คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
สมัยเด็กๆ ผมไปตลาดเมืองนนท์ หรือบางซื่อ
ต้องหิ้วตระกร้า ไปจ่ายกับข้าวด้วย
สมัยนั้น ซื้อ ต้นหอมผักชี 50 สตางค์ หรือเนื้อหมู 5 บาท ห่อใบตอง แล้วพันด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์
หย่อนลงตระกร้าได้เลย
ถ้าช่วงผัก หรือเนื้อราคาถูก เราก็แอบ ฉ้อราษฎร์ บังยาย ได้หลายสตางค์
เช่น ผักชี ต้นหอม เคยซื้อ 50 สต. ก็อาจจ่ายแค่ สลึงเดียว
เนื้อหมู จาก 5 บาท ก็อาจเหลือ 4.50 บาท
ทุกอย่าง ห่อใบตอง ลงตระกร้าทั้งหมด
พวก นมเย็น มักได้เป็นกระป๋องนม ผูกเชือกฟางห้อยมา
แม้แต่ไอครีม ยังขายเป็นกระป๋องนม แล้วหุ้มด้วยถุงพลาสติกใสอีกชั้นหนึ่ง
ตอนเด็ก หาเงินใช้กับการเอากระดาษหนังสือพิมพ์ มาพับถุงกล้วยแขกขาย
ต้มแป้งเปียก เอาไม้ไผ่ หรือไม้พายเล็กๆ เป็นอุปกรณื
พับกันทั้งวัน ได้เงินครั้ง 2 บาท 3 บาท ก็กดสายไหม หรือไอติมตัด ได้เยอะแล้ว
เด็กสมัยนี้ คงไม่มีทางคิดออก เพราะส่วนใหญ่ จะแบมือขอเงินอย่างเดียว
ต้องหิ้วตระกร้า ไปจ่ายกับข้าวด้วย
สมัยนั้น ซื้อ ต้นหอมผักชี 50 สตางค์ หรือเนื้อหมู 5 บาท ห่อใบตอง แล้วพันด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์
หย่อนลงตระกร้าได้เลย
ถ้าช่วงผัก หรือเนื้อราคาถูก เราก็แอบ ฉ้อราษฎร์ บังยาย ได้หลายสตางค์
เช่น ผักชี ต้นหอม เคยซื้อ 50 สต. ก็อาจจ่ายแค่ สลึงเดียว
เนื้อหมู จาก 5 บาท ก็อาจเหลือ 4.50 บาท
ทุกอย่าง ห่อใบตอง ลงตระกร้าทั้งหมด
พวก นมเย็น มักได้เป็นกระป๋องนม ผูกเชือกฟางห้อยมา
แม้แต่ไอครีม ยังขายเป็นกระป๋องนม แล้วหุ้มด้วยถุงพลาสติกใสอีกชั้นหนึ่ง
ตอนเด็ก หาเงินใช้กับการเอากระดาษหนังสือพิมพ์ มาพับถุงกล้วยแขกขาย
ต้มแป้งเปียก เอาไม้ไผ่ หรือไม้พายเล็กๆ เป็นอุปกรณื
พับกันทั้งวัน ได้เงินครั้ง 2 บาท 3 บาท ก็กดสายไหม หรือไอติมตัด ได้เยอะแล้ว
เด็กสมัยนี้ คงไม่มีทางคิดออก เพราะส่วนใหญ่ จะแบมือขอเงินอย่างเดียว
ความคิดเห็นที่ 6
ข้าพเจ้า เกิดและโตในเมืองไทย สมัย ถุงกระดาษ ใบตอง ไม้กลัด และเชือกกล้วย
ยังไม่มีถุงพลาสติคใดๆ
ยางรัด เป็นของมีราคา เก็บไว้ใช้ได้หลายรอบ คล้องไว้ที่หัวเสาของตู้กับข้าว
เด็กๆจะเอาไปเล่น เป่ากบ กินยางกัน คนเก่งๆ มียางวงเต็มข้อมือ
เมื่อไปเมืองนอก (อเมริกา ยุโรป) 30 ปีมาแล้ว ไม่มีใครเอาอาหารใส่ ถุงใส มัดยาง
(เว้นแต่ร้านเอเซียนสโตร์บางแห่ง แพ็คมาไว้ขาย แต่แทบไม่เคยเจอ)
เขาใส่ถ้วยกระดาษ ถ้วยโฟม กล่องกระดาษ ถุงกระดาษ เป็นพื้น
ผลไม้ อาจแพ็คในถุงพลาสติคบ้าง แต่ส่วนใหญ่ วางในกระบะให้เลือกหยิบเอา
ถุงหิ้วก๊อบแก๊บนี่ U.S. ยังพอมีให้บ้าง ประปราย แต่ในยุโรป ต้องซื้อ
ยังไม่มีถุงพลาสติคใดๆ
ยางรัด เป็นของมีราคา เก็บไว้ใช้ได้หลายรอบ คล้องไว้ที่หัวเสาของตู้กับข้าว
เด็กๆจะเอาไปเล่น เป่ากบ กินยางกัน คนเก่งๆ มียางวงเต็มข้อมือ
เมื่อไปเมืองนอก (อเมริกา ยุโรป) 30 ปีมาแล้ว ไม่มีใครเอาอาหารใส่ ถุงใส มัดยาง
(เว้นแต่ร้านเอเซียนสโตร์บางแห่ง แพ็คมาไว้ขาย แต่แทบไม่เคยเจอ)
เขาใส่ถ้วยกระดาษ ถ้วยโฟม กล่องกระดาษ ถุงกระดาษ เป็นพื้น
ผลไม้ อาจแพ็คในถุงพลาสติคบ้าง แต่ส่วนใหญ่ วางในกระบะให้เลือกหยิบเอา
ถุงหิ้วก๊อบแก๊บนี่ U.S. ยังพอมีให้บ้าง ประปราย แต่ในยุโรป ต้องซื้อ
แสดงความคิดเห็น
ตั้งแต่อดีตยันปัจจุบัน เมืองนอกเขาไม่ใช้ถุงใส แล้วเอาหนังยางรัดกันหรือฮะ
สมัยผมเด็กๆย้อนกลับไปสมัย30ปีที่แล้ว สมัยช่วง2530 หนังยางยังราคาแพงหรือยังไงไม่รู้ ถุงกระดาษ กับเชือกปอนี่ โดนแม่ใช้ให้ทำประจำ
ถ้าลูกค้ามาซื้อหมูขีด หรือเนื้อไก่ ก็จะเอาใบตอง รองเนื้อหมูไว้ แล้วใส่ถุงกระดาษให้ไป
ส่วนพริก กระเพรา กระเทียมอะไรพวกนี้ ใส่ถุงกระดาษเพียวๆเลย ถ้าลูกค้ามาซื้อน้ำอัดลม ก็จะเอาใส่ถุงใส แล้วผูกด้วยเชือกปอที่ทำไว้
เว้นแต่ของบางอย่างที่รัดด้วยเชือกปอไม่ได้ ถึงจะใส่ถุงใสแล้วเอาหนังยางรัดอีกที เช่นพวกแกงถุงต่างๆ
ถ้าเป็นของที่จะซีลไม่ให้อากาศเข้าแต่ไม่อยากเปลืองเชือกปอหรือหนังยาง
อย่างพวกยาเส้นที่เอามาแบ่งขาย ก็จะเอาใส่ถุงใส แล้วพับขอบเอาเทียนลน
สมัยนี้คงไม่มีใครมานั่งพับถุงกระดาษกับสางเชือกปอเป็นเส้นเล็กๆแล้วมานั่งมัดกันแล้ว ถุงใสกับหนังยางรัดนี่แทบจะเป็นพื้นฐานในยุคปัจจุบันเลย
ก็คงไม่แปลกที่อีกหน่อยถุงใสกับหนังยางมันจะหายไป ถ้ามันมีนวัตกรรมอะไรมาแทนที่
แต่สงสัยว่าเมืองนอกประเทศต่างๆ มันไม่มีช่วงสมัยแบบที่เล่ามากันเลยหรือฮะ พวกพับถุงกระดาษหนังสือพิมพ์ เหลาไม้ปิ้งไก่ สางเชือกและมัดเชือกปอ หรืออย่างถุงใสรัดด้วยหนังยางเนี่ย