เพื่อนๆ คิดอย่างไรกับการจัดงานแต่งงานคะ

ขอเป็นกระทู้แสดงความคิดเห็นนะคะ ไม่ได้มีใครผิดหรือถูก
แค่อยากแสดงความคิดเห็นในมุมมองของเราและอยากฟังความคิดเห็นของเพื่อนๆ ค่ะ
ถ้ามีการใช้คำพูดหรือแสดงความคิดเห็นอะไรที่ไม่เหมาะสมก็ต้องอภัยมา ณ ที่นี้นะคะ
ไม่ได้มีเจตนาจะว่าใครที่ทำหรือไม่ทำแบบไหนค่ะ

ปีนี้ อายุ 29 ค่ะ ยังไม่เคยแต่งงาน แต่ผ่านการเตรียมงานทั้งของญาติสนิท เพื่อนสนิท
และมีโอกาสได้เป็นแขกรับเชิญในหลายๆ งาน
ขอแบ่งเป็นหัวข้อๆ เลยนะคะ ตั้งแต่พอเริ่มคิดจะแต่งงาน

1.งานหมั้นและสินสอด
- ที่เคยเจอมาเมื่อฝ่ายหญิงชายตกลงปลงใจจะแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว ก็จะต้องเริ่มจากฝ่ายชายมาสู่ขอฝ่ายหญิงกับทางญาติผู้ใหญ่
อันนี้เห็นด้วยค่ะ เป็นเรื่องที่ดี ทำอะไรก็ให้ผู้ใหญ่รับรู้ทำให้ถูกต้อง เปิดเผย ... แต่สิ่งที่ตามมาจากนั้นคือ
พ่อแม่ฝ่ายหญิงจะมีการเรียกค่าน้ำนม หรือค่าสินสอด เคยเจอทั้งแบบระบุเป็นจำนวนเงิน ทรัพย์สินบ้านรถ ทองคำ
หรือบางทีก็จะประมาณลูกสาวแม่ก็มีหน้ามีตา หน้าที่การงานใหญ่โต เป็นหมอ เป็นแอร์กัน ก็เอาให้สมน้ำสมเนื้อแล้วกันเนอะ
หรือบางรายก็ไม่ได้ระบุเป็นจำนวนก็แล้วแต่ให้ คงกลัวว่าถ้าไม่เรียกเลยเดี๋ยวจะหาว่ายกให้ฟรีๆ กลัวเค้าจะไม่เห็นค่า อันนี้ก็ไม่ทราบนะคะ
ส่วนสำหรับฝ่ายชายที่เต็มใจจะให้ไม่ได้เดือดร้อนอะไร อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ดีนะคะ เพราะประเพณีไทยเราก็ทำกันมาช้านานแล้ว
ก็แล้วแต่บ้านไหนจะตกลงกัน บางทีก็ยกให้ครอบครัวฝ่ายหญิงเลย
บางทีครอบครัวฝ่ายหญิงก็คืนให้บ่าวสาว ถือว่าเป็นเงินตั้งตัว เริ่มต้นชีวิตใหม่
- แต่ส่วนใหญ่ที่เราเจอคือ ผู้ชายเดือดร้อนค่ะ คือบางรายไม่ได้มีมากอะไร แต่ต้องหามาให้ได้ บางทีก็กว่าจะได้แต่งเรียกได้ว่าแก่ค่ะ
เพราะมัวก้มหน้าตาทำงานเก็บเงิน หารายได้เสริม เพื่อให้ได้เงินไวๆ หรือบางทีก็หายืมมา ยิ่งไปกว่านั้นเคยเจอยืมฝ่ายเจ้าสาวนั่นแหละค่ะ
อันนี้ งง ค่ะ งง ... คือลูกชายเค้าก็กินนมเหมือนลูกสาวแม่อ่ะค่ะ เค้าไม่ได้กินหญ้านะคะ
แล้วคือการยืมแม่เจ้าสาว มาวางเงินสินสอดกองหลายๆ ล้าน
ทองคำ เพชรนิลจินดา มากมาย พอเสร็จงานก็คืนแม่เจ้าสาวไป ?? อันนี้ไม่เข้าใจจริงจังเลยค่ะ ว่ามันแสดงถึงอะไรหรอคะ
การที่ฝ่ายชายไม่มีเงิน ไม่มีค่าสินสอดมากองโชว์ในงานหมั้นลูกสาวคุณนั้น คุณอายคนหรือคะ หรือรู้สึกว่าลูกสาวคุณดูไม่มีค่า
ฝ่ายชายไม่ยอมเอาเงินมากองให้ หรือกลัวคนดูถูกว่า ลูกสาวคุณสูงส่ง แต่หาคนไม่มีเงินมาเป็นคู่ชีวิต
- สำหรับเราคิดว่ามันไม่ได้จำเป็นอะไรเลยกับเงินสินสอด การจะทำให้ลูกผู้หญิงเราจะมีคุณค่านั้นไม่ได้อยู่ที่จำนวนสินสอด
เพียงแค่เราเป็นคนดี รักนวลสงวนตัว มีการงานทำรับผิดชอบตัวเอง และครอบครัวได้ น่าจะเพียงพอแล้ว
แต่งกันไปก็ช่วยกันทำมาหากิน สร้างครอบครัวไม่ได้หรือคะ
ขั้นตอนนี้ถ้าสองฝ่ายมีความเห็นตรงกัน ถือว่าโชคดีเลยนะคะ ผ่านไปได้ราบรื่น
แต่ถ้าเกิดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเห็นไม่ตรงกันนี่ ถึงขั้นเลิกกันก็มีมาแล้วนะคะ
เพราะไม่มีเงินสินสอดไปกองให้ หาว่าไม่จริงใจหรือไม่เหมาะสมไม่คู่ควร ...

2. ผ่านด่านเรื่องสินสอดกันได้เรียบร้อย ต่อไปก็หาฤกษ์งามยามดีสำหรับการแต่งงาน
- บางคนที่ฤกษ์ดีตรงกับฤกษ์สะดวกก็ถือว่าโชคดีเลยค่ะ แต่บางรายที่เคยเจอมาคือ ฤกษ์มีเดือนหน้า กับอีกทีปีหน้าเลย
เอาไงดีๆๆ จะรอปีหน้าก็ช้าไป จะเอาเดือนหน้าก็สถานที่อะไรจัดเตรียมไม่ทัน สรุปรอ ค่ะ ...
อืมเนอะ จะแต่งงานทั้งที รักกันพร้อมจะใช้ชีวิตคู่ แต่ก็ต้องรอฤกษ์
- เคยมีประสบการณ์พระอาจารย์ท่านหนึ่งดูดวงให้ว่าฤกษ์นี้ดีที่สุด เหมาะสมที่สุด จะครองรักกันยืนยาว ว่ากันไป
(อันนี้ไม่ได้มีเจตนาลบลู่นะคะ) แต่สุดท้ายอยู่กัน 11 ปีค่ะ มีลูกด้วย 2 คน ตอนนี้ก็เลิกราหย่าร้างกันเป็นที่เรียบร้อย
สำหรับเราเชื่อว่าการที่คนสองคนจะอยู่ด้วยกันตลอดรอดฝั่งนั้นส่วนนึงก็อยู่ที่เวรกรรม (เอิ่ม บุญกรรมน่ะค่ะ) ทำกันมา
แล้วก็อยู่ที่การทำตัวในชาตินี้ด้วย ถ้ารักกัน ซื่อสัตย์ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน จะแต่งตอนไหนก็อยู่กันได้ค่ะ
แต่ถ้าหมดบุญที่ทำกันมาหรือแต่งไปแล้วไม่ให้เกียรติกัน นอกใจกัน
ต่อให้แต่งงานด้วยฤกษ์ดีที่สุดในรอบ 60 ปี ฤกษ์นี้มีวันเดียว มันก็ไปกันไม่รอดหรอกค่ะ

3. ผ่านเรื่องดูฤกษ์มาแล้วก็จะเป็นเรื่องสถานที่และจำนวนแขกที่เชิญ
- เรื่องสถานที่นี่ก็เห็นให้ความสำคัญกันมาก ยิ่งใหญ่โต ยิ่งหรูหรา
ยิ่งดูดีถือเป็นการให้เกียรติ เป็นหน้าเป็นตาหรือยังไงอันนี้ก็ไม่เข้าใจนะคะ
ถ้าการประกาศใหญ่โตให้โลกรู้ว่าเรากะลังจะมีสามี กะลังจะมีภรรยามันเป็นสิ่งที่แสดงถึงการให้เกียรติ
แต่ลับหลังไม่ซื่อสัตย์ นอกใจ พูดจาทำร้ายจิตใจ ทุบตีทำร้ายร่างกายกัน
แบบนั้นต่อให้งานใหญ่กว่านี้อีกกี่เท่ามันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย
- ส่วนเรื่องของการเชิญแขก เท่าทีเคยเห็นที่ก็จะถูกจำกัดในเรื่องของสถานที่ด้วย ว่าจุได้กี่คน แล้วก็แบ่งกัน
ฝ่ายชายเชิญได้กี่คน ฝ่ายหญิงเชิญได้กี่คน นั่งลิซรายชื่อกันจะเชิญใครบ้าง เริ่มจากญาติผู้ใหญ่ ญาติสนิท เพื่อนสนิท
กลัวว่าจะตกหล่นใครเดี๋ยวจะหาว่าเป็นการไม่ให้เกียรติ แต่สถานที่ก็จำกัด ต้องเลือกเชิญอีก
- และความรู้สึกของเราเวลาได้รับซองแล้วกันนะคะ บางทีก็จำใจต้องไปเพราะเกรงใจ
เค้าอุตส่าเชิญมาจะไม่ไปก็เดี๋ยวจะกลายเป็นเสียมารยาท
แล้วสำหรับสาวๆ เวลาไปงานคงไม่ต่างกันมากใช่มั๊ยคะ เริ่มจากหาเสื้อผ้าให้เข้ากับตรีมงาน จะใส่แหวกแนวไป
เดี๋ยวจะหาว่าไม่ให้เกียรติ ก็ต้องให้เข้ากับเค้าหน่อย เรียกได้ว่า 1 ชุดใส่ได้แค่ 1 งาน
ชุดก็มีหลายแบบหลายราคาค่ะ เช่า ซื้อ ตัด ไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท ถ้างานญาติสนิทเพื่อนสนิท บางทีก็หลัก 4-5 พัน
ไหนจะรองเท้ากระเป๋าอีก ถ้าสีมันไปกันได้กับงานที่แล้วก็โชคดีหน่อย ถ้าไม่ได้ ก็จัดใหม่ยกชุด
เงินใส่ซองอีก ใส่น้อยจะเกิดเป็นดราม่ามั๊ยน้อ แล้วก็แต่งหน้าทำผมอีก ใครทำเองเป็นก็โชคดีไป
แต่ยังมีหลายคนที่แต่งหน้าทำผมเองเป็น สรุปงานนึงหมดไปเยอะค่ะ
ถ้าไม่สนิทมาก็ 3 4 พัน ถ้ายิ่งสนิทก็ 5 6 7 8 พันก็ว่าไป .. อืมมม เนอะ นี่งานแต่งงาน ???
- เคยมีงานญาติสนิทงานนึง เชิญญาติๆที่อยู่ต่างจังหวัดมาร่วมงาน ซึ่งเค้าก็ไม่ได้มีสตางค์กันเท่าไหร่
ต้องมาตัดชุดผ้าไหมชุดใหม่ เหมารถมาจากต่างจังหวัด มาพักโรงแรม และใส่ซองให้หลาน สรุปหมดไปไม่น้อย
เราเห็นแล้วก็สงสารเลย ไม่รู้ว่าเค้าคิดกันยังไง กลัวว่าไม่มาร่วมงานหลานจะน้อยใจรึเปล่า
แต่ถ้าเป็นเราจะไม่มีวันยอมให้ใครต้องมาลำบากแบบนี้เด็ดขาด
แค่เค้าแสดงความยินดีกับเรา อวยพรเราอยู่ที่บ้านก็เพียงพอแล้ว

** มีต่อนะคะ เป็นคนไม่ถนัดย่อความค่ะ พิมพ์ทีไรยาวทู๊กที แห่ะๆ ( 10,000 ตัวอักษรนี่น้อยเหมือนกันเนอะ) **
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่