ถ้าช่วงนี้ งานเข้า ทำอะไรก็ผิด ไม่เข้าตานาย ...
กลับบ้านมาประตูหนีบมือ ตกบันได สารพัดจะโชคร้าย แถมหุ้นที่ซื้อไว้ก็ดิ่งลงเหว
หลาย ๆ คนก็คงจะอยากไปทำบุญ เสริมสิริมงคล ไล่เคราะห์ ไล่ทุกข์ บอกลาโชคร้ายต่าง ๆ
และที่เรามักจะนึกถึงกันมากที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ
ต้องไปทำบุญ 9 วัด
แว้บแรกที่เข้ามาในหัวคงจะไม่พ้นจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่นั่นวัดเยอะ หรือไม่ก็เส้นทางไหว้พระ 9 วัดรอบเกาะรัตนโกสินทร์
แต่ๆๆๆๆๆ
สำหรับเรา....... ไม่ชอบคนเยอะ ไม่อยากเจอรถติด อยากไปแบบชิว ๆ เงียบ ๆ สงบ ๆ เลยทำให้เรานึกถึงจังหวัดใกล้ ๆ ...
“สุพรรณบุรี” บ้านเกิดของเรานี่เอง จังหวัดที่มีวัดไม่น้อยกว่าจังหวัดไหน ๆ
ว่าแล้วก็หาแนวร่วม หาวันว่าง และหาข้อมูล
สุดท้าย ก็เกิดทริปนี้
“ทริปสายบุญ ไหว้พระ 9 วัด อ่างทอง-สุพรรณฯ”
(ขอแอบแถมจ.อ่างทองไปด้วยนิดนึง หุ หุ)
รวบรวมแนวร่วมได้ 5 ชีวิต
(3 ชีวิต น่าจะชะตาเดี่ยวกัน แต่อีกหนึ่งคือเจ้าลูกชายที่โดนบังคับให้มา555)
เริ่มออกเดินทางกันแต่เช้า ตั้งใจแน่วแน่ ต้องครบ 9 วัด
แวะซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งหน้าปากซอย กองทัพเดินด้วยท้องนี่นา
เราใช้เส้นทางวงแหวนกาญจนภิเษก ทางหลวงหมายเลข 9 (บ้านเราอยู่แถวสุขาฯ 3) วัดแรกที่เราจะไปคือ วัดม่วง อ.วิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง
เส้นทางก็เปิด Google Map แล้วขับตามเลยค่ะ ไม่ยาก จากบ้านเราไปวัดม่วง ประมาณ 120 กม. ใช้เวลาก็ประมาณ ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น
เช้าวันเสาร์รถไม่ติด ขับแบบโล่ง ๆ เลยค่ะ
พอเริ่มออกกจากกรุงเทพ เข้าเขตอยุธยา 2 ข้างทางจะเป็นนาข้าวเขียว ๆ มองแล้วสบายตาจังเลยค่ะ
แวะอเมซอนเติมคาเฟอีนนิดนึง เดี๋ยวจะง่วง เพราะตื่นเช้ากว่าปกติ
ขับไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องรีบ ประมาณ 9 โมง เราก็มาถึงแล้วค่ะ
"วัดม่วง" มีป้ายบอกทางชัดเจน ไม่ต้องกลัวหลง และที่สำคัญเราจะมองเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาก เด่นเป็นสง่าอยู่กลางทุ่งกว้าง แบบนี้เลยค่ะ
วัดนี้มีที่จอดรถกว้างขวาง มาถึงแต่เช้า คนก็ยังไม่เยอะ ไปไหว้พระกันเลยค่ะ
หลวงพ่อใหญ่
“พระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ” พระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดหน้าตักกว้าง 63 เมตร สูง 95 เมตร ใหญ่โต และสวยงามจริง ๆ ค่ะ
เขาบอกต่อ ๆ กันมาว่า....พื่อความเป็นสิริมงคล ให้อธิษฐานจิตขอพรโดยใช้ 2 มือสัมผัสที่ปลายนิ้วกลางขององค์หลวงพ่อ แล้วตั้งใจขอในสิ่งที่ดี แล้วจะได้รับผลสำเร็จสมตามใจปรารถนา แบบนี้.....
ภายในวัดม่วงยังมีการจำลองนรก สวรรค์ ชี้ให้เห็น บาป บุญ คุณ โทษ เอาไว้สอนเด็ก ๆ ได้ด้วยนะคะ
จากวัดม่วงเราจะไป “วัดขุนอินทประมูล” อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง วัดนี้มีจุดเด่นอยู่ที่เป็นวัดที่ประดิษฐาน พระนอน ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย
แค่ 12 กม. จากวัดม่วงเท่านั้น แต่ถนนจะเล็ก ๆ หน่อย เพราะเราเลือกไปตาม Local road รถไม่เยอะ แล้วไปตัดเข้าเส้นหลัก ก่อนที่จะเลี้ยวเข้าถนนที่แยกเข้าไปวัด อีกประมาณ 2 กม.
ภายในบริเวณวัดขุนอินทประมูลยังมีซากโบราณสถาน วิหารหลวงพ่อขาว ซึ่งเหลือเพียงฐาน ผนังบางส่วนและองค์พระพุทธรูป
วันนี้แดดแรง ต้องไหว้พระกลางแดด ก็จะร้อน ๆ หน่อยนะคะ ตอนที่เราไหว้พระ ก็ประมาณ 11 โมง แดดกำลังดีเลยค่ะ
วัดนี้นอกจากพระพุทธรูปและซากโบราณสถานที่น่าสนใจแล้ว ยังมีโบสถ์ไฮเทคที่มีทั้งลิฟต์และบันไดเลื่อน
เราไม่ได้เดินเข้าไปดูโบสถ์นะคะ ต้องเดินไปทางด้านหลังของพระนอน
กลัวเก็บไม่ครบ 9วัด ไหว้พระเสร็จเลยรีบออกเดินทางต่อ
จากวัดขุนอินทประมูล คราวนี้เราจะมุ่งหน้าไปจ.สุพรรณบุรี กันแล้วค่ะ จากอ่างทองไปสุพรรณฯ ไม่ต้องใช้ Google Map แล้ว ถิ่นเรา ขับสบายๆ
มุ่งหน้าจากอ่างทอง ไปบ้านโพธิ์พระยา ระยะทางประมาณ 40 กม. เท่านั้น ถนนโล่ง ๆ ขับแป๊บเดียวก็ถึง วัดที่เราจะไปอยู่บนถนนสายเก่า สุพรรณบุรี-บ้านโพธิ์พระยา ชื่อว่า
“วัดวรจันทร์”
เล่ากันว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อน บริเวณวัดนี้เป็นค่ายพักทหารของกองทัพสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และเป็นที่ฝังศพเชลยพม่าจำนวนนับไม่ถ้วน...
วัดนี้เงียบมาก ๆ ตอนไปถึง มีแค่พวกเรา 5 คนเท่านั้น ที่มาไหว้พระ พอนึกถึงเรื่องเล่าที่บอกไป ขนลุกซู่เลยค่ะ รีบไหว้พระ รีบถ่ายรูป แล้วไปต่อดีกว่า
(ในวัดมีเรือโบราณจัดแสดงไว้ด้วยนะ มีเวลาก็แวะดูได้ แล้วด้านหลังวัดที่ติดแม่น้ำก็มีอุทยานมัจฉา ให้อาหารปลากันก่อนได้นะ
ฝั่งตรงข้ามวัดวรจันทร์ มีสะพานข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดพร้าวและสถานฝึกจิตตภาวนา จันทสุวรรณเทพ ให้ถือศีล ปฏิบัติธรรมและบวชเนกขัมมะ ใครสนใจสามารถไปปฎิบัติธรรมได้ เราก็เคยไปหลายครั้งแล้ว จะไปแบบเช้าเย็นกลับ หรือค้างคืนก็ได้ค่ะ)
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง กองทัพเราก็เช่นกัน แวะทานอาหารกลางวันที่ร้าน ก๋วยเตี๋ยวเดินดง อยู่ในตัวเมืองสุพรรณ ใกล้ ๆ กับหอคอยบรรหาร-แจ่มใส หาที่จอดรถริมถนนแหละ ถ้าคนเยอะที่จอดอาจจะไกลหน่อย ด้วยความหิว เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา
หน้าร้านมีกล้วยทับอร่อย ๆ ขายด้วย
(อาจจะไม่ได้ลงการเดินทางละเอียดมาก หาได้ไม่ยากค่ะ google map และข้อมูลในเน็ต ช่วยได้ค่ะ)
หนังท้องตึง หนังตาหย่อน เอ้ย ไม่ใช่ ๆ ท้องอิ่มแล้วต้องมีแรง ไปกันต่อค่ะ ;) คราวนี้เรามุ่งหน้าไปถนนสมภารคง (ถนนสาย 3507) เป็นถนนสายเล็กๆ ที่เลียบขนานไปกับแม่น้ำท่าจีน ถนนสายนี้มีวัดเยอะมากค่ะ จริง ๆ มาที่นี่ที่เดียวครบ 9 วัดได้เลยนะคะ
(บางวัดก็จะเงียบ ๆ หน่อยนะ)
วัดพระศรีมหาธาตุ วัดแค วัดสารภี วัดพระลอย วัดหน่อพุธางกูล วัดพระนอน วัดพิหารแดง วัดวีสุขเกษม วัดสว่างอารมณ์ แต่เราเลือกเป็นบางวัดเท่านั้น
ขับไปเรื่อย ๆ ไม่ไกล จะเห็นมังกรสวรรค์อยู่ทางขวามือ กลับรถเลยค่ะ
แล้วก็มองหาป้ายสีน้ำเงินที่เขียนว่าเส้นทางมหามงคล มีชื่อวัดเรียงกันเป็นตับ 9 วัด ชัดเจน เลี้ยวเข้าไปเลยค่ะ
(รูปนี้จาก Google Map)
แค่นิดเดียวก็เจอแล้ว “วัดพระศรีมหาธาตุ” วัดนี้โด่งดังเรื่องพระผงสุพรรณ หนึ่งในเบญจภาคี 5 พระเครื่องยอดนิยม
วัดนี้อารมณ์คล้าย ๆ กับวัดที่อยุธยานะคะ มีซากปรักหัหพัง เจดีย์์โบราณ ดูขลังดี
ไปต่อดีกว่าค่ะ วัดที่ 5 "วัดแค" คุ้มขุนแผน พูดถึงขุนแผนคงจะรู้จักกันดีนะคะ ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้แบบตัวพ่อเลยทีเดียว
ออกจากวัดวัดพระศรีมหาธาตุ เลี้ยวซ้ายมา ประมาณ 1 กม. วัดแคจะอยู่ทางขวามือ
เลี้ยวเข้าไปเลย มีที่จอดรถให้ในวัดทั้งลานด้านหน้าและข้างโบสถ์
เราไหว้พระที่วิหารพระพุทธมงคลก่อนค่ะ อยู่ข้าง ๆ โบสถ์ เสร็จแล้วก็ไปเดินดูรอบ ๆ วัด วัดนี้มีอะไรๆ น่าสนใจหลายอย่างเลย
เริ่มตั้งแต่ร้านกาแฟ “ต่อบุญ” ที่อยู่ใกล้ ๆ กับพระยาต่อยักษ์ ร้านน่ารัก นั่งชิล ๆ ดับร้อน
วนออกมาด้านหน้า จะมีที่ให้ไหว้พระราหูด้วยค่ะ ไหว้เสร็จ เราก็เดินไป Hi-light ของวัด “คุ้มขุนแผน” ค่ะ
ภายในคุ้มร่มรื่นมาก ด้านหน้ามีต้นมะขามยักษ์ เด่นเป็นสง่าเลย
คุ้มขุนแผนอาจจะดูไม่อลังการเท่าคุ้มขุนช้าง
(ตั้งอยู่ที่วัดป่าเลไลยก์) นะคะ ตามเนื้อเรื่องแล้วขุนแผนไม่ร่ำรวยเท่าขุนช้าง คุ้มเลยเล็กกว่าเป็นธรรมดาค่ะ
ดูข้างในคุ้มกันดีกว่าค่ะ ห้องครัว
ห้องนอน
(ของนางพิม รึเปล่า ไม่แน่ใจค่ะ) ใช้เวลาไม่นานก็ทั่วแล้ว
ได้เวลาไปต่อ
ออกจากวัดแค เลี้ยวไปทางขวานะคะ จุดหมายคือ
“วัดสารภี” วัดที่ 6
มาถึงก็เข้าสู่โหมด เงียบ สงบ ต่ะ มีแค่เจ้าหน้าที่ของวัดเท่านั้น เราเข้าไปสักการะพระพุทธมุนีศรีมงคล หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าหลวงพ่อใหญ่ พระพุทธรูปอายุกว่า 100 ปี ที่ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์
วัดนี้มีให้ลอดท้องช้างเอราวัณด้วยนะคะ เป็นสิริมงคล ทำกิจการค้าขายร่ำรวย มั่นคง อายุยืนนาน
ลืมบอกไปว่าจากวัดแคมาแค่ 700 เมตรเท่านั้นเองค่ะ เปิดแอร์ยังไม่ทันเย็นเลย ถึงแล้ว
ไปวัดที่ 7 กันต่อเลยค่ะ
“วัดพระลอย” เลยวัดสารภีมาไม่ไกล ไม่ถึง 2 กม. ก็จะเจอกับวัดพระลอย ลานจอดรถกว้างขวางมากค่ะ วัดนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน มีอุทยานมัจฉาที่สามารถลงไปให้อาหารปลาได้ด้วยนะคะ แต่เราไม่ได้ลงไป เพราะตั้งใจว่า เดี๋ยวจะไปให้อาหารปลาที่วัดต่อไปค่ะ
วัดพระลอย ตั้งชื่อตามเรื่องเล่ากันต่อๆ มาว่า มีพระพุทธรูปเก่าแก่เนื้อหินทรายปางนาคปรก ลอยน้ำมาที่ท่าน้ำ จึงได้ทำการอาราธนา อัญเชิญขึ้นประดิษฐาน ณ วัดแห่งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้กราบไหว้สักการะพระลอย ลอยเคราะห์ ลอยโศก เพื่อความเป็นสิริมงคล
ขึ้นรถเลย ไปวัดที่ 8 กัน
เหมือนเดิมค่ะ ยังไม่ทันตั้งตัว ถึงซะแล้ว
“วัดพระนอน” วัดนี้อยู่ติดกับแม่น้ำท่าจีนเหมือนวัดพระลอย
(2 วัดนี้คล้ายกันมากนะคะ ทั้งชื่อ ทั้งที่ตั้ง และก็มีอุทยานมัจฉาเหมือนกันด้วย)
บริเวณวัดร่มรื่นสวยงาม จุดเด่นของวัดนี้คือมีวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์สลักจากหิน มีพระพุทธรูปนอนหงายขนาดเท่าคนโบราณ ยาวประมาณ 2 เมตร
(คล้ายกับพระนอนที่เมืองกุสินารา ประเทศอินเดีย สถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า) วัดนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยว Unseen Thailand ด้วยค่ะ
ไหว้พระในโบสถ์แล้ว ก็ขอไปให้อาหารปลาซะหน่อย
ปลาเยอะมาก ๆ จริง ๆ เวลาโยนอาหารลงไประวังด้วยนะ อย่าโยนไปทีเดียวเยอะ ๆ ปลามันกระโดดพร้อมกันน้ำกระจาย เดี๋ยวจะเปียกเหมือนเจ้าลูกชาย 555
วัดสุดท้ายแล้วนะคะ เราย้อนกลับมาทางเดิม ออกจากถนนสาย 3507 แล้ว ก็หาจุดกลับรถ เพื่อมุ่งหน้าไปวัดสุดท้ายของทริปนี้
“วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร” วัดดังของจ.สุพรรณบุรี ถ้าไม่มาวัดนี้ก็เหมือนมาไม่ถึงสุพรรณฯ ค่ะ
ขับมาไม่นานก็จะเห็นวิหารหลวงพ่อโต ตั้งเด่นเป็นสง่ามาแต่ไกลเลย
เลี้ยวเข้าไปหาที่จอดรถเลย เราชอบไปจอดด้านหลัง ใกล้ ๆ กับห้องน้ำด้านหลังโบสถ์ แล้วเดินเข้าทางด้านหลังค่ะ
มาถึงก็บายแก่ ๆ แล้ว คนเลยไม่เยอะ ปิดทองด้านนอกแล้วเข้าไปกราบหลวงพ่อโต พระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ในวิหารกัน
หลวงพ่อโต มีความสูงถึง 23.47 เมตร เลยนะคะ
[CR] ไหว้พระ 9 วัด อ่างทอง – สุพรรณบุรี....ทริปสายบุญ
กลับบ้านมาประตูหนีบมือ ตกบันได สารพัดจะโชคร้าย แถมหุ้นที่ซื้อไว้ก็ดิ่งลงเหว
หลาย ๆ คนก็คงจะอยากไปทำบุญ เสริมสิริมงคล ไล่เคราะห์ ไล่ทุกข์ บอกลาโชคร้ายต่าง ๆ
และที่เรามักจะนึกถึงกันมากที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ ต้องไปทำบุญ 9 วัด
แว้บแรกที่เข้ามาในหัวคงจะไม่พ้นจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่นั่นวัดเยอะ หรือไม่ก็เส้นทางไหว้พระ 9 วัดรอบเกาะรัตนโกสินทร์
แต่ๆๆๆๆๆ
สำหรับเรา....... ไม่ชอบคนเยอะ ไม่อยากเจอรถติด อยากไปแบบชิว ๆ เงียบ ๆ สงบ ๆ เลยทำให้เรานึกถึงจังหวัดใกล้ ๆ ...
“สุพรรณบุรี” บ้านเกิดของเรานี่เอง จังหวัดที่มีวัดไม่น้อยกว่าจังหวัดไหน ๆ
ว่าแล้วก็หาแนวร่วม หาวันว่าง และหาข้อมูล
สุดท้าย ก็เกิดทริปนี้ “ทริปสายบุญ ไหว้พระ 9 วัด อ่างทอง-สุพรรณฯ”
(ขอแอบแถมจ.อ่างทองไปด้วยนิดนึง หุ หุ)
รวบรวมแนวร่วมได้ 5 ชีวิต (3 ชีวิต น่าจะชะตาเดี่ยวกัน แต่อีกหนึ่งคือเจ้าลูกชายที่โดนบังคับให้มา555)
เริ่มออกเดินทางกันแต่เช้า ตั้งใจแน่วแน่ ต้องครบ 9 วัด
แวะซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งหน้าปากซอย กองทัพเดินด้วยท้องนี่นา
เราใช้เส้นทางวงแหวนกาญจนภิเษก ทางหลวงหมายเลข 9 (บ้านเราอยู่แถวสุขาฯ 3) วัดแรกที่เราจะไปคือ วัดม่วง อ.วิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง
เส้นทางก็เปิด Google Map แล้วขับตามเลยค่ะ ไม่ยาก จากบ้านเราไปวัดม่วง ประมาณ 120 กม. ใช้เวลาก็ประมาณ ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น
เช้าวันเสาร์รถไม่ติด ขับแบบโล่ง ๆ เลยค่ะ
พอเริ่มออกกจากกรุงเทพ เข้าเขตอยุธยา 2 ข้างทางจะเป็นนาข้าวเขียว ๆ มองแล้วสบายตาจังเลยค่ะ
แวะอเมซอนเติมคาเฟอีนนิดนึง เดี๋ยวจะง่วง เพราะตื่นเช้ากว่าปกติ
ขับไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องรีบ ประมาณ 9 โมง เราก็มาถึงแล้วค่ะ "วัดม่วง" มีป้ายบอกทางชัดเจน ไม่ต้องกลัวหลง และที่สำคัญเราจะมองเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาก เด่นเป็นสง่าอยู่กลางทุ่งกว้าง แบบนี้เลยค่ะ
วัดนี้มีที่จอดรถกว้างขวาง มาถึงแต่เช้า คนก็ยังไม่เยอะ ไปไหว้พระกันเลยค่ะ
หลวงพ่อใหญ่ “พระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ” พระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดหน้าตักกว้าง 63 เมตร สูง 95 เมตร ใหญ่โต และสวยงามจริง ๆ ค่ะ
เขาบอกต่อ ๆ กันมาว่า....พื่อความเป็นสิริมงคล ให้อธิษฐานจิตขอพรโดยใช้ 2 มือสัมผัสที่ปลายนิ้วกลางขององค์หลวงพ่อ แล้วตั้งใจขอในสิ่งที่ดี แล้วจะได้รับผลสำเร็จสมตามใจปรารถนา แบบนี้.....
ภายในวัดม่วงยังมีการจำลองนรก สวรรค์ ชี้ให้เห็น บาป บุญ คุณ โทษ เอาไว้สอนเด็ก ๆ ได้ด้วยนะคะ
จากวัดม่วงเราจะไป “วัดขุนอินทประมูล” อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง วัดนี้มีจุดเด่นอยู่ที่เป็นวัดที่ประดิษฐาน พระนอน ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย
แค่ 12 กม. จากวัดม่วงเท่านั้น แต่ถนนจะเล็ก ๆ หน่อย เพราะเราเลือกไปตาม Local road รถไม่เยอะ แล้วไปตัดเข้าเส้นหลัก ก่อนที่จะเลี้ยวเข้าถนนที่แยกเข้าไปวัด อีกประมาณ 2 กม.
ภายในบริเวณวัดขุนอินทประมูลยังมีซากโบราณสถาน วิหารหลวงพ่อขาว ซึ่งเหลือเพียงฐาน ผนังบางส่วนและองค์พระพุทธรูป
วันนี้แดดแรง ต้องไหว้พระกลางแดด ก็จะร้อน ๆ หน่อยนะคะ ตอนที่เราไหว้พระ ก็ประมาณ 11 โมง แดดกำลังดีเลยค่ะ
วัดนี้นอกจากพระพุทธรูปและซากโบราณสถานที่น่าสนใจแล้ว ยังมีโบสถ์ไฮเทคที่มีทั้งลิฟต์และบันไดเลื่อน
เราไม่ได้เดินเข้าไปดูโบสถ์นะคะ ต้องเดินไปทางด้านหลังของพระนอน
กลัวเก็บไม่ครบ 9วัด ไหว้พระเสร็จเลยรีบออกเดินทางต่อ
จากวัดขุนอินทประมูล คราวนี้เราจะมุ่งหน้าไปจ.สุพรรณบุรี กันแล้วค่ะ จากอ่างทองไปสุพรรณฯ ไม่ต้องใช้ Google Map แล้ว ถิ่นเรา ขับสบายๆ
มุ่งหน้าจากอ่างทอง ไปบ้านโพธิ์พระยา ระยะทางประมาณ 40 กม. เท่านั้น ถนนโล่ง ๆ ขับแป๊บเดียวก็ถึง วัดที่เราจะไปอยู่บนถนนสายเก่า สุพรรณบุรี-บ้านโพธิ์พระยา ชื่อว่า “วัดวรจันทร์”
เล่ากันว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อน บริเวณวัดนี้เป็นค่ายพักทหารของกองทัพสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และเป็นที่ฝังศพเชลยพม่าจำนวนนับไม่ถ้วน...
วัดนี้เงียบมาก ๆ ตอนไปถึง มีแค่พวกเรา 5 คนเท่านั้น ที่มาไหว้พระ พอนึกถึงเรื่องเล่าที่บอกไป ขนลุกซู่เลยค่ะ รีบไหว้พระ รีบถ่ายรูป แล้วไปต่อดีกว่า
(ในวัดมีเรือโบราณจัดแสดงไว้ด้วยนะ มีเวลาก็แวะดูได้ แล้วด้านหลังวัดที่ติดแม่น้ำก็มีอุทยานมัจฉา ให้อาหารปลากันก่อนได้นะ
ฝั่งตรงข้ามวัดวรจันทร์ มีสะพานข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดพร้าวและสถานฝึกจิตตภาวนา จันทสุวรรณเทพ ให้ถือศีล ปฏิบัติธรรมและบวชเนกขัมมะ ใครสนใจสามารถไปปฎิบัติธรรมได้ เราก็เคยไปหลายครั้งแล้ว จะไปแบบเช้าเย็นกลับ หรือค้างคืนก็ได้ค่ะ)
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง กองทัพเราก็เช่นกัน แวะทานอาหารกลางวันที่ร้าน ก๋วยเตี๋ยวเดินดง อยู่ในตัวเมืองสุพรรณ ใกล้ ๆ กับหอคอยบรรหาร-แจ่มใส หาที่จอดรถริมถนนแหละ ถ้าคนเยอะที่จอดอาจจะไกลหน่อย ด้วยความหิว เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา
หน้าร้านมีกล้วยทับอร่อย ๆ ขายด้วย
(อาจจะไม่ได้ลงการเดินทางละเอียดมาก หาได้ไม่ยากค่ะ google map และข้อมูลในเน็ต ช่วยได้ค่ะ)
หนังท้องตึง หนังตาหย่อน เอ้ย ไม่ใช่ ๆ ท้องอิ่มแล้วต้องมีแรง ไปกันต่อค่ะ ;) คราวนี้เรามุ่งหน้าไปถนนสมภารคง (ถนนสาย 3507) เป็นถนนสายเล็กๆ ที่เลียบขนานไปกับแม่น้ำท่าจีน ถนนสายนี้มีวัดเยอะมากค่ะ จริง ๆ มาที่นี่ที่เดียวครบ 9 วัดได้เลยนะคะ (บางวัดก็จะเงียบ ๆ หน่อยนะ)
วัดพระศรีมหาธาตุ วัดแค วัดสารภี วัดพระลอย วัดหน่อพุธางกูล วัดพระนอน วัดพิหารแดง วัดวีสุขเกษม วัดสว่างอารมณ์ แต่เราเลือกเป็นบางวัดเท่านั้น
ขับไปเรื่อย ๆ ไม่ไกล จะเห็นมังกรสวรรค์อยู่ทางขวามือ กลับรถเลยค่ะ
แล้วก็มองหาป้ายสีน้ำเงินที่เขียนว่าเส้นทางมหามงคล มีชื่อวัดเรียงกันเป็นตับ 9 วัด ชัดเจน เลี้ยวเข้าไปเลยค่ะ
(รูปนี้จาก Google Map)
แค่นิดเดียวก็เจอแล้ว “วัดพระศรีมหาธาตุ” วัดนี้โด่งดังเรื่องพระผงสุพรรณ หนึ่งในเบญจภาคี 5 พระเครื่องยอดนิยม
วัดนี้อารมณ์คล้าย ๆ กับวัดที่อยุธยานะคะ มีซากปรักหัหพัง เจดีย์์โบราณ ดูขลังดี
ไปต่อดีกว่าค่ะ วัดที่ 5 "วัดแค" คุ้มขุนแผน พูดถึงขุนแผนคงจะรู้จักกันดีนะคะ ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้แบบตัวพ่อเลยทีเดียว
ออกจากวัดวัดพระศรีมหาธาตุ เลี้ยวซ้ายมา ประมาณ 1 กม. วัดแคจะอยู่ทางขวามือ
เลี้ยวเข้าไปเลย มีที่จอดรถให้ในวัดทั้งลานด้านหน้าและข้างโบสถ์
เราไหว้พระที่วิหารพระพุทธมงคลก่อนค่ะ อยู่ข้าง ๆ โบสถ์ เสร็จแล้วก็ไปเดินดูรอบ ๆ วัด วัดนี้มีอะไรๆ น่าสนใจหลายอย่างเลย
เริ่มตั้งแต่ร้านกาแฟ “ต่อบุญ” ที่อยู่ใกล้ ๆ กับพระยาต่อยักษ์ ร้านน่ารัก นั่งชิล ๆ ดับร้อน
วนออกมาด้านหน้า จะมีที่ให้ไหว้พระราหูด้วยค่ะ ไหว้เสร็จ เราก็เดินไป Hi-light ของวัด “คุ้มขุนแผน” ค่ะ
ภายในคุ้มร่มรื่นมาก ด้านหน้ามีต้นมะขามยักษ์ เด่นเป็นสง่าเลย
คุ้มขุนแผนอาจจะดูไม่อลังการเท่าคุ้มขุนช้าง (ตั้งอยู่ที่วัดป่าเลไลยก์) นะคะ ตามเนื้อเรื่องแล้วขุนแผนไม่ร่ำรวยเท่าขุนช้าง คุ้มเลยเล็กกว่าเป็นธรรมดาค่ะ
ดูข้างในคุ้มกันดีกว่าค่ะ ห้องครัว
ห้องนอน (ของนางพิม รึเปล่า ไม่แน่ใจค่ะ) ใช้เวลาไม่นานก็ทั่วแล้ว
ได้เวลาไปต่อ
ออกจากวัดแค เลี้ยวไปทางขวานะคะ จุดหมายคือ “วัดสารภี” วัดที่ 6
มาถึงก็เข้าสู่โหมด เงียบ สงบ ต่ะ มีแค่เจ้าหน้าที่ของวัดเท่านั้น เราเข้าไปสักการะพระพุทธมุนีศรีมงคล หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าหลวงพ่อใหญ่ พระพุทธรูปอายุกว่า 100 ปี ที่ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์
วัดนี้มีให้ลอดท้องช้างเอราวัณด้วยนะคะ เป็นสิริมงคล ทำกิจการค้าขายร่ำรวย มั่นคง อายุยืนนาน
ลืมบอกไปว่าจากวัดแคมาแค่ 700 เมตรเท่านั้นเองค่ะ เปิดแอร์ยังไม่ทันเย็นเลย ถึงแล้ว
ไปวัดที่ 7 กันต่อเลยค่ะ “วัดพระลอย” เลยวัดสารภีมาไม่ไกล ไม่ถึง 2 กม. ก็จะเจอกับวัดพระลอย ลานจอดรถกว้างขวางมากค่ะ วัดนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน มีอุทยานมัจฉาที่สามารถลงไปให้อาหารปลาได้ด้วยนะคะ แต่เราไม่ได้ลงไป เพราะตั้งใจว่า เดี๋ยวจะไปให้อาหารปลาที่วัดต่อไปค่ะ
วัดพระลอย ตั้งชื่อตามเรื่องเล่ากันต่อๆ มาว่า มีพระพุทธรูปเก่าแก่เนื้อหินทรายปางนาคปรก ลอยน้ำมาที่ท่าน้ำ จึงได้ทำการอาราธนา อัญเชิญขึ้นประดิษฐาน ณ วัดแห่งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้กราบไหว้สักการะพระลอย ลอยเคราะห์ ลอยโศก เพื่อความเป็นสิริมงคล
ขึ้นรถเลย ไปวัดที่ 8 กัน
เหมือนเดิมค่ะ ยังไม่ทันตั้งตัว ถึงซะแล้ว “วัดพระนอน” วัดนี้อยู่ติดกับแม่น้ำท่าจีนเหมือนวัดพระลอย (2 วัดนี้คล้ายกันมากนะคะ ทั้งชื่อ ทั้งที่ตั้ง และก็มีอุทยานมัจฉาเหมือนกันด้วย)
บริเวณวัดร่มรื่นสวยงาม จุดเด่นของวัดนี้คือมีวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์สลักจากหิน มีพระพุทธรูปนอนหงายขนาดเท่าคนโบราณ ยาวประมาณ 2 เมตร (คล้ายกับพระนอนที่เมืองกุสินารา ประเทศอินเดีย สถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า) วัดนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยว Unseen Thailand ด้วยค่ะ
ไหว้พระในโบสถ์แล้ว ก็ขอไปให้อาหารปลาซะหน่อย
ปลาเยอะมาก ๆ จริง ๆ เวลาโยนอาหารลงไประวังด้วยนะ อย่าโยนไปทีเดียวเยอะ ๆ ปลามันกระโดดพร้อมกันน้ำกระจาย เดี๋ยวจะเปียกเหมือนเจ้าลูกชาย 555
วัดสุดท้ายแล้วนะคะ เราย้อนกลับมาทางเดิม ออกจากถนนสาย 3507 แล้ว ก็หาจุดกลับรถ เพื่อมุ่งหน้าไปวัดสุดท้ายของทริปนี้
“วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร” วัดดังของจ.สุพรรณบุรี ถ้าไม่มาวัดนี้ก็เหมือนมาไม่ถึงสุพรรณฯ ค่ะ
ขับมาไม่นานก็จะเห็นวิหารหลวงพ่อโต ตั้งเด่นเป็นสง่ามาแต่ไกลเลย
เลี้ยวเข้าไปหาที่จอดรถเลย เราชอบไปจอดด้านหลัง ใกล้ ๆ กับห้องน้ำด้านหลังโบสถ์ แล้วเดินเข้าทางด้านหลังค่ะ
มาถึงก็บายแก่ ๆ แล้ว คนเลยไม่เยอะ ปิดทองด้านนอกแล้วเข้าไปกราบหลวงพ่อโต พระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ในวิหารกัน
หลวงพ่อโต มีความสูงถึง 23.47 เมตร เลยนะคะ