ขอต่ออีกหน่อย กับกระทู้ภาคที่แล้วตามหัวข้อข้างบน
กระทู้ภาคที่แล้ว
https://ppantip.com/topic/37259798
อ้อ...เพื่อให้ชัดเจนไปเลยว่า จขกท. มีความเห็นอย่างไร กับเรื่อง สินสอด การสู่ขอ และ พิธีแต่งงาน
ก็ขอย้ำจุดยืนอีกครั้งว่า จขกท. ให้ความสำคัญกับ
การให้เกียรติระหว่างคู่รัก
ข้อสำคัญข้อหนึ่งของการให้เกียรติคือ
การกล้าประกาศอย่างชัดเจนต่อญาติพี่น้องผองเพื่อนว่าเป็นอะไรกัน
และ
การแต่งงานก็เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการประกาศสถานภาพ
ดังนั้น จขกท.จึงอยู่ทีมแต่งงาน (ซึ่งคำว่า แต่งงานอาจมีได้หลายรูป ตามที่ได้คุยในกระทู้ที่แล้ว)
และหากสินสอด การสู่ขอ และพิธีแต่งงานประเภทต่าง ๆ ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการให้เกียรติ
จขกท. ก็ไม่ต่อต้าน ไม่คัดค้านค่ะ สนับสนุนด้วย
ส่วนตัวดิฉันเชื่อว่า ทุกอย่างในชีวิตรวมถึงการแต่งงานก็เช่นกัน
หากเราทำอย่าง “ประมาณตน” รู้ให้ รู้รับ รู้เกรงใจกันและกัน และทำอยู่ในขอบเขตของฐานะตัวเอง หรือจะพูดง่าย ๆ ตามภาษาสมัยนี้ก็ต้องบอกว่า ทำแบบพอเพียง ไม่เฟค ไม่เสแสร้ง ไม่หลอกลวง ไม่มัวห่วงหน้าจนก่อหนี้ที่ไม่จำเป็น และเราทำอย่างตั้งใจ ทุ่มเท
ทุกสิ่งอย่างมันก็จะสวยงามได้ตามขนาดในรูปแบบของตนเอง
หากคู่บ่าวสาวไม่วางแผนปรึกษา เกริ่นคุยเรื่องสินสอด รวมถึงดูทางลมของผู้ใหญ่ฝ่ายกันและกันก่อน
ดิฉันมีข้อสังเกต จากที่ได้เคยได้เห็น ได้ยินได้ฟัง ได้อ่านมา (แหม...อยากเปิดโหวตว่าเพื่อนร่วมบอร์ดที่อยู่ทีมคัดค้าน คัดค้านเพราะอะไร ? แต่ทำไม่เป็น แหะ แหะ) ว่า
สิ่งที่จะเจอ และส่งผลให้คน (จำนวนหนึ่ง) ต่อต้านหรือมีปฏิกิริยาด้านลบกับ “สินสอด” คือ
ผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง
- เรียกหนักเกินไป เกินกำลัง หรือเต็มกำลังจนหลังแอ่นแทบหัก
- เรียกหนักก็เรื่องหนึ่ง แต่เรียกแล้วไม่คืน พ่อตาแม่ยายริบหมดเกลี้ยง (ซึ่งหากผู้ชายกู้เงินมาวางเป็นสินสอด แล้วเจอหมากเกมส์นี้ นี่คือ ตายสนิทเลยนะคับ)
- ทำเหมือนเป็นของซื้อของขาย ต่อรองกันเหมือนผักปลา วางราคาโชว์หรา
- หงายการ์ดผู้ชายจ่ายตลอดรวมซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือซื้ออะไรต่อมิอะไรอีกมากมายในชื่อผู้หญิง(หรือบังคับให้เป็นชื่อร่วม)ในทุกสถานการณ์ (แล้วยังจะเรียกมาสินสอดอีกหรือ เฮ้อ...)
สิ่งที่จะตามมาหลังเหตุการณ์ด้านบน คือ
-การวิจารณ์ถึงความคู่ควร ไม่คู่ควรของเจ้าสาวกับตัวเงินที่ต้องจ่าย
ตอนนี้เป็นตอนที่ดราม่ายิ่งกว่าละครหลังข่าว ไดอะล็อกประมาณ “จบแค่นี้ งานการแค่นี้ ดูซิ สวยก็ไม่สวย ยังมาเรียกร้องตั้งขนาดนี้”
-ขุดประวัติเจ้าสาวด้านลบมา เพื่อสร้างความชอบธรรมในการไม่ให้สินสอดที่ถูกเรียกร้อง “โอ๊ย...คนนี้น่ะ มีแฟนมาแล้วเจ็ดคน ลูกชั้นเป็นคนที่แปด เรียกสินสอด ราวกับเป็นนางฟ้าผ่องผุดพิสุทธิ์ใสมาจากไหน” (ตอนนี้ จะมีประเด็นเรื่องบริสุทธิ์ไม่บริสุทธิ์ตามมาอีก)
-เหมาเอาเลยว่า ครอบครัวฝ่ายหญิงเห็นแก่เงินขายลูกสาวกิน (โดยอาจไม่ทันได้ฉุกคิดถึงเหตุผลว่า ทำไมครอบครัวฝ่ายหญิงถึงเรียกสินสอดจำนวนนั้น) ในพันทิป เราก็จะคุ้น ๆ กับความคิดเห็นประเภท “คร้าบบบบ...ค่าน้ำนมผู้หญิง ผู้ชายก็ไม่ใช่ตุ๊ดตู่ เกิดจากรูกระบอกไม้ไผ่นะครับ กินนมมาเหมือนกัน”
ถ้ารอดจากขั้นตอนนี้ไปจนได้แต่งงานกัน ก็จะเป็นการเริ่มต้นชีวิตที่มีรอยร้าวรอยใหญ่ระหว่างสองครอบครัว อาจจะมีการตั้งแง่รังเกียจลูกสะใภ้ จนถึงการหมายใจเอาไว้ว่า “เอาเถอะ สมบัติที่เหลืออยู่ ก็อย่าหวังเลยว่าจะให้ กลัวจริง ๆ ลูกชายแต่งกับบ้านปลิง”
น่าสงสารและน่าเห็นใจนะคะ ที่คู่บ่าวสาวจะต้องเริ่มชีวิตแต่งงานแบบนี้
แต่ชีวิตคู่คือ สมองคู่ดูโอค่ะ สองหัวดีกว่าหัวเดียว หากคู่บ่าวสาวคุย ปรึกษา เกริ่น และวางแผนการคุยกันก่อน และคุยกับผู้ใหญ่ก่อน คุยให้ละเอียดทุกข้อ ทุกปม ปัญหาพวกนี้ ก็จะไม่มี
ถามว่าคุย ควรคุยอะไรบ้าง
- ค่าใช้จ่ายในงานแต่งงานใครออก ?
- ต้องการสินสอดไหม ต้องการเท่าไร และจะคืนไหม ? อันนี้ ฝ่ายเจ้าสาวควรเป็นคนเกริ่นถามกับทางบ้านของตัวเอง ถ้าให้ผู้ชายถาม เดี๋ยวเค้าถามทื่อ ๆ ผู้ใหญ่จะมองว่า “เจ้านี่มันงก ใจไม่ถึงนี่หว่า” แล้วจะเสียความรู้สึกกันไป
เพื่อนดิฉันคนหนึ่ง ตอนจะแต่งกับสามี (รู้สึกตอนจะแต่งนั้นก็ท้องได้สามสี่เดือนแล้วมั้ง) ฝ่ายผู้ใหญ่ผู้ชายไปสู่ขอ โดนเรียกสินสอดไปเจ็ดหลัก มีการต่อรองกันด้วยว่า “หากผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง อยากได้หน้า จะเอามาวางโชว์ให้ แต่จบงานแล้วขอคืนจ้ะ”
ฟังแล้วอาจจะพิพักพิพ่วนนิดนึง แต่ข้อดีคือ
การสื่อสารและตกลงกันอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ ทำให้ไม่ผิดใจกันในภายหลัง
เพื่อนดิฉันคนนี้แต่งงานมาได้สิบสี่ปีแล้วค่ะ ยังรักกันเหนียวแน่นกับสามีซึ่งหลังแต่งงานก็ดูแลทุกกอย่างจริง ๆ (ทั้งเงินใช้จ่ายส่วนตัว และทริปไปเที่ยวแบบโรงแรมห้าดาวกับครอบครัวปีละสามสี่ครั้ง) และครอบครัวก็ยังไปมาหาสู่กันดีทั้งสองฝ่าย
-งานแต่งใครเก็บซอง ? เก็บแล้วจะใช้อย่างไร ?
(ภาค 2) การให้เกียรติ การได้รับเกียรติ สินสอด การสู่ขอ และพิธีแต่งงาน
กระทู้ภาคที่แล้ว
https://ppantip.com/topic/37259798
อ้อ...เพื่อให้ชัดเจนไปเลยว่า จขกท. มีความเห็นอย่างไร กับเรื่อง สินสอด การสู่ขอ และ พิธีแต่งงาน
ก็ขอย้ำจุดยืนอีกครั้งว่า จขกท. ให้ความสำคัญกับการให้เกียรติระหว่างคู่รัก
ข้อสำคัญข้อหนึ่งของการให้เกียรติคือ การกล้าประกาศอย่างชัดเจนต่อญาติพี่น้องผองเพื่อนว่าเป็นอะไรกัน
และการแต่งงานก็เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการประกาศสถานภาพ
ดังนั้น จขกท.จึงอยู่ทีมแต่งงาน (ซึ่งคำว่า แต่งงานอาจมีได้หลายรูป ตามที่ได้คุยในกระทู้ที่แล้ว)
และหากสินสอด การสู่ขอ และพิธีแต่งงานประเภทต่าง ๆ ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการให้เกียรติ
จขกท. ก็ไม่ต่อต้าน ไม่คัดค้านค่ะ สนับสนุนด้วย
ส่วนตัวดิฉันเชื่อว่า ทุกอย่างในชีวิตรวมถึงการแต่งงานก็เช่นกัน
หากเราทำอย่าง “ประมาณตน” รู้ให้ รู้รับ รู้เกรงใจกันและกัน และทำอยู่ในขอบเขตของฐานะตัวเอง หรือจะพูดง่าย ๆ ตามภาษาสมัยนี้ก็ต้องบอกว่า ทำแบบพอเพียง ไม่เฟค ไม่เสแสร้ง ไม่หลอกลวง ไม่มัวห่วงหน้าจนก่อหนี้ที่ไม่จำเป็น และเราทำอย่างตั้งใจ ทุ่มเท ทุกสิ่งอย่างมันก็จะสวยงามได้ตามขนาดในรูปแบบของตนเอง
หากคู่บ่าวสาวไม่วางแผนปรึกษา เกริ่นคุยเรื่องสินสอด รวมถึงดูทางลมของผู้ใหญ่ฝ่ายกันและกันก่อน
ดิฉันมีข้อสังเกต จากที่ได้เคยได้เห็น ได้ยินได้ฟัง ได้อ่านมา (แหม...อยากเปิดโหวตว่าเพื่อนร่วมบอร์ดที่อยู่ทีมคัดค้าน คัดค้านเพราะอะไร ? แต่ทำไม่เป็น แหะ แหะ) ว่าสิ่งที่จะเจอ และส่งผลให้คน (จำนวนหนึ่ง) ต่อต้านหรือมีปฏิกิริยาด้านลบกับ “สินสอด” คือ
ผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง
- เรียกหนักเกินไป เกินกำลัง หรือเต็มกำลังจนหลังแอ่นแทบหัก
- เรียกหนักก็เรื่องหนึ่ง แต่เรียกแล้วไม่คืน พ่อตาแม่ยายริบหมดเกลี้ยง (ซึ่งหากผู้ชายกู้เงินมาวางเป็นสินสอด แล้วเจอหมากเกมส์นี้ นี่คือ ตายสนิทเลยนะคับ)
- ทำเหมือนเป็นของซื้อของขาย ต่อรองกันเหมือนผักปลา วางราคาโชว์หรา
- หงายการ์ดผู้ชายจ่ายตลอดรวมซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือซื้ออะไรต่อมิอะไรอีกมากมายในชื่อผู้หญิง(หรือบังคับให้เป็นชื่อร่วม)ในทุกสถานการณ์ (แล้วยังจะเรียกมาสินสอดอีกหรือ เฮ้อ...)
สิ่งที่จะตามมาหลังเหตุการณ์ด้านบน คือ
-การวิจารณ์ถึงความคู่ควร ไม่คู่ควรของเจ้าสาวกับตัวเงินที่ต้องจ่าย
ตอนนี้เป็นตอนที่ดราม่ายิ่งกว่าละครหลังข่าว ไดอะล็อกประมาณ “จบแค่นี้ งานการแค่นี้ ดูซิ สวยก็ไม่สวย ยังมาเรียกร้องตั้งขนาดนี้”
-ขุดประวัติเจ้าสาวด้านลบมา เพื่อสร้างความชอบธรรมในการไม่ให้สินสอดที่ถูกเรียกร้อง “โอ๊ย...คนนี้น่ะ มีแฟนมาแล้วเจ็ดคน ลูกชั้นเป็นคนที่แปด เรียกสินสอด ราวกับเป็นนางฟ้าผ่องผุดพิสุทธิ์ใสมาจากไหน” (ตอนนี้ จะมีประเด็นเรื่องบริสุทธิ์ไม่บริสุทธิ์ตามมาอีก)
-เหมาเอาเลยว่า ครอบครัวฝ่ายหญิงเห็นแก่เงินขายลูกสาวกิน (โดยอาจไม่ทันได้ฉุกคิดถึงเหตุผลว่า ทำไมครอบครัวฝ่ายหญิงถึงเรียกสินสอดจำนวนนั้น) ในพันทิป เราก็จะคุ้น ๆ กับความคิดเห็นประเภท “คร้าบบบบ...ค่าน้ำนมผู้หญิง ผู้ชายก็ไม่ใช่ตุ๊ดตู่ เกิดจากรูกระบอกไม้ไผ่นะครับ กินนมมาเหมือนกัน”
ถ้ารอดจากขั้นตอนนี้ไปจนได้แต่งงานกัน ก็จะเป็นการเริ่มต้นชีวิตที่มีรอยร้าวรอยใหญ่ระหว่างสองครอบครัว อาจจะมีการตั้งแง่รังเกียจลูกสะใภ้ จนถึงการหมายใจเอาไว้ว่า “เอาเถอะ สมบัติที่เหลืออยู่ ก็อย่าหวังเลยว่าจะให้ กลัวจริง ๆ ลูกชายแต่งกับบ้านปลิง”
น่าสงสารและน่าเห็นใจนะคะ ที่คู่บ่าวสาวจะต้องเริ่มชีวิตแต่งงานแบบนี้
แต่ชีวิตคู่คือ สมองคู่ดูโอค่ะ สองหัวดีกว่าหัวเดียว หากคู่บ่าวสาวคุย ปรึกษา เกริ่น และวางแผนการคุยกันก่อน และคุยกับผู้ใหญ่ก่อน คุยให้ละเอียดทุกข้อ ทุกปม ปัญหาพวกนี้ ก็จะไม่มี
ถามว่าคุย ควรคุยอะไรบ้าง
- ค่าใช้จ่ายในงานแต่งงานใครออก ?
- ต้องการสินสอดไหม ต้องการเท่าไร และจะคืนไหม ? อันนี้ ฝ่ายเจ้าสาวควรเป็นคนเกริ่นถามกับทางบ้านของตัวเอง ถ้าให้ผู้ชายถาม เดี๋ยวเค้าถามทื่อ ๆ ผู้ใหญ่จะมองว่า “เจ้านี่มันงก ใจไม่ถึงนี่หว่า” แล้วจะเสียความรู้สึกกันไป
เพื่อนดิฉันคนหนึ่ง ตอนจะแต่งกับสามี (รู้สึกตอนจะแต่งนั้นก็ท้องได้สามสี่เดือนแล้วมั้ง) ฝ่ายผู้ใหญ่ผู้ชายไปสู่ขอ โดนเรียกสินสอดไปเจ็ดหลัก มีการต่อรองกันด้วยว่า “หากผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง อยากได้หน้า จะเอามาวางโชว์ให้ แต่จบงานแล้วขอคืนจ้ะ”
ฟังแล้วอาจจะพิพักพิพ่วนนิดนึง แต่ข้อดีคือ การสื่อสารและตกลงกันอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ ทำให้ไม่ผิดใจกันในภายหลัง
เพื่อนดิฉันคนนี้แต่งงานมาได้สิบสี่ปีแล้วค่ะ ยังรักกันเหนียวแน่นกับสามีซึ่งหลังแต่งงานก็ดูแลทุกกอย่างจริง ๆ (ทั้งเงินใช้จ่ายส่วนตัว และทริปไปเที่ยวแบบโรงแรมห้าดาวกับครอบครัวปีละสามสี่ครั้ง) และครอบครัวก็ยังไปมาหาสู่กันดีทั้งสองฝ่าย
-งานแต่งใครเก็บซอง ? เก็บแล้วจะใช้อย่างไร ?