เรื่องเล่าเรื่องนี้ผมเพียงแค่อยากถ่ายทอด และอยากชักชวนเพื่อนๆ ให้ไปเที่ยวภาคใต้กันบาง ไม่ได้หวังอะไร
และเผื่ออาจเป็นข้อมูลให้เพื่อนๆ ที่รักการท่องเที่ยวแบบแว๊นๆ ได้ใช้เป็นข้อมูลในการเที่ยวอยากสนุก(หรือเปล่าไม่รู้)
ปล.เรื่องเล่านี้เคยใช้ส่งประกวด Kawasaki discovery 2016 โดยเอามาเขียนใน pantip อีกครั้งเพื่อถ่ายทอดในข้างตน
สวัสดีครับ ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อน ว่าผมเป็นแค่ไบค์เกอร์ หรือ rider หรืออะไรเนียล่ะ แต่ผมเรียกว่าคนชอบขี่สองล้อล่ะกัน แน่นอนทุกคนที่ขี่รถสองล้อต้องมีทริปที่อยากไป และสถานทีที่อยากลองขี่ไปดูสักครั้ง แน่นอนนอกประเทศก็คงเป็นความฝันของหลายๆ คน ผมก็เช่นกัน แต่มันดูใช้หลายอย่างเกินไปเป็นภาระ ผมเลยมาสนใจในประเทศก่อน เพราะคิดว่าเราคนประเทศนี้ต้องเที่ยวให้เยอะไว้ เวลาไปต่างแดนได้โม้ได้ว่าบ้านฉันก็มีอะไรเจ๋งๆ
มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ทริปใต้สุดของผมเริ่มต้นด้วยความฝันเล็กๆ ที่จะขี่เจ้า Versys1000 ให้ทั่วไทยโดยเริ่มต้นจากเป้าหมายเล็กๆ ก่อนคือสุดเหนือ-ใต้-ออก-ตกก่อน ในเวลาเกือบสองปีที่ผ่านมา(ตอนนี้ก็เข้าปีที่ 3 ล่ะ)ก็พอที่จะทำเป้าหมายเล็กๆ นี้ไปได้จนเหลือแค่การลงใต้สุดของประเทศไทยที่เป็นปัญหาใหญ่ เนื่องด้วยมันดูไม่ปลอดภัยจากการติดตามข่าวสาร แต่ตัวผมก็คิดว่ารอต่อไปก็ไม่ได้อะไรจึงตัดสินใจเดินตามฝันเล็กๆ ต่อ และวางแผนไปที่เบตงใต้สุดของประเทศ โดยเริ่มต้นวางแผนหาข้อมูลและสมาชิกตั้งแต่ต้นปี 2016 แต่ก็ติดปัญหาหลายสิ่งจนผ่านเลยมาใกล้สิ้นปีผมก็ทำใจแล้วว่าคงต้องลุยเดียว แต่แล้วก็ได้รับข่าวดีมีรุ่นพี่ที่สนิทกันเปลี่ยนใจมาร่วมทริปด้วย ซึ่งเราก็หาลือกันจนลงตัวที่ทริป 5 วัน 4 คืน 27-31 ต.ค. และที่เยี่ยมยิ่งกว่าคือ ก่อนถึงวันเดินทางหนึ่งวันก็มีเพื่อนติดต่อผ่านช่องทาง Facebook เข้ามาว่าจะขอร่วมทางไปด้วยอีก 2 คัน ซึ่งมาถึงจุดนี้แล้วอะไรๆ ก็ดูเป็นใจให้ผมในการเดินทางครั้งนี้มาก
พวกเราเริ่มต้นเดินทางตอนตี 5 เช้าวันที่ 27 ต.ค.โดยนัดกันที่ Porto chino 4 คัน 5 คนกับการมุ่งลงภาคใต้ แน่นอนการเดินทางลงใต้ของพวกเราไม่ใช่ครั้งแรกและพวกเราบางคนก็เคยขี่ด้วยกันมาบางแล้ว มันเลยง่ายในการพูดคุยและเดินทางไปด้วยกัน โดยที่ก่อนเดินทางเราได้มีข้อตกลงกันเล็กน้อย คือทริปนี้พวกเราไม่ได้จองที่พักไว้นอกจากที่เบตงซึ่งเป็นจุดหมาย เพื่อเป็นการไม่กดดันพวกเราในการขับขี่ให้ถึงจุดหมายโดยเร็วอาศัยเหนื่อยที่ไหนนอนที่นั่น โดยตั้งเป้าหมายคราวๆ ในการเดินทางวันแรกวันที่ฟิตสุดไว้ที่หาดใหญ่ ซึ่งเป็นระยะทางกว่า 944 กม.
เมื่อเริ่มเดินทางพวกเราก็ได้รับคำอวยพรจากฟ้าฝนในทันที หลังออกมาได้ไม่ถึง 10 นาทีก็เจอกับฝนตกหนักมากแต่นั้นไม่ได้ทำให้ Touring Bike อย่างพวกเราต้องหยุดหลบแต่อย่างใด พวกเราเดินทางต่อจนถึงหัวหิน ในช่วงเดินทางนั้นผมก็ได้พบเห็นวิวอันประหลาดตาอีกครั้งหนึ่งในชีวิต ภาพที่อยู่ตรงหน้าผมคือฟ้าที่แยกออกเป็นสองสี ฝั่งซ้ายมือของท้องฟ้าที่พระอาทิตย์กำลังขึ้นที่โดนย้อมไปด้วยสีทองของแสงอาทิตย์ ส่วนฝั่งขวามือก็โดนปกคุมไปด้วยเมฆฝนสีดำ ส่วนพวกเราที่อยู่บนถนนระหว่างกลางของท้องฟ้านั้น ซึ่งทำให้ผมอดจินตนาการไม่ได้ว่านี้มันลางดีของพวกเราชัดๆ (เสียดายที่ไม่มีโอกาสหยุดถ่ายรูปในช่วงนั้นไว้เป็นที่ระลึก แต่มันเป็นภาพที่ติดตามาก)
พวกเราเดินทางกันไม่ได้เร็วมากเพื่อคล้ายความเครียดในการขับขี่และเน้นหยุดพักน้อยลง เราเดินทางได้ตามเป้าหมายในวันแรกโดยถึงหาดใหญ่ตอนประมาณ 16:30 น. เราพักใกล้ๆ ตัวเมืองชื่อว่า Lalita Boutique Hotel ซึ่งราคาไม่แพงมาก(หลักร้อยและเป็นโรงแรมใหม่ในขณะนั้น)และเดินทางเข้าตัวเมืองได้สะดวก หลังจากถึงพวกเราล้างตัวลดกลิ่นตัวแล้วก็เดินทางเข้าเมืองไปเที่ยวหาร้านอาหารประจำถิ่นทานกัน พวกเราขี่หลงกันอยู่พักใหญ่จนเจอร้านอาหารชื่อ "ร้านกันเอง" เป็นร้านดังในเมืองอาหารส่วนใหญ่เป็นอาหารจีนและทีเด็ดคือ ขาหมู ซึ่งบอกได้คำเดียวว่าเด็ดมาก ช้อนสัมผัสหนังหมูและเนื้อเพียงเบาๆ มันก็ขาดออกจากกันกลิ่นที่หอมและรสน้ำซอสที่ราดมามันชุ้มจนหยุดช้อนตัวเองแทบไม่ได้ อร่อยมาก หลังจากทานเสร็จเราก็เดินเล่นในเมือง หาของหวานทาน และตบเบาๆ ด้วยเครื่องดื่มที่จะช่วยให้เรานอนหลับสบายขึ้น ณ วันที่เราไปหาดใหญ่เป็นวันธรรมดาผู้คนเลยมีจำนวนไม่มาก ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวต่างชาติ ซึ่งแม่ค้าที่นี้ส่วนใหญ่พูดได้ 3 ภาษาเลยที่เดียว ไทย จีน มลายู มันเลยทำให้เมืองนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นดีเลยทีเดียว
คือ บรรยายซะ แต่ถ่ายไม่ทัน ทันแค่ของหวานอ่ะครับ
เช้าวันถัดมาพวกเรารวมตัวกันประมาณ 8 เช้าเพื่อที่จะเดินทางต่อ แต่พวกเราต้องกลับมาเดินทางเพียงแค่ 2 คันอีกครั้ง เพราะอีก 2 คันนั้นเค้าจะเดินทางต่อไปมาเลเซีย ซึ่งเราตกลงกันไว้แล้วก่อนเดินทาง เพราะพวกเราเห็นว่ามาทางเดียวกันจึงร่วมทางกันมาดีกว่ามากันแค่ 2 คัน หลังจากกล่าวลากันเรียบร้อยเราก็เดินทางสู่เบตงโดยที่วางแผนจะแวะกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาเลิศเอาชัยกันก่อนที่ วัดช้างไห้ จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นทางผ่านสู่เบตงพอดี จากหาดใหญ่สู่เบตงเราใช้ถนนหมายเลย 409 เข้าวัดช้างไห้ก่อนออกถนน 4106 สู่เบตง พวกเราเดินทางตั้งแต่ 10 โมงเช้าใช้เวลาเดินทาง 1-2 ชม.ก็ถึงวัด ซึ่งเมื่อถึงวัดก็แอบตกใจเล็กน้อยเพราะคนน้อยมาก ร้านค้าแถวนั้นเงียบเหงาเลยทีเดียว นอกจากนั้นตลอดการเดินทางมาบนทางหลวงสาย 409 ก็จะมีด่านเป็นพักๆ จะพบทหารข้างทางบางแต่ไม่ได้มากมายจนหน้ากลัว
หลังจากเราเข้าไปกราบไหว้ขอพรเสร็จก็เดินทางต่อสู่เบตง โดยถนนสายไปเบตงเราจะผ่านเขื่อนบางลางและโค้งมากมาย ซึ่งสองข้างทางมีวิวที่สวยพอสมควร เรามาถึงแถวๆ เขื่อนประมาณบ่ายๆ แวะถ่ายรูปชมวิวกันพอหายเหนื่อยก่อนเดินทางต่อ พวกเราคิดว่ามีเวลาเยอะพอสมควรจึงได้ทำการแวะ สวนไม้ดอกเมืองหนาวเบตง และอุโมงค์ปิยะมิตรก่อนเพื่อทานอาหารกลางวัน พอถึงสวนไม้ดอกเมืองหนาวพวกเราก็เจอฝนตกลงมาซะงั้น ซึ่งเส้นทางมาสวนไม้ดอกเมืองหนาวเบตงนั้นชันมาก แถมเปลี่ยวมาก งานเลยเข้าพวกเราทันทีแต่สุดท้ายพวกเราก็ลุยฝนไปจนถึงอุโมงค์ปิยะมิตรที่อยู่ไม่ห่างกันมาก ที่นี้มีนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย สิงคโปร์ขี่มอเตอร์ไซค์มาเที่ยวเยอะมาก อุโมงค์ปิยะมิตรเป็นสถานที่เหมือนพิพิธภัณฑ์แสดงความเป็นอยู่ของคณะปฏิวัติที่อาศัยที่นี้เป็นที่หลบภัย ตัวอุโมงค์ที่ทำจากดินมีช่องทางเดินที่ซับซ้อน ถ้าใครชอบพวกของประวัติศาสตร์ที่นี้เป็นสถานที่ๆ ห้ามพลาดเลยทีเดียว
หลังจากเราเที่ยวกันได้สักพักซึ่งพอมองนาฬิกาก็ปาไปเกือบ 6 โมงเย็นแล้ว นั้นก็ทำให้เรานึกถึงคำที่เพื่อนๆ ที่กรุงเทพเคยเตือนว่าอยู่ใต้พยายามอย่าออกมาตอนค่ำๆ พวกเราจึงรีบเดินทางเข้าเมืองเบตงทันที ไม่แวะถ่ายรูปที่ไหนอีกแต่กลับตกใจเมื่อมาถึงเบตง มันกลายเป็นว่าเรากังวลไปเอง ที่เบตงตอนค่ำๆ นั้นกลับครึกครื้นผู้คนเดินเที่ยวกันมากมาย แถมห้างร้านก็เปิดให้บริการกันเต็มที่ เราถึงโรงแรม Modern Thai Hotel ประมาณ 1 ทุ่ม โรงแรมนี้เป็นที่พักส่วนใหญ่ของ Biker โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่ขี่รถข้ามมาจากมาเลเซีย สิงคโปร์ เมื่อพวกเราจอดรถกันเสร็จก็ลบความเหม็นจากร่างกาย ท้องก็เริ่มร้องขึ้นมาทันที พวกเราจึงมุ่งสู่ร้านอาหารชื่อดังของเบตง ต้าเหยิน ร้านอาหารที่เราหาข้อมูลมา แน่นอนไก่เบตงต้องมา เคาหยก(เป็นหมูสามชั้นกับเผือก) ซึ่งบอกได้เลยว่าเข้าใจล่ะว่าไก่เบตงต่างกับไก่กรุงเทพยังไง มาอีกก็ต้องมาโดนอีกเนื้อมันสุดบรรยายรวมกับซอสที่ราดมาให้แล้วโดยที่ไม่ต้องมีน้ำจิ้ม รสเด็ดมาก หลังจากนั้นพวกเราก็ไปตามเก็บสถานที่ท่องเที่ยว เช่น หอนาฬิกา อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ และเดินเล่นในเมืองอีกนิดหน่อยก่อนกลับมาที่พัก พอถึงที่พักบังเอิญเจอผู้จัดการโรงแรมซึ่งเป็น Biker เช่นกัน คราวนี้คุยกันเรื่องท่องเที่ยวกันยาวและต้องขอบคุณที่ให้ยืมมอเตอร์ไซค์คันเล็กขี่เล่นชมเมืองชิวๆ ยามค่ำคืนอีกด้วย
หลังจากเที่ยวเมืองเมื่อคืนพอสมควรก็เล่นเอาตื่นสายเลยทีเดียว ตอนเช้าพวกเราก็ไปเติมพลังที่ติ๋มซำร้านดัง ไทซีฮี้ และออกเดินทางเก็บตกสถานที่ต่างๆ ต่อ ด่านชายแดยไทยมาเลเซีย Duty free ป้ายใต้สุดแดนสยาม ตู้ไปรษณีย์ยักษ์ จากนั้นก็เช็คเอ้าท์บอกลาเบตง มุ่งสู่อีกครึ่งหนึ่งของทริป นั้นคือเดินทางกลับบ้าน ครับทุกครั้งที่มาถึงจุดหมายสำหรับผมมันยังไม่จบ การออกทริปที่สมบรูณ์ของผมนั้นคือ ต้องกลับบ้านอย่างปลอดภัย หลังจากการเดินทางจากบ้านมาเบตงด้วยระยะทางกว่า 1,197 กม. พวกเราก็ต้องไปต่ออีกครึ่งทริปที่ต้องแบกความเหนื่อยล้ากลับไปด้วย ผมจึงว่าแผนไว้ก่อนแล้วว่าเราจะใช้เวลากลับ 3 วันเพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงด้วย ซึ่งเรายังคงยึดกฏค่ำไหนนอนนั่นเหมือนเดิม โดยที่จุดหมายแรกพุงเป้าไปที่พัทลุง
จากเบตงจะเดินทางประมาณ 350 กม. ก็คิดว่าไม่ไกลมาก แต่หลังจากออกมาจากเบตงได้หน่อยเดียวเราก็เจอกับฝนตกหนัก นอกจากนั้นที่เราสังเกตเห็น คือ ตลอดทางกลับออกมาในวันนั้นมีรถทหารหุ้มเกราะจอดอยู่ข้างทางเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นตอนขี่เพลินๆ มองไปที่ข้างทางก็จะเห็นทหารยืนถือปืนซุ้มอยู่ตามพงหญ้า ซึ่งตอนมาไม่มีเลย แล้วในแต่ล่ะด่านที่ผ่านมากลับพบทหารเพิ่มขึ้นถึงสองเท่ากว่าตอนขามา มันทำให้ใจผมแอบกลัวขึ้นมาทันทีแล้วคิดแค่ว่าคงต้องรีบขี่ออกจากพื้นที่สีแดงด่วน เพราะมันคงต้องมีอะไรแน่ๆ แล้วพวกเราก็ไม่ได้เสพข่าวมาหลายวันแล้วด้วย แต่ด้วยสภาพฝนที่ยิ่งรีบมันกลับยิ่งตกหนักก็ทำให้พวกเราเดินทางได้ช้าลงมาก กว่าจะหลุดจากโซนสีแดงมาได้ก็เกือบ 4 โมงเย็น ทำให้พวกเราเริ่มปรึกษากันแล้วคิดว่าจะค่ำแล้วหาที่นอนดีกว่า พวกเราจึงไปไม่ถึงจุดหมายพัทลุงแต่แวะหาที่นอนในสงขลาแทน พอเข้าเมืองสงขลาสักพัก พวกเราก็ขี่เที่ยวในตัวเมืองเก่าพร้อมหาที่พักผ่อน และพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสเที่ยวตลาดในเมือง สถานที่เที่ยวต่างๆ ยามค่ำคืน ก่อนที่ฝนจะมาไล่ให้พวกเรากลับเข้านอนกัน และแน่นอนว่าสิ่งที่เราวิตกเรื่องทหารนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมันเป็นแค่เพียงช่วงเสาร์อาทิตย์พี่ๆ ทหารเค้าจึงออกมากวดขันมากขึ้น
ทริปใต้สุดของผม #เบตง #ขี่มอเตอร์ไซค์
และเผื่ออาจเป็นข้อมูลให้เพื่อนๆ ที่รักการท่องเที่ยวแบบแว๊นๆ ได้ใช้เป็นข้อมูลในการเที่ยวอยากสนุก(หรือเปล่าไม่รู้)
ปล.เรื่องเล่านี้เคยใช้ส่งประกวด Kawasaki discovery 2016 โดยเอามาเขียนใน pantip อีกครั้งเพื่อถ่ายทอดในข้างตน
สวัสดีครับ ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อน ว่าผมเป็นแค่ไบค์เกอร์ หรือ rider หรืออะไรเนียล่ะ แต่ผมเรียกว่าคนชอบขี่สองล้อล่ะกัน แน่นอนทุกคนที่ขี่รถสองล้อต้องมีทริปที่อยากไป และสถานทีที่อยากลองขี่ไปดูสักครั้ง แน่นอนนอกประเทศก็คงเป็นความฝันของหลายๆ คน ผมก็เช่นกัน แต่มันดูใช้หลายอย่างเกินไปเป็นภาระ ผมเลยมาสนใจในประเทศก่อน เพราะคิดว่าเราคนประเทศนี้ต้องเที่ยวให้เยอะไว้ เวลาไปต่างแดนได้โม้ได้ว่าบ้านฉันก็มีอะไรเจ๋งๆ
มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ทริปใต้สุดของผมเริ่มต้นด้วยความฝันเล็กๆ ที่จะขี่เจ้า Versys1000 ให้ทั่วไทยโดยเริ่มต้นจากเป้าหมายเล็กๆ ก่อนคือสุดเหนือ-ใต้-ออก-ตกก่อน ในเวลาเกือบสองปีที่ผ่านมา(ตอนนี้ก็เข้าปีที่ 3 ล่ะ)ก็พอที่จะทำเป้าหมายเล็กๆ นี้ไปได้จนเหลือแค่การลงใต้สุดของประเทศไทยที่เป็นปัญหาใหญ่ เนื่องด้วยมันดูไม่ปลอดภัยจากการติดตามข่าวสาร แต่ตัวผมก็คิดว่ารอต่อไปก็ไม่ได้อะไรจึงตัดสินใจเดินตามฝันเล็กๆ ต่อ และวางแผนไปที่เบตงใต้สุดของประเทศ โดยเริ่มต้นวางแผนหาข้อมูลและสมาชิกตั้งแต่ต้นปี 2016 แต่ก็ติดปัญหาหลายสิ่งจนผ่านเลยมาใกล้สิ้นปีผมก็ทำใจแล้วว่าคงต้องลุยเดียว แต่แล้วก็ได้รับข่าวดีมีรุ่นพี่ที่สนิทกันเปลี่ยนใจมาร่วมทริปด้วย ซึ่งเราก็หาลือกันจนลงตัวที่ทริป 5 วัน 4 คืน 27-31 ต.ค. และที่เยี่ยมยิ่งกว่าคือ ก่อนถึงวันเดินทางหนึ่งวันก็มีเพื่อนติดต่อผ่านช่องทาง Facebook เข้ามาว่าจะขอร่วมทางไปด้วยอีก 2 คัน ซึ่งมาถึงจุดนี้แล้วอะไรๆ ก็ดูเป็นใจให้ผมในการเดินทางครั้งนี้มาก
พวกเราเริ่มต้นเดินทางตอนตี 5 เช้าวันที่ 27 ต.ค.โดยนัดกันที่ Porto chino 4 คัน 5 คนกับการมุ่งลงภาคใต้ แน่นอนการเดินทางลงใต้ของพวกเราไม่ใช่ครั้งแรกและพวกเราบางคนก็เคยขี่ด้วยกันมาบางแล้ว มันเลยง่ายในการพูดคุยและเดินทางไปด้วยกัน โดยที่ก่อนเดินทางเราได้มีข้อตกลงกันเล็กน้อย คือทริปนี้พวกเราไม่ได้จองที่พักไว้นอกจากที่เบตงซึ่งเป็นจุดหมาย เพื่อเป็นการไม่กดดันพวกเราในการขับขี่ให้ถึงจุดหมายโดยเร็วอาศัยเหนื่อยที่ไหนนอนที่นั่น โดยตั้งเป้าหมายคราวๆ ในการเดินทางวันแรกวันที่ฟิตสุดไว้ที่หาดใหญ่ ซึ่งเป็นระยะทางกว่า 944 กม.
เมื่อเริ่มเดินทางพวกเราก็ได้รับคำอวยพรจากฟ้าฝนในทันที หลังออกมาได้ไม่ถึง 10 นาทีก็เจอกับฝนตกหนักมากแต่นั้นไม่ได้ทำให้ Touring Bike อย่างพวกเราต้องหยุดหลบแต่อย่างใด พวกเราเดินทางต่อจนถึงหัวหิน ในช่วงเดินทางนั้นผมก็ได้พบเห็นวิวอันประหลาดตาอีกครั้งหนึ่งในชีวิต ภาพที่อยู่ตรงหน้าผมคือฟ้าที่แยกออกเป็นสองสี ฝั่งซ้ายมือของท้องฟ้าที่พระอาทิตย์กำลังขึ้นที่โดนย้อมไปด้วยสีทองของแสงอาทิตย์ ส่วนฝั่งขวามือก็โดนปกคุมไปด้วยเมฆฝนสีดำ ส่วนพวกเราที่อยู่บนถนนระหว่างกลางของท้องฟ้านั้น ซึ่งทำให้ผมอดจินตนาการไม่ได้ว่านี้มันลางดีของพวกเราชัดๆ (เสียดายที่ไม่มีโอกาสหยุดถ่ายรูปในช่วงนั้นไว้เป็นที่ระลึก แต่มันเป็นภาพที่ติดตามาก)
พวกเราเดินทางกันไม่ได้เร็วมากเพื่อคล้ายความเครียดในการขับขี่และเน้นหยุดพักน้อยลง เราเดินทางได้ตามเป้าหมายในวันแรกโดยถึงหาดใหญ่ตอนประมาณ 16:30 น. เราพักใกล้ๆ ตัวเมืองชื่อว่า Lalita Boutique Hotel ซึ่งราคาไม่แพงมาก(หลักร้อยและเป็นโรงแรมใหม่ในขณะนั้น)และเดินทางเข้าตัวเมืองได้สะดวก หลังจากถึงพวกเราล้างตัวลดกลิ่นตัวแล้วก็เดินทางเข้าเมืองไปเที่ยวหาร้านอาหารประจำถิ่นทานกัน พวกเราขี่หลงกันอยู่พักใหญ่จนเจอร้านอาหารชื่อ "ร้านกันเอง" เป็นร้านดังในเมืองอาหารส่วนใหญ่เป็นอาหารจีนและทีเด็ดคือ ขาหมู ซึ่งบอกได้คำเดียวว่าเด็ดมาก ช้อนสัมผัสหนังหมูและเนื้อเพียงเบาๆ มันก็ขาดออกจากกันกลิ่นที่หอมและรสน้ำซอสที่ราดมามันชุ้มจนหยุดช้อนตัวเองแทบไม่ได้ อร่อยมาก หลังจากทานเสร็จเราก็เดินเล่นในเมือง หาของหวานทาน และตบเบาๆ ด้วยเครื่องดื่มที่จะช่วยให้เรานอนหลับสบายขึ้น ณ วันที่เราไปหาดใหญ่เป็นวันธรรมดาผู้คนเลยมีจำนวนไม่มาก ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวต่างชาติ ซึ่งแม่ค้าที่นี้ส่วนใหญ่พูดได้ 3 ภาษาเลยที่เดียว ไทย จีน มลายู มันเลยทำให้เมืองนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นดีเลยทีเดียว
คือ บรรยายซะ แต่ถ่ายไม่ทัน ทันแค่ของหวานอ่ะครับ
เช้าวันถัดมาพวกเรารวมตัวกันประมาณ 8 เช้าเพื่อที่จะเดินทางต่อ แต่พวกเราต้องกลับมาเดินทางเพียงแค่ 2 คันอีกครั้ง เพราะอีก 2 คันนั้นเค้าจะเดินทางต่อไปมาเลเซีย ซึ่งเราตกลงกันไว้แล้วก่อนเดินทาง เพราะพวกเราเห็นว่ามาทางเดียวกันจึงร่วมทางกันมาดีกว่ามากันแค่ 2 คัน หลังจากกล่าวลากันเรียบร้อยเราก็เดินทางสู่เบตงโดยที่วางแผนจะแวะกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาเลิศเอาชัยกันก่อนที่ วัดช้างไห้ จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นทางผ่านสู่เบตงพอดี จากหาดใหญ่สู่เบตงเราใช้ถนนหมายเลย 409 เข้าวัดช้างไห้ก่อนออกถนน 4106 สู่เบตง พวกเราเดินทางตั้งแต่ 10 โมงเช้าใช้เวลาเดินทาง 1-2 ชม.ก็ถึงวัด ซึ่งเมื่อถึงวัดก็แอบตกใจเล็กน้อยเพราะคนน้อยมาก ร้านค้าแถวนั้นเงียบเหงาเลยทีเดียว นอกจากนั้นตลอดการเดินทางมาบนทางหลวงสาย 409 ก็จะมีด่านเป็นพักๆ จะพบทหารข้างทางบางแต่ไม่ได้มากมายจนหน้ากลัว
หลังจากเราเข้าไปกราบไหว้ขอพรเสร็จก็เดินทางต่อสู่เบตง โดยถนนสายไปเบตงเราจะผ่านเขื่อนบางลางและโค้งมากมาย ซึ่งสองข้างทางมีวิวที่สวยพอสมควร เรามาถึงแถวๆ เขื่อนประมาณบ่ายๆ แวะถ่ายรูปชมวิวกันพอหายเหนื่อยก่อนเดินทางต่อ พวกเราคิดว่ามีเวลาเยอะพอสมควรจึงได้ทำการแวะ สวนไม้ดอกเมืองหนาวเบตง และอุโมงค์ปิยะมิตรก่อนเพื่อทานอาหารกลางวัน พอถึงสวนไม้ดอกเมืองหนาวพวกเราก็เจอฝนตกลงมาซะงั้น ซึ่งเส้นทางมาสวนไม้ดอกเมืองหนาวเบตงนั้นชันมาก แถมเปลี่ยวมาก งานเลยเข้าพวกเราทันทีแต่สุดท้ายพวกเราก็ลุยฝนไปจนถึงอุโมงค์ปิยะมิตรที่อยู่ไม่ห่างกันมาก ที่นี้มีนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย สิงคโปร์ขี่มอเตอร์ไซค์มาเที่ยวเยอะมาก อุโมงค์ปิยะมิตรเป็นสถานที่เหมือนพิพิธภัณฑ์แสดงความเป็นอยู่ของคณะปฏิวัติที่อาศัยที่นี้เป็นที่หลบภัย ตัวอุโมงค์ที่ทำจากดินมีช่องทางเดินที่ซับซ้อน ถ้าใครชอบพวกของประวัติศาสตร์ที่นี้เป็นสถานที่ๆ ห้ามพลาดเลยทีเดียว
หลังจากเราเที่ยวกันได้สักพักซึ่งพอมองนาฬิกาก็ปาไปเกือบ 6 โมงเย็นแล้ว นั้นก็ทำให้เรานึกถึงคำที่เพื่อนๆ ที่กรุงเทพเคยเตือนว่าอยู่ใต้พยายามอย่าออกมาตอนค่ำๆ พวกเราจึงรีบเดินทางเข้าเมืองเบตงทันที ไม่แวะถ่ายรูปที่ไหนอีกแต่กลับตกใจเมื่อมาถึงเบตง มันกลายเป็นว่าเรากังวลไปเอง ที่เบตงตอนค่ำๆ นั้นกลับครึกครื้นผู้คนเดินเที่ยวกันมากมาย แถมห้างร้านก็เปิดให้บริการกันเต็มที่ เราถึงโรงแรม Modern Thai Hotel ประมาณ 1 ทุ่ม โรงแรมนี้เป็นที่พักส่วนใหญ่ของ Biker โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่ขี่รถข้ามมาจากมาเลเซีย สิงคโปร์ เมื่อพวกเราจอดรถกันเสร็จก็ลบความเหม็นจากร่างกาย ท้องก็เริ่มร้องขึ้นมาทันที พวกเราจึงมุ่งสู่ร้านอาหารชื่อดังของเบตง ต้าเหยิน ร้านอาหารที่เราหาข้อมูลมา แน่นอนไก่เบตงต้องมา เคาหยก(เป็นหมูสามชั้นกับเผือก) ซึ่งบอกได้เลยว่าเข้าใจล่ะว่าไก่เบตงต่างกับไก่กรุงเทพยังไง มาอีกก็ต้องมาโดนอีกเนื้อมันสุดบรรยายรวมกับซอสที่ราดมาให้แล้วโดยที่ไม่ต้องมีน้ำจิ้ม รสเด็ดมาก หลังจากนั้นพวกเราก็ไปตามเก็บสถานที่ท่องเที่ยว เช่น หอนาฬิกา อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ และเดินเล่นในเมืองอีกนิดหน่อยก่อนกลับมาที่พัก พอถึงที่พักบังเอิญเจอผู้จัดการโรงแรมซึ่งเป็น Biker เช่นกัน คราวนี้คุยกันเรื่องท่องเที่ยวกันยาวและต้องขอบคุณที่ให้ยืมมอเตอร์ไซค์คันเล็กขี่เล่นชมเมืองชิวๆ ยามค่ำคืนอีกด้วย
หลังจากเที่ยวเมืองเมื่อคืนพอสมควรก็เล่นเอาตื่นสายเลยทีเดียว ตอนเช้าพวกเราก็ไปเติมพลังที่ติ๋มซำร้านดัง ไทซีฮี้ และออกเดินทางเก็บตกสถานที่ต่างๆ ต่อ ด่านชายแดยไทยมาเลเซีย Duty free ป้ายใต้สุดแดนสยาม ตู้ไปรษณีย์ยักษ์ จากนั้นก็เช็คเอ้าท์บอกลาเบตง มุ่งสู่อีกครึ่งหนึ่งของทริป นั้นคือเดินทางกลับบ้าน ครับทุกครั้งที่มาถึงจุดหมายสำหรับผมมันยังไม่จบ การออกทริปที่สมบรูณ์ของผมนั้นคือ ต้องกลับบ้านอย่างปลอดภัย หลังจากการเดินทางจากบ้านมาเบตงด้วยระยะทางกว่า 1,197 กม. พวกเราก็ต้องไปต่ออีกครึ่งทริปที่ต้องแบกความเหนื่อยล้ากลับไปด้วย ผมจึงว่าแผนไว้ก่อนแล้วว่าเราจะใช้เวลากลับ 3 วันเพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงด้วย ซึ่งเรายังคงยึดกฏค่ำไหนนอนนั่นเหมือนเดิม โดยที่จุดหมายแรกพุงเป้าไปที่พัทลุง
จากเบตงจะเดินทางประมาณ 350 กม. ก็คิดว่าไม่ไกลมาก แต่หลังจากออกมาจากเบตงได้หน่อยเดียวเราก็เจอกับฝนตกหนัก นอกจากนั้นที่เราสังเกตเห็น คือ ตลอดทางกลับออกมาในวันนั้นมีรถทหารหุ้มเกราะจอดอยู่ข้างทางเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นตอนขี่เพลินๆ มองไปที่ข้างทางก็จะเห็นทหารยืนถือปืนซุ้มอยู่ตามพงหญ้า ซึ่งตอนมาไม่มีเลย แล้วในแต่ล่ะด่านที่ผ่านมากลับพบทหารเพิ่มขึ้นถึงสองเท่ากว่าตอนขามา มันทำให้ใจผมแอบกลัวขึ้นมาทันทีแล้วคิดแค่ว่าคงต้องรีบขี่ออกจากพื้นที่สีแดงด่วน เพราะมันคงต้องมีอะไรแน่ๆ แล้วพวกเราก็ไม่ได้เสพข่าวมาหลายวันแล้วด้วย แต่ด้วยสภาพฝนที่ยิ่งรีบมันกลับยิ่งตกหนักก็ทำให้พวกเราเดินทางได้ช้าลงมาก กว่าจะหลุดจากโซนสีแดงมาได้ก็เกือบ 4 โมงเย็น ทำให้พวกเราเริ่มปรึกษากันแล้วคิดว่าจะค่ำแล้วหาที่นอนดีกว่า พวกเราจึงไปไม่ถึงจุดหมายพัทลุงแต่แวะหาที่นอนในสงขลาแทน พอเข้าเมืองสงขลาสักพัก พวกเราก็ขี่เที่ยวในตัวเมืองเก่าพร้อมหาที่พักผ่อน และพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสเที่ยวตลาดในเมือง สถานที่เที่ยวต่างๆ ยามค่ำคืน ก่อนที่ฝนจะมาไล่ให้พวกเรากลับเข้านอนกัน และแน่นอนว่าสิ่งที่เราวิตกเรื่องทหารนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมันเป็นแค่เพียงช่วงเสาร์อาทิตย์พี่ๆ ทหารเค้าจึงออกมากวดขันมากขึ้น