแววจะปังสมใจแฟนๆ