ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ดูข่าวในทีวีนานนนมาแล้ว นานมากกก ฝันไว้ว่า ทริปดูปลาคาร์พที่ญี่ปุ่นนี่ต้องไปให้ได้สักครั้งในชีวิตเหอะน่า ... จนกระทั่งมีโอกาสไปเที่ยวคิวชูงวดนี้ เอ้า! ดูปลาคาร์พนี่อยู่จังหวัดนางาซากินี่หน่า จัดซิคะ โอกาสมาแล้ว จึงบรรจุโปรแกรมนี้ ( Carp Stream )ลงไปในแผนการเดินทาง ถึงขั้นดีใจและเฝ้ารอ เป็นหนึ่งไฮไลท์ที่อยากไปดู
ส่วนตัวชอบดูปลาคาร์พ เป็นปลาที่มีสีสันสวยดี ไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับปลาคาร์พหรอกค่ะ รู้แต่ว่าชอบอย่างเดียว ความชอบจึงนำไปสู่การเดินทาง
เราเดินทางโดยใช้รถไฟท้องถิ่นในจังหวัดนางาซากิ สาย slow life ( มันสโลว์จริง ๆ น๊า ) จากสถานี Isahaya ไป Shimabaraต้องบอกก่อนว่าแผนการเดินทางหลักเราคือ จาก Nagasaki ไป Kumamoto โดยเฟอร์รี่ ข้ามอ่าวชิมาบาร่า ตัดเข้า Kumamoto Port สำหรับถนนสายปลาคาร์พ ( Carp Stream ) ที่ว่านี้อยู่ที่เมือง Shimabara ค่ะ เราออกเดินทางจากสถานี JR Nagasaki แต่เช้า โดย JR Kamome เพียงครึ่งชั่วโมง ก็ถึงสถานี Isahaya เพื่อต่อรถไฟ Local Train ไป Shimabara ซึ่งก็กินเวลาพอสมควร กว่าจะหาชานชลาและที่ซื้อตั๋วเจอ เพราะที่สถานีนี้มีแต่ห้องจำหน่ายตั๋วของ JR ( รถไฟสายนี้ใช้ JR Kyushu Pass ไม่ได้ )ส่วนรถไฟสายที่เราจะไปต้องซื้อตั๋วท้องถิ่นแยกต่างหาก และก็ให้น่าขำตรงที่ตู้จำหน่ายตั๋วที่แยกต่างหากนั้น ซ่อนตัวอยู่ซ้ายมือซึ่งเป็นทางเข้า-ออก ชานชลาที่ 1 มันซ่อนจริงๆ ค่ะ เพราะเราเดินเลยไป 2-3 รอบกว่าจะเจอ ( ตู้ตั้งอยู่ในซอกเล็ก ๆ เดินเร็วไป 2 step พลาดเลยค่ะ 555 ) เข้าใจว่าปริมาณผู้โดยสารไม่มากพอที่ JR จะมาลงแล้วคุ้ม
รอรถไฟที่ชานชาลาหมายเลข 1 สักพักไม่นานรถไฟขบวนสีเหลืองลายการ์ตูนความยาว 2 ตู้ก็เลื้อยช้าๆ เข้ามาจอดบนชานชลา ผู้โดยสารส่วนมากเป็นเด็กนักเรียนและคนแก่ มีคนทำงานเล็กน้อย รวมๆ ไม่น่าเกิน 20 คน ในขบวนรถไฟมีห้องน้ำเล็กๆ อยู่ตู้ที่ 2 เราขึ้นรถไฟมาพร้อมเสบียงเล็กน้อยพอชิลอย่างเช่นแซลมอนนิกิริและคาเฟ่ลาเต้เย็น ๆ สักกล่อง พอให้ได้คลาสสิคเบา ๆ บนรถไฟ จัดแจงหาที่เหมาะๆ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาเช้า รถไฟวิ่งลงใต้ ถ้านั่งฝั่งซ้ายจะได้วิวทะเลและได้แดดเป็นของแถม ส่วนฝั่งขวาจะไม่โดนแดดแต่ก็ไม่ได้วิวเช่นกัน รถไฟออกตัวจากสถานีได้บรรยากาศเหมือนรถไฟดีเซลรางบ้านเรา เสียงเหล็กกระทบกัน สลับกับเสียงหวูดเป็นระยะ ๆ ผู้โดยสารประปราย ให้อารมณ์โลโคลมากกกก ชิ๊ล ชิล เส้นทางรถไฟสาย slow life นี้ ( ตั้งเอง ) วิ่งเรียบอ่าว Shimabara เราจะได้เห็นนาข้าวเขียว ๆ ทุ่งหญ้าสวย ๆ สลับชายหาดเป็นระยะ ๆ เส้นทางรถไฟสายนี้ วิ่งตัดผ่านพื้นที่เกษตรกรรมและประมง ทำให้เราได้สัมผัสบรรยากาศชนบทญี่ปุ่น ความเป็นอยู่ท้องถิ่นในแบบที่เรียบง่าย เห็นการจัดการนาข้าว ดูแลตัดหญ้า ระบบส่งน้ำเข้านา ทำนาเหมือนดูแลสวนในบ้านที่พื้นที่กว้างหน่อย แอบเข้าใจเบา ๆ เลยว่ามิน่าหละ ข้าวที่คิวชูถึงอร่อย รสชาติดี ( อย่าเพิ่งเชื่อนะ ไปลองชิมเอง ) ทางรถไฟเป็นรางเดียวเวลารอรถสวนระหว่างสถานีเรายังสามารถลงไปเดินเล่นได้แพร็บๆ สัก 2-3 นาที พนักงานประจำรถไฟเองก็ลงมาสูบบุหรี่รอ เราเองก็เดินถ่ายรูปนู่นนี่ไป นั่งอินอารมณ์พักผ่อนไปเรื่อยราว ๆ หนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ พอรถไฟแล่นเข้าใกล้ถึงตัวเมือง Shimabara จะเห็นความเป็นสังคมอุตสาหกรรมมากขึ้น สังเกตจากมีอู่ต่อเรือ คลังสินค้า การประมงที่ดูเป็นอุตสาหกรรมมากขึ้น ( ดูจากขนาดเรือ ) รวม ๆ
เรามาลงรถไฟที่สถานี Shimabara Gaiko เพราะเราต้องเดินไปที่ Shimabara Port ก่อน ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันเดินแค่ ไม่เกิน 5 นาทีก็ถึง เพื่อที่จะฝากกระเป๋าสัมภาระไว้ แล้วค่อยไปดูปลาคาร์พ ที่ท่าเรือแห่งนี้มี Coin Locker อยู่ที่ชั้น 1 และก็ดูรอบเฟอร์รี่ไว้เป็นข้อมูลก่อน
Carp Stream อยู่ห่างจากท่าเรือแค่ 2 สถานีรถไฟ เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยเราก็นั่งรถไฟจากสถานี Shimabara Gaiko ย้อนกลับมาที่ สถานี Shimatetsuhonsha-Mae ออกจากสถานีเดินมาตามถนนสายหลักข้ามไปฝั่งขวาเดินผ่านหน้า Bus Terminal (สังเกตรถบัสจอดเยอะๆ) แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามถนนสุดลานจอดรถจะข้ามคลองเล็กๆ เห็นสี่แยกเล็กๆ ข้างหน้าเลี้ยวขวา มองเข้าไปจะเห็นสนามเด็กเล่นทางซ้ายมือก็เป็นอันถึง Carp Stream เราก็จะเริ่มเห็นลำรางน้ำที่มีปลาคาร์พว่างอยู่ตัวเดียวบ้าง เป็นกลุ่ม ๆ บ้าง ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 9 โมงเช้า แดดกำลังมา อารมณ์บริเวณนั้นคล้าย ๆ หมู่บ้าน เป็นซอย ๆ มีความเป็นชุมชน เงียบๆ สำหรับอยู่อาศัย จากคำบอกเล่าที่ได้ยินมาคือที่นี่เขาเลี้ยงปลาคาร์พในรางระบายน้ำ อันที่จริงมันเป็นน้ำจากแหล่งธรรมชาติ ความเร็วของสายน้ำที่ไหลเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำธรรมชาติ ( มันไม่ใช่น้ำขัง ) รางน้ำเหล่านี้จะถูกกั้นด้วยตะแกรงสแตนเลสเป็นระยะ ๆ เพื่อป้องกันปลาหลุดลงไปลำรางระบายน้ำใหญ่ ส่วนบ้านทั้ง 2 ฝั่งของถนนเล็ก ๆ ก็ตกแต่งหน้าบ้านด้วยสวนน้อยใหญ่ เรียกว่าไม่ยอมน้อยหน้ากันเลยทีเดียว
อีกสถานที่ที่หน้าสนใจของย่าน Carp Stream นี้ สำหรับนักท่องเที่ยว คือ Yusui Teien Shimeiso House เป็นของคุณป้า Koida ที่ใจดี เปิดบ้านให้ชมสวน และบ่อปลาคาร์พของแกฟรี ที่สำคัญคือเป็นบ้านที่มีตาน้ำผุดอยู่ในสวนหน้าบ้านเลย บ่อปลาคาร์พในบ้านคุณป้า ขนาดเกือบเท่าสนามตะกร้อ และห้องนั่งเล่นวิวเทพ ยกสูงมีเฉลียงยื่นไปในบ่อปลาคาร์พ แอบมโนไปว่า อยากปูเสื่อนอนอ่านหนังสือตรงนี้จังเลยอ่า ที่นี่มีกล่องเล็ก ๆ ตั้งอยู่ตรงมุมห้องหากเราต้องการจะช่วยอุดหนุนค่าน้ำค่าไฟสถานที่แห่งนี้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ทำได้ คุณป้าแต่งกิโมโนสวย ๆ ต้อนรับ เสิร์ฟชาร้อน และชี้ชวนให้เราไปนั่งห้อยขาชมสวน บรรยากาศดี คุณป้าดูภูมิใจกับสถานที่นี้มาก ๆ ไปแต่เช้า ๆ คนจะไม่เยอะ ถ้าฟังไม่ผิดคุณป้าเคยมาเที่ยวกรุงเทพฯ ด้วยเมื่อนานมาแล้ว ก่อนกลับคุณป้ายังถ่ายรูปให้เราอีก ต้องยอมรับว่าคุณป้าชำนาญในโลเคชั่นมาก ถ่ายรูปออกมาเปะปัง รู้มุม ตอนแรกที่คุณป้าบอกว่าจะถ่ายรูปให้เราก็แอบเกรงใจเบรา ๆ นะ เพราะคุณป้าเป็นผู้ใหญ่ แต่ด้วยความกระท่อนกระแท่นในภาษาญี่ปุ่นของเรา เราก็เลยตอบคุณป้าไปง่าย ๆ เลยว่า " โอเนไงอิตะชิมัส อาริงาโต้โกะไซอิมัส " แล้วยื่นกล้อง ๆ ไปสุดมือ โค้งอีกหนึ่งที 555 ( ตกลงเกรงใจเบอร์ไหนนะเนี่ย )
Shimabara แม้จะไม่ใช่เมืองใหญ่ แต่ก็มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ให้พูดถึง อย่างเรื่องกบฏ Shimabara ซึ่งมีต้นตอปัญหาแบบคลาสสิค เจ้าเมืองเก็บภาษีแพง จนเกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมมาก จึงเกิดการกบฎ มีทั้งโรนินและฝรั่งเข้าร่วมคือโปรตุเกสและสเปน ตอนหลังกบฏเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ดังนั้นฝรั่งที่เข้าร่วมอย่างโปรตุเกสและสเปนก็เลยโดนขับออกนอกประเทศ พอดีฮอลแลนด์เอาเรือมาช่วยฝ่ายรัฐปราบกบฏ เลยได้สิทธิพิเศษอยู่ต่อ ร่องรอยประวัติศาสตร์นี้ก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจให้ไปค้นหากันต่อในเชิงลึกหากใครสนใจนะคะ
Carp Stream เป็นถนนสายสั้นๆ ประมาณ 200 เมตร แต่ควรมีเวลาสัก ชม.ถึง ชม.ครึ่ง ในการเดินชม เสร็จจากจุดนี้ เราก็แวะไปที่ Yutorogi footbath ออนเซ็นเท้าฟรี! ไม่ไกลมาก เดินไปสุด Carp Stream ด้านทิศเหนือ (ทางที่เราบอกมาคือเข้าทางทิศใต้) เจอถนนเลี้ยวซ้ายเดินข้ามไป 2 สี่แยก ทางซ้ายมือจะเป็นลานจอดรถ จะมีศาลา ที่มีม่านปิด ที่นั้นจะเป็นออนเซ็นให้แช่เท้าได้ ใกล้ ๆ กัน มีตู้เครื่องดื่มให้หยอดเหรียญ เผื่อใครอยากได้เครื่องดื่มเพิ่มความฟิน
ใกล้เวลาเรือจะออกจาก Shimabara port พอดีเดินผ่านมาแถว ๆ Bus Terminal ข้างๆ จะเป็น Taxi Terminal เราเลยลองเดินเข้าไปถามคนขับดูว่าถ้าไปที่ท่าเรือค่าโดยสารจะประมาณเท่าไหร่ ลุงบอกว่าประมาณ 700 กว่าเยน เราก็จัดเลย นั่งไปสัก 5 นาทีก็ถึงท่าเรือ มีเวลารอเรือสบายๆ นั่งจิบเครื่องดื่มไปพลาง พร้อมเดินทางไป Kumamoto ต่อ..
ทุกวันนี้ Shimabara เป็นเมืองเงียบๆ ที่อยู่บนเนินภูเขาไฟ Unzen ซึ่งยังคงปะทุอยู่ ล้อมด้วยทะเล Amiake และอ่าว Shimabara รวม ๆ แล้วเป็นเมืองที่มีเสน่ห์แก่การไปเยี่ยมชม
ขอบคุณมาก ๆ นะคะ ติดตามเรื่องราวประสบการณ์ข้อมูลท่องเที่ยวเกี่ยวกับคิวชูของเราต่อได้ที่
คิวชูเท่าที่Guรู้จัก
https://www.facebook.com/kyushuasiknown/
[CR] ถนนสายปลาคาร์พแห่งชิมาบาระนางาซากิ
ส่วนตัวชอบดูปลาคาร์พ เป็นปลาที่มีสีสันสวยดี ไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับปลาคาร์พหรอกค่ะ รู้แต่ว่าชอบอย่างเดียว ความชอบจึงนำไปสู่การเดินทาง
เราเดินทางโดยใช้รถไฟท้องถิ่นในจังหวัดนางาซากิ สาย slow life ( มันสโลว์จริง ๆ น๊า ) จากสถานี Isahaya ไป Shimabaraต้องบอกก่อนว่าแผนการเดินทางหลักเราคือ จาก Nagasaki ไป Kumamoto โดยเฟอร์รี่ ข้ามอ่าวชิมาบาร่า ตัดเข้า Kumamoto Port สำหรับถนนสายปลาคาร์พ ( Carp Stream ) ที่ว่านี้อยู่ที่เมือง Shimabara ค่ะ เราออกเดินทางจากสถานี JR Nagasaki แต่เช้า โดย JR Kamome เพียงครึ่งชั่วโมง ก็ถึงสถานี Isahaya เพื่อต่อรถไฟ Local Train ไป Shimabara ซึ่งก็กินเวลาพอสมควร กว่าจะหาชานชลาและที่ซื้อตั๋วเจอ เพราะที่สถานีนี้มีแต่ห้องจำหน่ายตั๋วของ JR ( รถไฟสายนี้ใช้ JR Kyushu Pass ไม่ได้ )ส่วนรถไฟสายที่เราจะไปต้องซื้อตั๋วท้องถิ่นแยกต่างหาก และก็ให้น่าขำตรงที่ตู้จำหน่ายตั๋วที่แยกต่างหากนั้น ซ่อนตัวอยู่ซ้ายมือซึ่งเป็นทางเข้า-ออก ชานชลาที่ 1 มันซ่อนจริงๆ ค่ะ เพราะเราเดินเลยไป 2-3 รอบกว่าจะเจอ ( ตู้ตั้งอยู่ในซอกเล็ก ๆ เดินเร็วไป 2 step พลาดเลยค่ะ 555 ) เข้าใจว่าปริมาณผู้โดยสารไม่มากพอที่ JR จะมาลงแล้วคุ้ม
รอรถไฟที่ชานชาลาหมายเลข 1 สักพักไม่นานรถไฟขบวนสีเหลืองลายการ์ตูนความยาว 2 ตู้ก็เลื้อยช้าๆ เข้ามาจอดบนชานชลา ผู้โดยสารส่วนมากเป็นเด็กนักเรียนและคนแก่ มีคนทำงานเล็กน้อย รวมๆ ไม่น่าเกิน 20 คน ในขบวนรถไฟมีห้องน้ำเล็กๆ อยู่ตู้ที่ 2 เราขึ้นรถไฟมาพร้อมเสบียงเล็กน้อยพอชิลอย่างเช่นแซลมอนนิกิริและคาเฟ่ลาเต้เย็น ๆ สักกล่อง พอให้ได้คลาสสิคเบา ๆ บนรถไฟ จัดแจงหาที่เหมาะๆ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาเช้า รถไฟวิ่งลงใต้ ถ้านั่งฝั่งซ้ายจะได้วิวทะเลและได้แดดเป็นของแถม ส่วนฝั่งขวาจะไม่โดนแดดแต่ก็ไม่ได้วิวเช่นกัน รถไฟออกตัวจากสถานีได้บรรยากาศเหมือนรถไฟดีเซลรางบ้านเรา เสียงเหล็กกระทบกัน สลับกับเสียงหวูดเป็นระยะ ๆ ผู้โดยสารประปราย ให้อารมณ์โลโคลมากกกก ชิ๊ล ชิล เส้นทางรถไฟสาย slow life นี้ ( ตั้งเอง ) วิ่งเรียบอ่าว Shimabara เราจะได้เห็นนาข้าวเขียว ๆ ทุ่งหญ้าสวย ๆ สลับชายหาดเป็นระยะ ๆ เส้นทางรถไฟสายนี้ วิ่งตัดผ่านพื้นที่เกษตรกรรมและประมง ทำให้เราได้สัมผัสบรรยากาศชนบทญี่ปุ่น ความเป็นอยู่ท้องถิ่นในแบบที่เรียบง่าย เห็นการจัดการนาข้าว ดูแลตัดหญ้า ระบบส่งน้ำเข้านา ทำนาเหมือนดูแลสวนในบ้านที่พื้นที่กว้างหน่อย แอบเข้าใจเบา ๆ เลยว่ามิน่าหละ ข้าวที่คิวชูถึงอร่อย รสชาติดี ( อย่าเพิ่งเชื่อนะ ไปลองชิมเอง ) ทางรถไฟเป็นรางเดียวเวลารอรถสวนระหว่างสถานีเรายังสามารถลงไปเดินเล่นได้แพร็บๆ สัก 2-3 นาที พนักงานประจำรถไฟเองก็ลงมาสูบบุหรี่รอ เราเองก็เดินถ่ายรูปนู่นนี่ไป นั่งอินอารมณ์พักผ่อนไปเรื่อยราว ๆ หนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ พอรถไฟแล่นเข้าใกล้ถึงตัวเมือง Shimabara จะเห็นความเป็นสังคมอุตสาหกรรมมากขึ้น สังเกตจากมีอู่ต่อเรือ คลังสินค้า การประมงที่ดูเป็นอุตสาหกรรมมากขึ้น ( ดูจากขนาดเรือ ) รวม ๆ
เรามาลงรถไฟที่สถานี Shimabara Gaiko เพราะเราต้องเดินไปที่ Shimabara Port ก่อน ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันเดินแค่ ไม่เกิน 5 นาทีก็ถึง เพื่อที่จะฝากกระเป๋าสัมภาระไว้ แล้วค่อยไปดูปลาคาร์พ ที่ท่าเรือแห่งนี้มี Coin Locker อยู่ที่ชั้น 1 และก็ดูรอบเฟอร์รี่ไว้เป็นข้อมูลก่อน
Carp Stream อยู่ห่างจากท่าเรือแค่ 2 สถานีรถไฟ เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยเราก็นั่งรถไฟจากสถานี Shimabara Gaiko ย้อนกลับมาที่ สถานี Shimatetsuhonsha-Mae ออกจากสถานีเดินมาตามถนนสายหลักข้ามไปฝั่งขวาเดินผ่านหน้า Bus Terminal (สังเกตรถบัสจอดเยอะๆ) แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามถนนสุดลานจอดรถจะข้ามคลองเล็กๆ เห็นสี่แยกเล็กๆ ข้างหน้าเลี้ยวขวา มองเข้าไปจะเห็นสนามเด็กเล่นทางซ้ายมือก็เป็นอันถึง Carp Stream เราก็จะเริ่มเห็นลำรางน้ำที่มีปลาคาร์พว่างอยู่ตัวเดียวบ้าง เป็นกลุ่ม ๆ บ้าง ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 9 โมงเช้า แดดกำลังมา อารมณ์บริเวณนั้นคล้าย ๆ หมู่บ้าน เป็นซอย ๆ มีความเป็นชุมชน เงียบๆ สำหรับอยู่อาศัย จากคำบอกเล่าที่ได้ยินมาคือที่นี่เขาเลี้ยงปลาคาร์พในรางระบายน้ำ อันที่จริงมันเป็นน้ำจากแหล่งธรรมชาติ ความเร็วของสายน้ำที่ไหลเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำธรรมชาติ ( มันไม่ใช่น้ำขัง ) รางน้ำเหล่านี้จะถูกกั้นด้วยตะแกรงสแตนเลสเป็นระยะ ๆ เพื่อป้องกันปลาหลุดลงไปลำรางระบายน้ำใหญ่ ส่วนบ้านทั้ง 2 ฝั่งของถนนเล็ก ๆ ก็ตกแต่งหน้าบ้านด้วยสวนน้อยใหญ่ เรียกว่าไม่ยอมน้อยหน้ากันเลยทีเดียว
อีกสถานที่ที่หน้าสนใจของย่าน Carp Stream นี้ สำหรับนักท่องเที่ยว คือ Yusui Teien Shimeiso House เป็นของคุณป้า Koida ที่ใจดี เปิดบ้านให้ชมสวน และบ่อปลาคาร์พของแกฟรี ที่สำคัญคือเป็นบ้านที่มีตาน้ำผุดอยู่ในสวนหน้าบ้านเลย บ่อปลาคาร์พในบ้านคุณป้า ขนาดเกือบเท่าสนามตะกร้อ และห้องนั่งเล่นวิวเทพ ยกสูงมีเฉลียงยื่นไปในบ่อปลาคาร์พ แอบมโนไปว่า อยากปูเสื่อนอนอ่านหนังสือตรงนี้จังเลยอ่า ที่นี่มีกล่องเล็ก ๆ ตั้งอยู่ตรงมุมห้องหากเราต้องการจะช่วยอุดหนุนค่าน้ำค่าไฟสถานที่แห่งนี้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ทำได้ คุณป้าแต่งกิโมโนสวย ๆ ต้อนรับ เสิร์ฟชาร้อน และชี้ชวนให้เราไปนั่งห้อยขาชมสวน บรรยากาศดี คุณป้าดูภูมิใจกับสถานที่นี้มาก ๆ ไปแต่เช้า ๆ คนจะไม่เยอะ ถ้าฟังไม่ผิดคุณป้าเคยมาเที่ยวกรุงเทพฯ ด้วยเมื่อนานมาแล้ว ก่อนกลับคุณป้ายังถ่ายรูปให้เราอีก ต้องยอมรับว่าคุณป้าชำนาญในโลเคชั่นมาก ถ่ายรูปออกมาเปะปัง รู้มุม ตอนแรกที่คุณป้าบอกว่าจะถ่ายรูปให้เราก็แอบเกรงใจเบรา ๆ นะ เพราะคุณป้าเป็นผู้ใหญ่ แต่ด้วยความกระท่อนกระแท่นในภาษาญี่ปุ่นของเรา เราก็เลยตอบคุณป้าไปง่าย ๆ เลยว่า " โอเนไงอิตะชิมัส อาริงาโต้โกะไซอิมัส " แล้วยื่นกล้อง ๆ ไปสุดมือ โค้งอีกหนึ่งที 555 ( ตกลงเกรงใจเบอร์ไหนนะเนี่ย )
Shimabara แม้จะไม่ใช่เมืองใหญ่ แต่ก็มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ให้พูดถึง อย่างเรื่องกบฏ Shimabara ซึ่งมีต้นตอปัญหาแบบคลาสสิค เจ้าเมืองเก็บภาษีแพง จนเกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมมาก จึงเกิดการกบฎ มีทั้งโรนินและฝรั่งเข้าร่วมคือโปรตุเกสและสเปน ตอนหลังกบฏเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ดังนั้นฝรั่งที่เข้าร่วมอย่างโปรตุเกสและสเปนก็เลยโดนขับออกนอกประเทศ พอดีฮอลแลนด์เอาเรือมาช่วยฝ่ายรัฐปราบกบฏ เลยได้สิทธิพิเศษอยู่ต่อ ร่องรอยประวัติศาสตร์นี้ก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจให้ไปค้นหากันต่อในเชิงลึกหากใครสนใจนะคะ
Carp Stream เป็นถนนสายสั้นๆ ประมาณ 200 เมตร แต่ควรมีเวลาสัก ชม.ถึง ชม.ครึ่ง ในการเดินชม เสร็จจากจุดนี้ เราก็แวะไปที่ Yutorogi footbath ออนเซ็นเท้าฟรี! ไม่ไกลมาก เดินไปสุด Carp Stream ด้านทิศเหนือ (ทางที่เราบอกมาคือเข้าทางทิศใต้) เจอถนนเลี้ยวซ้ายเดินข้ามไป 2 สี่แยก ทางซ้ายมือจะเป็นลานจอดรถ จะมีศาลา ที่มีม่านปิด ที่นั้นจะเป็นออนเซ็นให้แช่เท้าได้ ใกล้ ๆ กัน มีตู้เครื่องดื่มให้หยอดเหรียญ เผื่อใครอยากได้เครื่องดื่มเพิ่มความฟิน
ใกล้เวลาเรือจะออกจาก Shimabara port พอดีเดินผ่านมาแถว ๆ Bus Terminal ข้างๆ จะเป็น Taxi Terminal เราเลยลองเดินเข้าไปถามคนขับดูว่าถ้าไปที่ท่าเรือค่าโดยสารจะประมาณเท่าไหร่ ลุงบอกว่าประมาณ 700 กว่าเยน เราก็จัดเลย นั่งไปสัก 5 นาทีก็ถึงท่าเรือ มีเวลารอเรือสบายๆ นั่งจิบเครื่องดื่มไปพลาง พร้อมเดินทางไป Kumamoto ต่อ..
ทุกวันนี้ Shimabara เป็นเมืองเงียบๆ ที่อยู่บนเนินภูเขาไฟ Unzen ซึ่งยังคงปะทุอยู่ ล้อมด้วยทะเล Amiake และอ่าว Shimabara รวม ๆ แล้วเป็นเมืองที่มีเสน่ห์แก่การไปเยี่ยมชม
ขอบคุณมาก ๆ นะคะ ติดตามเรื่องราวประสบการณ์ข้อมูลท่องเที่ยวเกี่ยวกับคิวชูของเราต่อได้ที่
คิวชูเท่าที่Guรู้จัก https://www.facebook.com/kyushuasiknown/