****** เมื่อเวลาเปลี่ยน ผู้คนเปลี่ยน เราจะเปลี่ยนตาม หรือ จะยึดติดอยู่กับอดีต ******
สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน กระทู้นี้น่าจะเป็นกระทู้รีวิว ภาพยนต์เรื่องแรก หากมีตรงไหนผิดพลาด ขออภัยและขอคำแนะนำด้วยนะครับ เพื่อนำไปปรับปรุงในครั้งต่อไป โดยการรีวิวนี้มาจากความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆ บวกกับการตีความหนังในแบบของผมเอง ซึ่งอาจจะตรง หรือไม่ตรงกับมุมมองคุณผู้อ่าน นะครับ
สำหรับภาพยนต์เรื่อง Pop Aye เป็นหนังแนวดรามากึ่งๆครอบครัว
กำกับโดย เคริสเตน ธาน ผู้กำกับหญิงชาวสิงคโปร์
และนักแสดงนำ คุณ ธเนศ วรากุลนุเคราะห์, เพ็ญภักตร์ ศิริกุล และที่ขาดไมไ่ด้ คือ พลาย(เบียร์) หรือ ที่คนในวงการเรียกกันว่าพลายป๋อง ช้างตัวเอกของเรื่อง
ต่อไปจะเป็น รีวิวหนัง+สปอยนะครับ
เกริ่นนำก่อนว่าที่ผมเลือกดูหนังเรื่องนี้เพราะ ช้างที่ใช้แสดงนำเป็นช้างที่บ้านเกิดผมจังหวัดสุรินทร์ และในตอนนี้ได้มีงานรับแสดงหนังออกมาอีกเรื่อยๆ อีกทั้งพลอตเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางสู่บ้านเกิดทำให้ผมยิ่งสนใจขึ้นไปอีก
แม้จะน่าเสียดายที่เป็นหนังนอกกระแส โรงฉายจึงน้อยฉายไม่เยอะ เพราะไม่ได้มีการโปรโมทเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่ได้รับรางวัล Sundance Film Festival และในเว็บไซต์ Rotten Tomato คะแนน ถือว่าอยู่ในเกณที่ดีเยี่ยม ก็น่าจะดึงดูดให้ผู้คนที่สนใจหนังแนวนี้เลือกชมได้ไม่ยาก
ภาพยนต์เล่าเรื่องแบบสลับไปมาระหว่าง การเดินทางของ ธนา(ธเนศ วรากุลนุเคราะห์)และ ป๊อปอาย สลับกับช่วงชีวิตที่ผ่านมาของธนา ในช่วงแรกอาจจะต้องพยายามลำดับเหตุการณ์ให้ทันว่าฉากไหนเกิดก่อนหลัง เพราะในหนังไม่บอกเราตรงๆ โดยที่จุดเริ่มต้นได้กล่าวถึงที่มาที่ไปของปัญหาชีวิตในตัวของ ธนา ที่เริ่มจากการปิดตัวลงของห้างสรรพสินค้าชื่อดังในอดีต Gardenia Square (ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกของ ธนา) เพื่อที่จะสร้างตึกใหม่ขึ้นมา และยังถูกกีดกันการทำงานจากลูกเจ้าของบริษัท (ณัฐวุฒิ ตรีวิศวเวทย์) คลื่นลูกใหม่ย่อมแรงกว่าคลื่นลูกเก่า และความสัมพันธ์ที่ระหองระแหงกับ โบ (เพ็ญภักตร์ ศิริกุล) ภรรยาของธนา เมื่อครั้นธนาได้พบกับ ป๊อปอาย(พลาย(เบียร์) หรือ ที่คนในวงการเรียกกันว่าพลายป๋อง) กำลังเดินเร่ร่อนกับควาญช้าง จึงได้เข้าไปขอซื้อเพราะจำได้ว่าเป็นช้างที่ ธนาเคยเป็นเจ้าของเมื่อครั้งยังเด็ก และนั่นเองคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางเพื่อนำช้างกลับคืนบ้านเกิดอย่างที่มันควรจะเป็น
แต่....ทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้จริงเหรอ ตลอดการเดินทาง ธนาได้พบกับผู้คนต่างลักษณะ ต่างที่มาและได้เข้าไปพัวพันธ์กับชีวิตของคนเหล่านั้น และการยื่นมือเข้าช่วยของธนา เป็นเหมือนกระจกสะท้อนบางอย่างกลับคืนมาว่า ไม่มีอะไรยั่งยืนและอยู่ค้ำฟ้า ไม่ว่าจะเป็น สังขาร ตำแหน่ง ชื่อเสียง ฐานะ และที่สำคัญที่สุด คือ ความสัมพันธ์ เมื่อเวลาเปลี่ยนอะไรๆ ก็เปลี่ยนตาม และบางครั้งเมื่อเราอยากย้อนกลับไปเป็นเหมือนเมื่อวันวาน เราก็ทำไมไ่ด้แล้ว เพราะทุกสิ่งในอดีตจะกลายเป็นเพียงความทรงจำ
การดำเนินเรื่องระหว่างการเดินทางของ ธนา และ ป๊อปอายค่อนข้างชัดเจน มีโมเมนต์ เศร้า ตลก อึดอัด ปนไปพร้อมๆกัน และต้องยอมรับว่าผู้กำกับทำการบ้านมาดีแม้ไม่ใช่คนไทย แต่ด้วยความที่อยู่เมืองไทยมานาน การใส่รายละเอียด วิถีชีวิตความเป็นอยู่ การสะท้อนสังคมที่ทำออกมาได้เป็นอย่างดี ดูแล้วเป็นหนัง อินเตอร์
และเมื่อบทสรุปสุดท้ายของการเดินทางมาถึง ธนาเองได้เข้าใจถึงคำว่า ปล่อยวาง เพราะในช่วงแรกธนาน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิตที่ตกต่ำ เพราะตัวเองเคยอยู่ในจุดที่สูงมาก่อน และเมื่อต้องการไขว่คว้าหาสิ่งต่างๆในอดีตที่เหลืออยู่แต่สิ่งนั้นกลับยิ่งตอกย้ำกลับมา และบอกให้ธนาปล่อยไปได้แล้วและใช้ชีวิตไปข้างหน้า ให้สิ่งในอดีตเป็นแค่ความทรงจำดีๆ และเก็บมันไว้ จงอยู่กับปัจจุบัน
สุดท้ายก่อนหนังจะปิดฉากลงได้ทิ้งประโยค จากพี่ต่ายไว้ให้คิด "ฉันรู้ว่าสิ่งที่คุณทำจะไม่มีวันพัง"
โดยส่วนตัวผมชอบการเล่าเรื่องและโทนของหนัง ที่ดูแล้วไม่ใช่ไทยจ๋า อย่างที่ผู้กำกับไทย ชอบทำกันคือยัดเยียดคำพูดข้อคิด แทบจะป้อนใส่ปากคนดู แต่หนังค่อนข้างเปิดกว้างให้เราคิดตามอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป้นการกระทำของตัวละคร การตบมุขต่างๆ ที่ผกก หยอดมาให้เราคิดทีละนิด และฝีมือการแสดง ของคุณ ธเนศ และ พี่ต่าย สามารถคุมอารมณ์หนังได้ บวกกับความแสนรู้ของช้างพลายป๋อง ทำให้หนังดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
คะแนน สำหรับหนังเรื่องนี้ให้ 8/10
ขอบพระคุณทุกท่านที่สละเวลาอ่านมาจนถึงตรงนี้
[CR] POP AYE มายเฟรนด์ Review + Spoil
****** เมื่อเวลาเปลี่ยน ผู้คนเปลี่ยน เราจะเปลี่ยนตาม หรือ จะยึดติดอยู่กับอดีต ******
สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน กระทู้นี้น่าจะเป็นกระทู้รีวิว ภาพยนต์เรื่องแรก หากมีตรงไหนผิดพลาด ขออภัยและขอคำแนะนำด้วยนะครับ เพื่อนำไปปรับปรุงในครั้งต่อไป โดยการรีวิวนี้มาจากความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆ บวกกับการตีความหนังในแบบของผมเอง ซึ่งอาจจะตรง หรือไม่ตรงกับมุมมองคุณผู้อ่าน นะครับ
สำหรับภาพยนต์เรื่อง Pop Aye เป็นหนังแนวดรามากึ่งๆครอบครัว
กำกับโดย เคริสเตน ธาน ผู้กำกับหญิงชาวสิงคโปร์
และนักแสดงนำ คุณ ธเนศ วรากุลนุเคราะห์, เพ็ญภักตร์ ศิริกุล และที่ขาดไมไ่ด้ คือ พลาย(เบียร์) หรือ ที่คนในวงการเรียกกันว่าพลายป๋อง ช้างตัวเอกของเรื่อง
ต่อไปจะเป็น รีวิวหนัง+สปอยนะครับ
เกริ่นนำก่อนว่าที่ผมเลือกดูหนังเรื่องนี้เพราะ ช้างที่ใช้แสดงนำเป็นช้างที่บ้านเกิดผมจังหวัดสุรินทร์ และในตอนนี้ได้มีงานรับแสดงหนังออกมาอีกเรื่อยๆ อีกทั้งพลอตเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางสู่บ้านเกิดทำให้ผมยิ่งสนใจขึ้นไปอีก
แม้จะน่าเสียดายที่เป็นหนังนอกกระแส โรงฉายจึงน้อยฉายไม่เยอะ เพราะไม่ได้มีการโปรโมทเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่ได้รับรางวัล Sundance Film Festival และในเว็บไซต์ Rotten Tomato คะแนน ถือว่าอยู่ในเกณที่ดีเยี่ยม ก็น่าจะดึงดูดให้ผู้คนที่สนใจหนังแนวนี้เลือกชมได้ไม่ยาก
ภาพยนต์เล่าเรื่องแบบสลับไปมาระหว่าง การเดินทางของ ธนา(ธเนศ วรากุลนุเคราะห์)และ ป๊อปอาย สลับกับช่วงชีวิตที่ผ่านมาของธนา ในช่วงแรกอาจจะต้องพยายามลำดับเหตุการณ์ให้ทันว่าฉากไหนเกิดก่อนหลัง เพราะในหนังไม่บอกเราตรงๆ โดยที่จุดเริ่มต้นได้กล่าวถึงที่มาที่ไปของปัญหาชีวิตในตัวของ ธนา ที่เริ่มจากการปิดตัวลงของห้างสรรพสินค้าชื่อดังในอดีต Gardenia Square (ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกของ ธนา) เพื่อที่จะสร้างตึกใหม่ขึ้นมา และยังถูกกีดกันการทำงานจากลูกเจ้าของบริษัท (ณัฐวุฒิ ตรีวิศวเวทย์) คลื่นลูกใหม่ย่อมแรงกว่าคลื่นลูกเก่า และความสัมพันธ์ที่ระหองระแหงกับ โบ (เพ็ญภักตร์ ศิริกุล) ภรรยาของธนา เมื่อครั้นธนาได้พบกับ ป๊อปอาย(พลาย(เบียร์) หรือ ที่คนในวงการเรียกกันว่าพลายป๋อง) กำลังเดินเร่ร่อนกับควาญช้าง จึงได้เข้าไปขอซื้อเพราะจำได้ว่าเป็นช้างที่ ธนาเคยเป็นเจ้าของเมื่อครั้งยังเด็ก และนั่นเองคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางเพื่อนำช้างกลับคืนบ้านเกิดอย่างที่มันควรจะเป็น
แต่....ทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้จริงเหรอ ตลอดการเดินทาง ธนาได้พบกับผู้คนต่างลักษณะ ต่างที่มาและได้เข้าไปพัวพันธ์กับชีวิตของคนเหล่านั้น และการยื่นมือเข้าช่วยของธนา เป็นเหมือนกระจกสะท้อนบางอย่างกลับคืนมาว่า ไม่มีอะไรยั่งยืนและอยู่ค้ำฟ้า ไม่ว่าจะเป็น สังขาร ตำแหน่ง ชื่อเสียง ฐานะ และที่สำคัญที่สุด คือ ความสัมพันธ์ เมื่อเวลาเปลี่ยนอะไรๆ ก็เปลี่ยนตาม และบางครั้งเมื่อเราอยากย้อนกลับไปเป็นเหมือนเมื่อวันวาน เราก็ทำไมไ่ด้แล้ว เพราะทุกสิ่งในอดีตจะกลายเป็นเพียงความทรงจำ
การดำเนินเรื่องระหว่างการเดินทางของ ธนา และ ป๊อปอายค่อนข้างชัดเจน มีโมเมนต์ เศร้า ตลก อึดอัด ปนไปพร้อมๆกัน และต้องยอมรับว่าผู้กำกับทำการบ้านมาดีแม้ไม่ใช่คนไทย แต่ด้วยความที่อยู่เมืองไทยมานาน การใส่รายละเอียด วิถีชีวิตความเป็นอยู่ การสะท้อนสังคมที่ทำออกมาได้เป็นอย่างดี ดูแล้วเป็นหนัง อินเตอร์
และเมื่อบทสรุปสุดท้ายของการเดินทางมาถึง ธนาเองได้เข้าใจถึงคำว่า ปล่อยวาง เพราะในช่วงแรกธนาน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิตที่ตกต่ำ เพราะตัวเองเคยอยู่ในจุดที่สูงมาก่อน และเมื่อต้องการไขว่คว้าหาสิ่งต่างๆในอดีตที่เหลืออยู่แต่สิ่งนั้นกลับยิ่งตอกย้ำกลับมา และบอกให้ธนาปล่อยไปได้แล้วและใช้ชีวิตไปข้างหน้า ให้สิ่งในอดีตเป็นแค่ความทรงจำดีๆ และเก็บมันไว้ จงอยู่กับปัจจุบัน
สุดท้ายก่อนหนังจะปิดฉากลงได้ทิ้งประโยค จากพี่ต่ายไว้ให้คิด "ฉันรู้ว่าสิ่งที่คุณทำจะไม่มีวันพัง"
โดยส่วนตัวผมชอบการเล่าเรื่องและโทนของหนัง ที่ดูแล้วไม่ใช่ไทยจ๋า อย่างที่ผู้กำกับไทย ชอบทำกันคือยัดเยียดคำพูดข้อคิด แทบจะป้อนใส่ปากคนดู แต่หนังค่อนข้างเปิดกว้างให้เราคิดตามอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป้นการกระทำของตัวละคร การตบมุขต่างๆ ที่ผกก หยอดมาให้เราคิดทีละนิด และฝีมือการแสดง ของคุณ ธเนศ และ พี่ต่าย สามารถคุมอารมณ์หนังได้ บวกกับความแสนรู้ของช้างพลายป๋อง ทำให้หนังดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
คะแนน สำหรับหนังเรื่องนี้ให้ 8/10
ขอบพระคุณทุกท่านที่สละเวลาอ่านมาจนถึงตรงนี้