Captain America: Civil War คือการบรรลุโสดาบันบนแผ่นฟิล์มของมาร์เวล นี่ไม่ใช่การอวยที่เกินจริงแต่ประการใด เพราะนี่คือหนังยอดมนุษย์ของมาร์เวลที่ถูกบ่มเพาะจนสุกงอมแล้ว เรียกว่าผู้สร้างไม่เสียแรงที่ปูทางมาหลายปีเพื่อขมวดปมนี้ขึ้นมา
หลายคนบอกว่านี่คือ หนังอะเวนเจอร์ ภาค 2.5 ... ในแง่หนึ่งมันก็อาจจะใช่ แต่จนแล้วจนรอดแล้ว หนังเรื่องนี้ก็คือหนังของกัปตันอเมริกาอย่างไม่ต้องสงสัย สตีฟ โรเจอร์คือแก่นของเรื่อง เป็นตัวละครที่ขับเคลื่อนเรื่องราวทั้งหมดไปข้างหน้า และอาจจะไปถึงในจุดที่เขาเองก็ไม่ได้คาดคิดไว้ในตอนแรก
เราควรรู้อะไรก่อนเดินไปที่ Box office เลือกที่นั่งแล้วจ่ายตังค่าบัตรสำหรับหนังเรื่องนี้
แน่นอนว่า ซิวิลวอร์ คือหนังภาคต่อ .... ฉะนี้แอนด์ฉะนั้น การสำหรับใครและใครที่ดูหนังมาร์เวลมาตลอด 8-9 ปีนี้ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเป็นผู้เพิ่งเดบิวท์เข้าวงการใหม่ๆ อย่างน้อยการผ่านหนัง กัปตันอเมริกาภาคก่อนๆมาบ้าง ย่อมจะเป็นการได้เปรียบ (แน่นอนว่าภาค Winter Soldier คือสิ่งที่ “ต้องดู” เพราะนี่คือเรื่องราวที่ต่อกันเนียนแบบไร้รอยตะเข็บ)
ตั้งแต่บรรทัดนี้ผมจะถือว่าทุกคนรู้จักทีมอะเวนเจอร์มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย ... และต้อนรับเข้าสู่สงครามระหว่างเหล่ายอดมนุษย์ที่จะเปลี่ยนแปลงจักรวาลภาพยนตร์ของมาร์เวลไปตลอดกาล (จนกว่าจะมีการล้มกระดานล้างไพ่รีเซ็ทกันใหม่หมดนั่นแหละ)
ประเด็นหลักๆของหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่อะไรแปลกใหม่ แต่เป็นการค่อยๆตอกลิ่มเล็กๆลงไปในจิตใจของตัวละครแต่ละตัว และเมื่อมันถึงจุดแตกหัก การใช้กำลังก็คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
หนังเล่าเรื่องการปฏิบัติครั้งหนึ่งของทีมอะเวนเจอร์ที่ไล่ตามจัดการกับวายร้ายเพื่อหยุดยั้งแผนที่จะก่อความวุ่นวายให้กับมวลมนุษย์ (ก็ตามหน้าที่ของฮีโร่ทั่วไป) แต่เคราะห์หามยามร้าย เมื่องานครั้งนี้ผิดพลาด ถึงจะบรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้แต่กลับต้องมีประชาชนโดนลูกหลงเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
อันที่จริงนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องมาตายไปเพราะการปะทะกันระหว่างยอดมนุษย์ฝ่ายดีและฝ่ายร้าย เพราะจริงๆมันก็มีคนติดร่างแหไปด้วยทุกภาคอยู่แล้ว แต่พอมันบ่อยเข้า โลกนี้ก็เริ่มหวาดหวั่น ไม่รู้วันดีคืนร้ายจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นแถวบ้านตัวเองหรือเปล่า
นี่จึงเป็นคำถามว่า ในเมื่อทีมอะเวนเจอร์นั้นคือทีมมหาประลัยที่เปรียบเหมือนดาบสองคม ... แล้วใครล่ะจะสามารถเป็นฝักดาบได้เพื่อยับยั้งไม่ให้คนเหล่านี้ใช้พลังเลยเถิดเกินกว่าเหตุ นี่จึงเป็นที่มาของ สนธิสัญญาโซโคเวียที่เห็นชอบร่วมกันจาก 117 ประเทศทั่วโลก โดยมีสาระสำคัญให้ทีมฮีโร่ของเราต้องปฏิบัติงานเมื่อได้รับไฟเขียวจากสหประชาชาติเท่านั้น
ฟังดูดี ... แต่คิดอีกทีก็เหมือนไม่ดี
กัปตันอเมริกา สตีฟ โรเจอร์ ไม่เอาด้วยกับเรื่องนี้เพราะเขาเคยโดนกระทำอย่างเจ็บช้ำจากรัฐบาลมาแล้วในภาค Winter Soldier แต่ไอร่อนแมน โทนี สต๊าค ยอมรับเพราะเขารู้สึกผิดกับการที่ต้องทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนไปด้วย ... ความไม่ลงรอยของทั้งคู่ขยายวงขึ้น เพราะต่างฝ่ายก็มีเหตุผล มีความเชื่อมั่นว่าตนเองทำในสิ่งที่ถูกและมีอัตตาที่ยึดถือ
ฟางเส้นสุดท้ายที่นำไปสู่การแตกหักของเสาหลักแห่งทีมอะเวนเจอร์ทั้งสองคนคือ บัคกี้ บาร์น หรือ วินเทอร์ โซลเจอร์ อดีตมือสังหารลับของไฮดร้าที่ก่อเหตุมานับไม่ถ้วนในอดีต บัคกี้คือเพื่อนรักเพื่อนตายของสตีฟ และตอนนี้เขากำลังกลายเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีก่อวินาศกรรมระดับโลก
การติดตามปกป้องเพื่อนรักของสตีฟ ทำให้เขาต้องหันหลังให้กับสหายศึกอย่างโทนี่ที่อยู่ฝ่ายรัฐบาลจนต้องเข้าห้ำหั่นกัน แต่ความยัดแย้งนี้กลับนำไปสู่รอยร้าวลึกที่ยากจะประสานกันได้ในท้ายที่สุด ... เพราะสิ่งที่รอทั้งคู่อยู่มันโหดร้าย เจ็บปวดและน่าเศร้า
ถ้า The Dark Knight คือหนังขึ้นหิ้งอันดับ 1 ของ DC ... Civil War ก็ทรงคุณค่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสำหรับฝั่ง Marvel ... ความดีงามของหนังเรื่องนี้ นอกจากฉากแอคชั่นที่ใส่มาแบบเอนเตอร์เทนคนดูเต็มที่แล้ว หนังไม่ลืมจะใส่เหตุผลลงในทุกการตัดสินใจของตัวละครด้วย และเมื่อสางปมหนึ่งกลับไปเจออีกปมหนึ่ง สุดท้ายใน Civil War สงครามที่เกิดจากความแค้น เติบโตด้วยความเกลียดชัง ไม่มีชัยชนะมอบให้กับใครเลย
สิ่งที่ดีงามตลอดเกือบ 150 นาที (ไม่รวมเวลาโฆษณา) ที่รั้งเราไว้กับเก้าอี้ในโรงหนังก็คือ ความอิ่มเอมที่คาดหวังจากได้จากหนังแอคชั่นดีๆสักเรื่อง เรียกได้ว่าสำหรับแฟนมาร์เวล อยากดูอะไรก็ได้ดูหมดในหนังเรื่องนี้ แถมยังมีเซอร์ไพร์เล็กๆที่ทำให้เราได้ร้องว้าวอีกด้วย
ฉากที่จะกลายเป็นตำนานบทใหม่ของฮอลีวู้ดคือการตะลุมบอนกันของฮีโร่ 12 คนในสนามบิน ที่บอกได้เลยว่า ปังและเป๊ะเว่อร์ๆ เหล่ายอดมนุษย์เก่งกาจสมกับที่ถูกบ่มเพาะมาเป็นเวลาหลายปี ดั่งไวน์รสเลิศที่ถูกเสิร์ฟมาในอุณภูมิพอเหมาะพอดีเลือกเชียร์กันไม่ถูกจริงๆ
สารภาพว่าก่อนเข้าไปผมปวารณาตนเป็น Team Ironman และพอดูหนังจบก็ยังคงอยู่ทีมเดิม เพิ่มเติมคือความเห็นใจเฮียโทนีเพิ่มขึ้นไปอีก ... และเข้าใจเลยว่าเขาเผชิญความหนักอึ้งในใจมากขนาดไหน โดยเฉพาะตอนที่หักมุมมีดาบสองแทงซ้ำให้เขาฟิวส์ขาด เลือดขึ้นหน้าจนฟัดกับเพื่อนอย่างเอาเป็นเอาตาย
แม้ว่า Civil War ถูกโปรโมทว่าเป็นหนังที่มืดมนที่สุดในมาร์เวลเคยทำมา แต่พวกเขาก็ไม่ลืมเอกลักษณ์อันล้ำค่าของหนังตัวเอง ทีมสร้างได้ใส่จังหวะหนัก-เบาให้งานของพวกเขาอย่างฉลาด มีบทผ่อนคลายและจังหวะที่เร้าอารมณ์ของคนดูได้ด้วยบทดราม่าที่ชวนอึ้ง ใครจิตไม่แข็งอาจจะมีตับระเบิดคาโรง
สุดท้ายตัวละครที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ น้องแมงมุม แสงระวี ... เอ้ย สไปเดอร์แมน ... ว่ากันว่านี่คือสไปเดอร์ที่มันควรจะเป็นจริงๆ ออกมาฉากไหนขโมยซีนฉากนั้น เก่าง ช่างจ้อและฮาได้ใจ เชื่อได้เลยว่าหนังเดี่ยวของน้องแมงมุมคนใหม่นี่ กวาดรายได้ถล่มทลายแน่นอน
สรุปแล้วเราจำกัดความของ Civil War ได้ด้วยประโยคที่ว่า “นี่คือความดีงามที่สุดเท่าที่มาร์เวลเคยฝากเอาไว้ในโลกเซลลูลอยด์” งานดี งานละเอียด งานสนุก งานปัง คุ้มค่าบัตรทุกบาท ทุกราคาทุกที่นั่ง ถ้าใครมีเวลา ... ไปดูเถอะผมขอ
คะแนนเต็มเท่าไหร่ ก็ให้เท่านั้นแหละ
[CR] Captain America: Civil War คือการบรรลุโสดาบันบนแผ่นฟิล์มของมาร์เวล (อ่านได้ไม่สปอยเท่าไหร่)
หลายคนบอกว่านี่คือ หนังอะเวนเจอร์ ภาค 2.5 ... ในแง่หนึ่งมันก็อาจจะใช่ แต่จนแล้วจนรอดแล้ว หนังเรื่องนี้ก็คือหนังของกัปตันอเมริกาอย่างไม่ต้องสงสัย สตีฟ โรเจอร์คือแก่นของเรื่อง เป็นตัวละครที่ขับเคลื่อนเรื่องราวทั้งหมดไปข้างหน้า และอาจจะไปถึงในจุดที่เขาเองก็ไม่ได้คาดคิดไว้ในตอนแรก
เราควรรู้อะไรก่อนเดินไปที่ Box office เลือกที่นั่งแล้วจ่ายตังค่าบัตรสำหรับหนังเรื่องนี้
แน่นอนว่า ซิวิลวอร์ คือหนังภาคต่อ .... ฉะนี้แอนด์ฉะนั้น การสำหรับใครและใครที่ดูหนังมาร์เวลมาตลอด 8-9 ปีนี้ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเป็นผู้เพิ่งเดบิวท์เข้าวงการใหม่ๆ อย่างน้อยการผ่านหนัง กัปตันอเมริกาภาคก่อนๆมาบ้าง ย่อมจะเป็นการได้เปรียบ (แน่นอนว่าภาค Winter Soldier คือสิ่งที่ “ต้องดู” เพราะนี่คือเรื่องราวที่ต่อกันเนียนแบบไร้รอยตะเข็บ)
ตั้งแต่บรรทัดนี้ผมจะถือว่าทุกคนรู้จักทีมอะเวนเจอร์มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย ... และต้อนรับเข้าสู่สงครามระหว่างเหล่ายอดมนุษย์ที่จะเปลี่ยนแปลงจักรวาลภาพยนตร์ของมาร์เวลไปตลอดกาล (จนกว่าจะมีการล้มกระดานล้างไพ่รีเซ็ทกันใหม่หมดนั่นแหละ)
ประเด็นหลักๆของหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่อะไรแปลกใหม่ แต่เป็นการค่อยๆตอกลิ่มเล็กๆลงไปในจิตใจของตัวละครแต่ละตัว และเมื่อมันถึงจุดแตกหัก การใช้กำลังก็คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
หนังเล่าเรื่องการปฏิบัติครั้งหนึ่งของทีมอะเวนเจอร์ที่ไล่ตามจัดการกับวายร้ายเพื่อหยุดยั้งแผนที่จะก่อความวุ่นวายให้กับมวลมนุษย์ (ก็ตามหน้าที่ของฮีโร่ทั่วไป) แต่เคราะห์หามยามร้าย เมื่องานครั้งนี้ผิดพลาด ถึงจะบรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้แต่กลับต้องมีประชาชนโดนลูกหลงเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
อันที่จริงนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องมาตายไปเพราะการปะทะกันระหว่างยอดมนุษย์ฝ่ายดีและฝ่ายร้าย เพราะจริงๆมันก็มีคนติดร่างแหไปด้วยทุกภาคอยู่แล้ว แต่พอมันบ่อยเข้า โลกนี้ก็เริ่มหวาดหวั่น ไม่รู้วันดีคืนร้ายจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นแถวบ้านตัวเองหรือเปล่า
นี่จึงเป็นคำถามว่า ในเมื่อทีมอะเวนเจอร์นั้นคือทีมมหาประลัยที่เปรียบเหมือนดาบสองคม ... แล้วใครล่ะจะสามารถเป็นฝักดาบได้เพื่อยับยั้งไม่ให้คนเหล่านี้ใช้พลังเลยเถิดเกินกว่าเหตุ นี่จึงเป็นที่มาของ สนธิสัญญาโซโคเวียที่เห็นชอบร่วมกันจาก 117 ประเทศทั่วโลก โดยมีสาระสำคัญให้ทีมฮีโร่ของเราต้องปฏิบัติงานเมื่อได้รับไฟเขียวจากสหประชาชาติเท่านั้น
ฟังดูดี ... แต่คิดอีกทีก็เหมือนไม่ดี
กัปตันอเมริกา สตีฟ โรเจอร์ ไม่เอาด้วยกับเรื่องนี้เพราะเขาเคยโดนกระทำอย่างเจ็บช้ำจากรัฐบาลมาแล้วในภาค Winter Soldier แต่ไอร่อนแมน โทนี สต๊าค ยอมรับเพราะเขารู้สึกผิดกับการที่ต้องทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนไปด้วย ... ความไม่ลงรอยของทั้งคู่ขยายวงขึ้น เพราะต่างฝ่ายก็มีเหตุผล มีความเชื่อมั่นว่าตนเองทำในสิ่งที่ถูกและมีอัตตาที่ยึดถือ
ฟางเส้นสุดท้ายที่นำไปสู่การแตกหักของเสาหลักแห่งทีมอะเวนเจอร์ทั้งสองคนคือ บัคกี้ บาร์น หรือ วินเทอร์ โซลเจอร์ อดีตมือสังหารลับของไฮดร้าที่ก่อเหตุมานับไม่ถ้วนในอดีต บัคกี้คือเพื่อนรักเพื่อนตายของสตีฟ และตอนนี้เขากำลังกลายเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีก่อวินาศกรรมระดับโลก
การติดตามปกป้องเพื่อนรักของสตีฟ ทำให้เขาต้องหันหลังให้กับสหายศึกอย่างโทนี่ที่อยู่ฝ่ายรัฐบาลจนต้องเข้าห้ำหั่นกัน แต่ความยัดแย้งนี้กลับนำไปสู่รอยร้าวลึกที่ยากจะประสานกันได้ในท้ายที่สุด ... เพราะสิ่งที่รอทั้งคู่อยู่มันโหดร้าย เจ็บปวดและน่าเศร้า
ถ้า The Dark Knight คือหนังขึ้นหิ้งอันดับ 1 ของ DC ... Civil War ก็ทรงคุณค่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสำหรับฝั่ง Marvel ... ความดีงามของหนังเรื่องนี้ นอกจากฉากแอคชั่นที่ใส่มาแบบเอนเตอร์เทนคนดูเต็มที่แล้ว หนังไม่ลืมจะใส่เหตุผลลงในทุกการตัดสินใจของตัวละครด้วย และเมื่อสางปมหนึ่งกลับไปเจออีกปมหนึ่ง สุดท้ายใน Civil War สงครามที่เกิดจากความแค้น เติบโตด้วยความเกลียดชัง ไม่มีชัยชนะมอบให้กับใครเลย
สิ่งที่ดีงามตลอดเกือบ 150 นาที (ไม่รวมเวลาโฆษณา) ที่รั้งเราไว้กับเก้าอี้ในโรงหนังก็คือ ความอิ่มเอมที่คาดหวังจากได้จากหนังแอคชั่นดีๆสักเรื่อง เรียกได้ว่าสำหรับแฟนมาร์เวล อยากดูอะไรก็ได้ดูหมดในหนังเรื่องนี้ แถมยังมีเซอร์ไพร์เล็กๆที่ทำให้เราได้ร้องว้าวอีกด้วย
ฉากที่จะกลายเป็นตำนานบทใหม่ของฮอลีวู้ดคือการตะลุมบอนกันของฮีโร่ 12 คนในสนามบิน ที่บอกได้เลยว่า ปังและเป๊ะเว่อร์ๆ เหล่ายอดมนุษย์เก่งกาจสมกับที่ถูกบ่มเพาะมาเป็นเวลาหลายปี ดั่งไวน์รสเลิศที่ถูกเสิร์ฟมาในอุณภูมิพอเหมาะพอดีเลือกเชียร์กันไม่ถูกจริงๆ
สารภาพว่าก่อนเข้าไปผมปวารณาตนเป็น Team Ironman และพอดูหนังจบก็ยังคงอยู่ทีมเดิม เพิ่มเติมคือความเห็นใจเฮียโทนีเพิ่มขึ้นไปอีก ... และเข้าใจเลยว่าเขาเผชิญความหนักอึ้งในใจมากขนาดไหน โดยเฉพาะตอนที่หักมุมมีดาบสองแทงซ้ำให้เขาฟิวส์ขาด เลือดขึ้นหน้าจนฟัดกับเพื่อนอย่างเอาเป็นเอาตาย
แม้ว่า Civil War ถูกโปรโมทว่าเป็นหนังที่มืดมนที่สุดในมาร์เวลเคยทำมา แต่พวกเขาก็ไม่ลืมเอกลักษณ์อันล้ำค่าของหนังตัวเอง ทีมสร้างได้ใส่จังหวะหนัก-เบาให้งานของพวกเขาอย่างฉลาด มีบทผ่อนคลายและจังหวะที่เร้าอารมณ์ของคนดูได้ด้วยบทดราม่าที่ชวนอึ้ง ใครจิตไม่แข็งอาจจะมีตับระเบิดคาโรง
สุดท้ายตัวละครที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ น้องแมงมุม แสงระวี ... เอ้ย สไปเดอร์แมน ... ว่ากันว่านี่คือสไปเดอร์ที่มันควรจะเป็นจริงๆ ออกมาฉากไหนขโมยซีนฉากนั้น เก่าง ช่างจ้อและฮาได้ใจ เชื่อได้เลยว่าหนังเดี่ยวของน้องแมงมุมคนใหม่นี่ กวาดรายได้ถล่มทลายแน่นอน
สรุปแล้วเราจำกัดความของ Civil War ได้ด้วยประโยคที่ว่า “นี่คือความดีงามที่สุดเท่าที่มาร์เวลเคยฝากเอาไว้ในโลกเซลลูลอยด์” งานดี งานละเอียด งานสนุก งานปัง คุ้มค่าบัตรทุกบาท ทุกราคาทุกที่นั่ง ถ้าใครมีเวลา ... ไปดูเถอะผมขอ
คะแนนเต็มเท่าไหร่ ก็ให้เท่านั้นแหละ