นี่เป็นช่องโหว่เล็กๆของประกันสังคม ที่ทำให้ผู้ได้รับสิทธิจากการประกันตนไม่ได้รับสิทธิ อยากให้เป็นกรณีศึกษาอีกกรณีหนึ่ง เพื่อช่วยกันปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด (เรื่องนี้เกิดในช่วงประมาณ 5-8 ปีที่แล้ว ประมาณ 2552-2555)
บิดาผม เป็นคนต่างจังหวัดจบแค่ ป.4 เข้ามาทำงานใน กทม. ได้มีภรรยา(เป็นคน ตจว.เช่นกัน จบแค่ ป.2) แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส และมีบุตร 1 คน คือผม
เนื่องจากเป็นคน ตจว. การศึกษาน้อย จึงไม่ได้สนใจเรื่องการรับรองบุตร และไม่รู้ว่ามันจะมีผลเช่นไรในอนาคต จริงๆไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีการรับรองบุตร ผมจึงเป็น ”บุตรนอกสมรส”
ทั้งสองคน สามี-ภรรยา ใช้ชีวิตเป็นครอบครัวเป็นที่รับรู้ทั่วกันของคนทั่วไป อยู่บ้านด้วยกัน ทำงานสร้างครอบครัวด้วยกัน เลี้ยงดูบุตรด้วยกัน พ่อผมมีชื่อเป็นบิดาในใบทะเบียนบ้าน เป็นผู้ปกครองในฐานะในการเข้าเรียนหนังสือจนถึงมหาวิทยาลัย ในกรณีต่างๆก็เป็นผู้เซ็นต์รับรองในฐานะบิดาทุกครั้ง
พูดภาษาชาวบ้านว่านี่คือครอบครัวหนึ่ง ที่มี พ่อ แม่ ลูก เหมือนครอบครัวทั่วไป เพียงแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสและไม่ได้รับรองบุตรอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งเห็นได้รอบตัวทั้งญาติพี่น้อง ทั้งคนที่หมู่บ้าน ส่วนใหญ่ไม่มีใครจดทะเบียนสมรสตามประสาคนบ้านนอก
ผมในฐานะ บุตรชาย ก็ไม่ได้มีความสนใจในเรื่องนี้ จนมีเหตุการณ์มาเกี่ยวข้อง หลังจากท่านเสียชีวิตไปแล้ว
ขอนอกเรื่องนิดนึงครับ บิดาผมคงไม่ทราบถึงสิทธิที่ต้องได้รับจากประกันสังคมแน่นอน เพราะทำงานเป็นพ่อครัวในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งนายจ้างก็เพียงจ้างคนเพื่อทำเรื่องส่งเงินสมทบประกันสังคมให้ลูกจ้างเพื่อไม่ให้ผิดกฎหมาย
แต่มีการทุจริตในเรื่องนี้ คือ การแจ้งเงินเดือนของลูกจ้างที่ต่ำกว่าความเป็นจริงเพื่อที่จะได้ส่งเงินสมทบน้อยลง(ผมทราบได้เพราะหลังจากพ่อป่วย ได้ทำเรื่องขอเงินชดเชยในกรณีป่วย)
ต่อมาเมื่อท่านป่วยเป็นเส้นเลือดในสมองแตก(อัมพฤกษ์) จึงมีผลต่อทางร่างกายคือร่างกายซีกขวาอ่อนแรงขยับไม่ได้ และมีผลต่อทางสมองคือสมองไม่เป็นปกติ(หลงลืม เพ้อ มีนิสัยเหมือนกลายเป็นเด็ก)
เงินชดเชยในส่วนของการป่วยในสิทธิ์ที่จะได้รับจากประกันสังคมก็ไม่ได้ เนื่องจาก นายจ้างไม่ทราบว่าต้องหยุดส่งเงินประกันสังคมหลังจากที่หยุดงาน จึงมีการส่งเงินสมทบ(ส่งหลอกๆจำนวนเงินสมทบจริงที่ต้องส่ง)ต่อเรื่อยๆ
จนกระทั่งผมพบว่าผมไม่สามารถเดินเรื่องขอเงินชดเชยการเจ็บป่วยนี้ได้ ทาง ปกส. แจ้งผมว่านายจ้างต้องทำเรื่องขอเงินสมทบในส่วนที่จ่ายเกินนั้น ถึงจะขอเงินประกันสังคมได้ ปกส. ควรจะช่วยผมโดยการเดินเรื่องประสานงานกับนายจ้างให้ หรือ ให้ผมเดินเรื่องในส่วนของผมเองก็ได้ซึ่งจะพิสูจน์ได้ว่าไม่มีการทำงานจริง คือรายงานทางการแพทย์ และที่ง่ายการนั้นคือผมพาพ่อมาให้ ปกส.ดูก็ได้ คนเป็นอัมพฤตร่างกายซีกหนึ่งอ่อนแรงไม่ได้ใช้งานจนลีบลงทุกวัน ปากเบี้ยว เห็นก็รู้แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง แต่ ปกส. ให้ผมแจ้งนายจ้างเอง
ผมจึงติดต่อกับทางนายจ้าง แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ (ไปอธิบายให้เข้าใจแล้วด้วยท่าทีสุภาพ กลับโดนว่า มันเรื่องอะไรกันนักกันหนา )
สรุป จึงไม่ได้รับเงินชดเชยในส่วนเงินทดแทนนี้ เพราะนายจ้างไม่ทำเรื่องขอคืนเงินสมทบให้
กลับมาเข้าเรื่องประเด็นหลัก หลังจากป่วยรายได้หลักของครอบครัวหายไป ผมกับแม่ต้องสลับกันพาพ่อไปหาหมอตามนัด ขณะนั้นผมเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ สภาพคล่องทางการเงินในครอบครัวขัดสน เงินชดเชยที่ควรจะได้กลับไม่ได้รับ เคยปรึกษา ปกส. เรื่องบุคคลทุพพลภาพ แต่ ปกส. บอกว่าไม่เข้าข่ายมีสิทธิในส่วนนี้ ในช่วงนั้นน่าเป็นห่วงมาก เนื่องจากผู้ป่วยต้องอยู่คนเดียวในบ้านช่วงกลางวัน เพราะแม่ไปทำงาน ผมไปเรียนหนังสือ พ่อช่วยตัวเองไม่ได้มากที่สำคัญมีอาการไม่ปกติทางสมองมากขึ้น (ถึงขั้นจะเอามีดแทงแม่ เพราะเพ้อว่าแม่มีชู้ นอนพูดจาหยาบคายทั้งที่ไม่ใช่บุคลิกของพ่อเลย) จนผมเรียนจบได้ทำงานจะกลับบ้านอาทิตย์ละครั้ง และบางครั้งไซท์งานอยู่ ตจว.จึงไม่ได้กลับบ้านเป็นเวลานาน จึงวางแผนชีวิตว่าสักวันเมื่อพร้อมจะกลับ ตจว. จะได้อยู่ด้วยกัน พ่อเป็นแบบนี้ก็ดีจะได้ไม่ต้องทำงานหนักเหมือนที่ผ่านมา
แต่พ่อป่วยได้ประมาณ 2 ปี มีอาการปวดท้องรุนแรง ไป รพ. พบว่าเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้ายและเข้ารับการรักษา (ยังใช้สิทธิ ปกส.อยู่ เนื่องจากส่งเงินสมทบเองมาตลอด) จากการตรวจพบไม่ถึงเดือนท่านก็เสียชีวิต
ทางชาวบ้านรู้กันทั่วว่าสามารถขอเงินค่าทำศพได้จาก ปกส.(ซึ่งอันนี้เบิกได้) และเงินสมทบที่ส่งในขณะทำงาน แต่ไม่รู้ในรายละเอียดของกฎต่างๆ ซึ่งเมื่อมีคนเสียชีวิตครอบครัวนั้นๆก็จะมีผู้ที่รับผลประโยชน์แทน ถ้าไม่มีลูกหรือไม่ได้จดทะเบียนก็เป็นพ่อแม่หรือพี่น้องร่วมสายเลือด ผมจึงทำเรื่องขอรับผลประโยชน์ด้วยเช่นกัน แต่ผลประโยชน์ที่เป็นสิทธิของพ่อไม่สามารถขอรับได้ เนื่องจากไม่มีผู้มีสิทธิ์รับและไม่ได้เขียนผู้รับผลประโยชน์ไว้
1.บิดาของผู้เสียชีวิตไม่ทราบไปอยู่ไหน (พ่อผมไม่ได้เห็นปู่ตั้งแต่จำความได้)
2.มารดาของผู้เสียชีวิต(ย่า) เสียชีวิต
3.ไม่มีพี่น้องร่วมสายเลือดแท้ๆ มีแต่พี่น้องคนละพ่อ ซึ่งปู่และย่าก็ไม่ได้จดทะเบียน
4.ภรรยาไม่ได้จดทะเบียนสมรส
5.บุตรไม่ได้ถูกรับรองตามกฎหมายโดยบิดา
6.ไม่สามารถให้ศาลรับรองบุตรได้เนื่องจากอายุเกินกฎหมายกำหนด
7.ปรึกษา ปกส.ทุกวิถีทางแล้ว กลับได้รับคำตอบที่เป็นไปไม่ได้ (เช่นบอกให้ศาลรับรองบุตร เหมือนบอกปัดๆไป)
ช่วงเวลานั้นมีความคิดไม่ดี เจ็บใจในความไม่รู้ของตัวเอง ทำไมถึงโง่แบบนี้ สิทธิที่ควรได้กลับไม่ได้ ปกส.มีไว้เพื่อช่วยเหลือคนหรือเอาเงินไปเราไปลงทุนแล้วเขียนข้อบังคับให้มีช่องโหว่เหมือนประกันชีวิตที่มีข่าวบ่อยๆว่าเบี้ยวผู้ทำประกัน คิดไปหลายอย่างเนื่องจากพบประสบการณ์ไม่ดี สะสมมา
ตั้งแต่โดนนายจ้างปัดความรับผิดชอบ , บางทีไป ปกส.เจอคนไม่ดีก็จะได้คำปรึกษาแบบปัดๆไป หงุดหงิดใส่เราอีก , ตอนพ่อไปรักษา รพ.เจอพยาบาลพูดไม่ดีอีก
สุดท้ายมาเจอทนาย คือ เมื่อทาง ปกส. ให้ผมไปขอให้ศาลรับรองบุตร ไปถึงศาลเยาวชนมีส่วนนึงมีทนายให้ปรึกษา ทนายเรียกเงินเราก่อนเลยในการว่าความให้ 6,000 บาท และจะขอเพิ่มเมื่อจบคดีอีก(ไม่ใช่ทนายของทางศาล ไม่รู้เค้าเรียกว่าอะไร)
เริ่มจากดำเนินเรื่องให้ศาลรับรองบุตร ทนายเองก็ไม่รู้ว่าอายุเกิน(น่าจะบรรลุนิติภาวะถ้าจำไม่ผิด)กฎหมายกำหนดรับรองบุตรไม่ได้ เสียค่ารถไปศาลจังหวัดอีก เสียหลายต่อผมเป็นคนออกด้วย พาทนายไป ปกส. ปกส.ก็ชี้แจงแล้วว่าต้องให้ศาลรับรองบุตรเท่านั้นถึงจะมีสิทธิรับผลประโยชน์ในส่วนนี้ ทั้งผมทั้ง ปกส. ก็บอกถึงข้อกำหนดนี้ให้ทนายฟัง ทนายยังดื้อดึงว่าทำได้ ทั้งๆที่ศาลเยาวชนบอกว่าไม่ได้เนื่องจากอายุ
ทนายเถียงกับผม บอกว่าต้องได้แน่นอน จะทำเรื่องให้ศาลจังหวัดรับรองเป็นผู้ดูแลมรดก พร้อมทั้งบอกว่า “คุณเปลี่ยนทนายได้นะถ้าไม่เชื่อผม” ซึ่งแน่นอนถ้าผมเปลี่ยนผมก็เสีย 6,000 ไปเปล่าประโยชน์ระหว่างนั้นทนายมีการเรียกเงินค่าเดินทางอีก 2,000 จากผม ผมจึงทำตามทนาย สุดท้ายได้ใบรับรองจากศาลให้เป็นผู้ดูแลมรดก (ไม่มีใครคัดค้าน เพราะทั้งหมู่บ้านรู้ว่าผมเป็นลูกพ่อ แม่เป็นเมียพ่อ และเป็นหลานของพี่ป้าน้าอา ถึงครอบครัวผมจะอยู่กทม.ด้วยความจำเป็นในการหาเงินแต่กลับบ้านทุกครั้งเมื่อมีโอกาสเหมือนครอบครัวทั่วไปที่เป็นแรงงานมาจาก ตจว. และที่สำคัญผมถอดแบบพ่อมาเป๊ะสำเนาถูกต้องเป็นลูกแน่นอน100%)
หลังจากได้ใบรับรองจากศาลมา ผมรีบไป ปกส.ทันที ไปเพื่อที่จะถูกปฎิเสธ ? ใช่ครับ โดน ปกส. ปฏิเสธว่าต้องเป็นใบรับรองบุตรเท่านั้น(เพราะไม่มีญาติคนไหนรับได้) แล้วผมจะได้มาได้ยังไงในเมื่อพ่อก็ไม่อยู่ อายุก็เกินที่ศาลจะรับรอง บุคคลผู้ที่จะรับสิทธิก็ไม่มี ที่บ้าน ตจว.ก็ให้น้องสาว-น้องชายคนละพ่อของผู้เสียชีวิตมาแล้วก็ไม่ได้ ในหมู่บ้านไม่มีใครเข้าข่ายเลย เพราะไม่งั้นผมคงเรียกมาให้รับแทนผม ในหมู่บ้านก็งง เพราะใครเสียชีวิตก็มีคนรับ แต่กรณีผมนี่จนหนทางจริงๆ เข้าใจจว่า ปกส. ทำตามเกณฑ์จริงๆ
มีอีกหลายหนทางที่ตอนนั้นผมจะสามารถรับผลประโยชน์ตรงนี้ได้ เช่นไปศาลปกครอง หรือปรึกษาทนายที่มีความรู้หรือเดินเรื่องถึงระดับสูงของ ปกส. เพราะสุดท้ายความจริงคือผมเป็นลูกของพ่อจริง
แต่ผมเสียเวลาไปเยอะมาก เสียค่าใช้จ่ายไปเยอะมาก เสียอารมณ์เสียสมองที่เจอกับผู้คนที่ไม่ได้เต็มใจช่วยมามาก จึงตัดสินใจยุติกระบวนการ แล้วใช้ชีวิตต่อไป
ที่เขียนมาเพื่อจะให้กรณีผมเป็นกรณีศึกษา ผมเชื่อว่ายังมีผู้คนที่ไม่ได้รับสิทธิอย่างที่เขาควรจะได้รับจาก ปกส. ทั้งไม่มีความรู้หรือขาดการประชาสัมพันธ์
อย่างในกรณีผม ผมขอเสนอว่าทำไม ปกส. ไม่บังคับให้กรอกผู้รับผลประโยชน์เลย ในทุกคนที่จ่ายเงินสมทบ ปกส. ถ้าไม่ได้กรอกแต่แรก ก็ให้สามารถมีข้อบังคับให้อัพเดทได้ทุกปีผ่านทางนายจ้าง ผมว่าไม่ยากเกินที่จะปรับปรุงตรงนี้
นึกถึงในกรณีที่ บุคคลตัวคนเดียว ที่เค้าอาจจะให้เงินของเค้าไปบริจาคที่องค์กรณ์ไหนสักแห่งเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น หรือให้คนยากไร้ แทนที่จะตัดเข้า ปกส. อย่างเดียว
อีกอย่างหนึ่ง การเข้าถึงข้อมูลของคนหาเช้ากินค่ำที่เล่นคอมพิวเตอร์ไม่เป็นและไม่รู้จักอินเตอร์เนตนั้น ปกส.ควรทำหนังสือถึงผู้ประกันตนทุกปี ว่าข้อมูลเงินสมทบของเท่าไรแล้ว กี่งวดแล้ว แล้วให้ข้อมูลสำคัญเงื่อนไขต่างๆแนบไปอีกครั้ง เช่นบำเหน็จบำนาญที่จะได้รับ(นึกถึงกระทู้นึงในพันทิปที่ ปกส.คำนวณเงินเดือนของที่ทำงานสุดท้ายแล้วจ่ายเป็นบำนาญ ซึ่งเสียเปรียบมาก)
เพราะที่พ่อผมไม่รู้ว่านายจ้างทุจริตเรื่องการจงใจใส่เงินเดือนน้อยเพราะเข้าไม่ถึงข้อมูล ผมมาทราบเพราะช่วงนั้นหาข้อมูลหนักจึงใช้ข้อมูลบัตรประชาชนของพ่อหาข้อมูลจึงรู้ว่านายจ้างแจ้งเงินเดือนพ่อผม แค่ 5,000 และเพิ่มเป็น 6,000 ซึ่งมันไม่ใช่ ท่านได้รับเงินเดือนไม่ต่ำกว่าสองหมื่นรวมทิป ซึ่งไม่แน่นอน ( นายจ้างเคยออกหนังสือรับรองเงินเดือน 20,000 ให้ด้วยตอนใช้ทำธุรกรรม )
สุดท้ายหวังว่าเรื่องนี้จะไม่เป็นเพียงเรื่องเล่า เพียงเรื่องหนึ่ง ตั้งแต่ผมยุติเรื่องการดำเนินการเรียกร้องผมก็เก็บเรื่องนี้ไว้มาตลอดมีเล่าให้เพื่อนฝูงญาติพี่น้องฟังบ้าง จนวันนี้คิดได้ว่าเรื่องราวของผมน่าจะมีประโยชน์กับผู้อื่นจึงเรียบเรียงมาอาจจะยาวหน่อยหรืออ่านเข้าใจได้ยากเพราะเป็นการเล่าเรื่องผ่านตัวหนังสือครั้งแรก
ปล. เรื่องที่เล่านี้จะส่งถึง ปกส. และจะโพสต์ลงpantip
เล่าเรื่อง เกี่ยวกับประกันสังคม อาจเป็นประโยขน์แก่ผู้อื่น
บิดาผม เป็นคนต่างจังหวัดจบแค่ ป.4 เข้ามาทำงานใน กทม. ได้มีภรรยา(เป็นคน ตจว.เช่นกัน จบแค่ ป.2) แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส และมีบุตร 1 คน คือผม
เนื่องจากเป็นคน ตจว. การศึกษาน้อย จึงไม่ได้สนใจเรื่องการรับรองบุตร และไม่รู้ว่ามันจะมีผลเช่นไรในอนาคต จริงๆไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีการรับรองบุตร ผมจึงเป็น ”บุตรนอกสมรส”
ทั้งสองคน สามี-ภรรยา ใช้ชีวิตเป็นครอบครัวเป็นที่รับรู้ทั่วกันของคนทั่วไป อยู่บ้านด้วยกัน ทำงานสร้างครอบครัวด้วยกัน เลี้ยงดูบุตรด้วยกัน พ่อผมมีชื่อเป็นบิดาในใบทะเบียนบ้าน เป็นผู้ปกครองในฐานะในการเข้าเรียนหนังสือจนถึงมหาวิทยาลัย ในกรณีต่างๆก็เป็นผู้เซ็นต์รับรองในฐานะบิดาทุกครั้ง
พูดภาษาชาวบ้านว่านี่คือครอบครัวหนึ่ง ที่มี พ่อ แม่ ลูก เหมือนครอบครัวทั่วไป เพียงแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสและไม่ได้รับรองบุตรอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งเห็นได้รอบตัวทั้งญาติพี่น้อง ทั้งคนที่หมู่บ้าน ส่วนใหญ่ไม่มีใครจดทะเบียนสมรสตามประสาคนบ้านนอก
ผมในฐานะ บุตรชาย ก็ไม่ได้มีความสนใจในเรื่องนี้ จนมีเหตุการณ์มาเกี่ยวข้อง หลังจากท่านเสียชีวิตไปแล้ว
ขอนอกเรื่องนิดนึงครับ บิดาผมคงไม่ทราบถึงสิทธิที่ต้องได้รับจากประกันสังคมแน่นอน เพราะทำงานเป็นพ่อครัวในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งนายจ้างก็เพียงจ้างคนเพื่อทำเรื่องส่งเงินสมทบประกันสังคมให้ลูกจ้างเพื่อไม่ให้ผิดกฎหมาย
แต่มีการทุจริตในเรื่องนี้ คือ การแจ้งเงินเดือนของลูกจ้างที่ต่ำกว่าความเป็นจริงเพื่อที่จะได้ส่งเงินสมทบน้อยลง(ผมทราบได้เพราะหลังจากพ่อป่วย ได้ทำเรื่องขอเงินชดเชยในกรณีป่วย)
ต่อมาเมื่อท่านป่วยเป็นเส้นเลือดในสมองแตก(อัมพฤกษ์) จึงมีผลต่อทางร่างกายคือร่างกายซีกขวาอ่อนแรงขยับไม่ได้ และมีผลต่อทางสมองคือสมองไม่เป็นปกติ(หลงลืม เพ้อ มีนิสัยเหมือนกลายเป็นเด็ก)
เงินชดเชยในส่วนของการป่วยในสิทธิ์ที่จะได้รับจากประกันสังคมก็ไม่ได้ เนื่องจาก นายจ้างไม่ทราบว่าต้องหยุดส่งเงินประกันสังคมหลังจากที่หยุดงาน จึงมีการส่งเงินสมทบ(ส่งหลอกๆจำนวนเงินสมทบจริงที่ต้องส่ง)ต่อเรื่อยๆ
จนกระทั่งผมพบว่าผมไม่สามารถเดินเรื่องขอเงินชดเชยการเจ็บป่วยนี้ได้ ทาง ปกส. แจ้งผมว่านายจ้างต้องทำเรื่องขอเงินสมทบในส่วนที่จ่ายเกินนั้น ถึงจะขอเงินประกันสังคมได้ ปกส. ควรจะช่วยผมโดยการเดินเรื่องประสานงานกับนายจ้างให้ หรือ ให้ผมเดินเรื่องในส่วนของผมเองก็ได้ซึ่งจะพิสูจน์ได้ว่าไม่มีการทำงานจริง คือรายงานทางการแพทย์ และที่ง่ายการนั้นคือผมพาพ่อมาให้ ปกส.ดูก็ได้ คนเป็นอัมพฤตร่างกายซีกหนึ่งอ่อนแรงไม่ได้ใช้งานจนลีบลงทุกวัน ปากเบี้ยว เห็นก็รู้แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง แต่ ปกส. ให้ผมแจ้งนายจ้างเอง
ผมจึงติดต่อกับทางนายจ้าง แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ (ไปอธิบายให้เข้าใจแล้วด้วยท่าทีสุภาพ กลับโดนว่า มันเรื่องอะไรกันนักกันหนา )
สรุป จึงไม่ได้รับเงินชดเชยในส่วนเงินทดแทนนี้ เพราะนายจ้างไม่ทำเรื่องขอคืนเงินสมทบให้
กลับมาเข้าเรื่องประเด็นหลัก หลังจากป่วยรายได้หลักของครอบครัวหายไป ผมกับแม่ต้องสลับกันพาพ่อไปหาหมอตามนัด ขณะนั้นผมเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ สภาพคล่องทางการเงินในครอบครัวขัดสน เงินชดเชยที่ควรจะได้กลับไม่ได้รับ เคยปรึกษา ปกส. เรื่องบุคคลทุพพลภาพ แต่ ปกส. บอกว่าไม่เข้าข่ายมีสิทธิในส่วนนี้ ในช่วงนั้นน่าเป็นห่วงมาก เนื่องจากผู้ป่วยต้องอยู่คนเดียวในบ้านช่วงกลางวัน เพราะแม่ไปทำงาน ผมไปเรียนหนังสือ พ่อช่วยตัวเองไม่ได้มากที่สำคัญมีอาการไม่ปกติทางสมองมากขึ้น (ถึงขั้นจะเอามีดแทงแม่ เพราะเพ้อว่าแม่มีชู้ นอนพูดจาหยาบคายทั้งที่ไม่ใช่บุคลิกของพ่อเลย) จนผมเรียนจบได้ทำงานจะกลับบ้านอาทิตย์ละครั้ง และบางครั้งไซท์งานอยู่ ตจว.จึงไม่ได้กลับบ้านเป็นเวลานาน จึงวางแผนชีวิตว่าสักวันเมื่อพร้อมจะกลับ ตจว. จะได้อยู่ด้วยกัน พ่อเป็นแบบนี้ก็ดีจะได้ไม่ต้องทำงานหนักเหมือนที่ผ่านมา
แต่พ่อป่วยได้ประมาณ 2 ปี มีอาการปวดท้องรุนแรง ไป รพ. พบว่าเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้ายและเข้ารับการรักษา (ยังใช้สิทธิ ปกส.อยู่ เนื่องจากส่งเงินสมทบเองมาตลอด) จากการตรวจพบไม่ถึงเดือนท่านก็เสียชีวิต
ทางชาวบ้านรู้กันทั่วว่าสามารถขอเงินค่าทำศพได้จาก ปกส.(ซึ่งอันนี้เบิกได้) และเงินสมทบที่ส่งในขณะทำงาน แต่ไม่รู้ในรายละเอียดของกฎต่างๆ ซึ่งเมื่อมีคนเสียชีวิตครอบครัวนั้นๆก็จะมีผู้ที่รับผลประโยชน์แทน ถ้าไม่มีลูกหรือไม่ได้จดทะเบียนก็เป็นพ่อแม่หรือพี่น้องร่วมสายเลือด ผมจึงทำเรื่องขอรับผลประโยชน์ด้วยเช่นกัน แต่ผลประโยชน์ที่เป็นสิทธิของพ่อไม่สามารถขอรับได้ เนื่องจากไม่มีผู้มีสิทธิ์รับและไม่ได้เขียนผู้รับผลประโยชน์ไว้
1.บิดาของผู้เสียชีวิตไม่ทราบไปอยู่ไหน (พ่อผมไม่ได้เห็นปู่ตั้งแต่จำความได้)
2.มารดาของผู้เสียชีวิต(ย่า) เสียชีวิต
3.ไม่มีพี่น้องร่วมสายเลือดแท้ๆ มีแต่พี่น้องคนละพ่อ ซึ่งปู่และย่าก็ไม่ได้จดทะเบียน
4.ภรรยาไม่ได้จดทะเบียนสมรส
5.บุตรไม่ได้ถูกรับรองตามกฎหมายโดยบิดา
6.ไม่สามารถให้ศาลรับรองบุตรได้เนื่องจากอายุเกินกฎหมายกำหนด
7.ปรึกษา ปกส.ทุกวิถีทางแล้ว กลับได้รับคำตอบที่เป็นไปไม่ได้ (เช่นบอกให้ศาลรับรองบุตร เหมือนบอกปัดๆไป)
ช่วงเวลานั้นมีความคิดไม่ดี เจ็บใจในความไม่รู้ของตัวเอง ทำไมถึงโง่แบบนี้ สิทธิที่ควรได้กลับไม่ได้ ปกส.มีไว้เพื่อช่วยเหลือคนหรือเอาเงินไปเราไปลงทุนแล้วเขียนข้อบังคับให้มีช่องโหว่เหมือนประกันชีวิตที่มีข่าวบ่อยๆว่าเบี้ยวผู้ทำประกัน คิดไปหลายอย่างเนื่องจากพบประสบการณ์ไม่ดี สะสมมา
ตั้งแต่โดนนายจ้างปัดความรับผิดชอบ , บางทีไป ปกส.เจอคนไม่ดีก็จะได้คำปรึกษาแบบปัดๆไป หงุดหงิดใส่เราอีก , ตอนพ่อไปรักษา รพ.เจอพยาบาลพูดไม่ดีอีก
สุดท้ายมาเจอทนาย คือ เมื่อทาง ปกส. ให้ผมไปขอให้ศาลรับรองบุตร ไปถึงศาลเยาวชนมีส่วนนึงมีทนายให้ปรึกษา ทนายเรียกเงินเราก่อนเลยในการว่าความให้ 6,000 บาท และจะขอเพิ่มเมื่อจบคดีอีก(ไม่ใช่ทนายของทางศาล ไม่รู้เค้าเรียกว่าอะไร)
เริ่มจากดำเนินเรื่องให้ศาลรับรองบุตร ทนายเองก็ไม่รู้ว่าอายุเกิน(น่าจะบรรลุนิติภาวะถ้าจำไม่ผิด)กฎหมายกำหนดรับรองบุตรไม่ได้ เสียค่ารถไปศาลจังหวัดอีก เสียหลายต่อผมเป็นคนออกด้วย พาทนายไป ปกส. ปกส.ก็ชี้แจงแล้วว่าต้องให้ศาลรับรองบุตรเท่านั้นถึงจะมีสิทธิรับผลประโยชน์ในส่วนนี้ ทั้งผมทั้ง ปกส. ก็บอกถึงข้อกำหนดนี้ให้ทนายฟัง ทนายยังดื้อดึงว่าทำได้ ทั้งๆที่ศาลเยาวชนบอกว่าไม่ได้เนื่องจากอายุ
ทนายเถียงกับผม บอกว่าต้องได้แน่นอน จะทำเรื่องให้ศาลจังหวัดรับรองเป็นผู้ดูแลมรดก พร้อมทั้งบอกว่า “คุณเปลี่ยนทนายได้นะถ้าไม่เชื่อผม” ซึ่งแน่นอนถ้าผมเปลี่ยนผมก็เสีย 6,000 ไปเปล่าประโยชน์ระหว่างนั้นทนายมีการเรียกเงินค่าเดินทางอีก 2,000 จากผม ผมจึงทำตามทนาย สุดท้ายได้ใบรับรองจากศาลให้เป็นผู้ดูแลมรดก (ไม่มีใครคัดค้าน เพราะทั้งหมู่บ้านรู้ว่าผมเป็นลูกพ่อ แม่เป็นเมียพ่อ และเป็นหลานของพี่ป้าน้าอา ถึงครอบครัวผมจะอยู่กทม.ด้วยความจำเป็นในการหาเงินแต่กลับบ้านทุกครั้งเมื่อมีโอกาสเหมือนครอบครัวทั่วไปที่เป็นแรงงานมาจาก ตจว. และที่สำคัญผมถอดแบบพ่อมาเป๊ะสำเนาถูกต้องเป็นลูกแน่นอน100%)
หลังจากได้ใบรับรองจากศาลมา ผมรีบไป ปกส.ทันที ไปเพื่อที่จะถูกปฎิเสธ ? ใช่ครับ โดน ปกส. ปฏิเสธว่าต้องเป็นใบรับรองบุตรเท่านั้น(เพราะไม่มีญาติคนไหนรับได้) แล้วผมจะได้มาได้ยังไงในเมื่อพ่อก็ไม่อยู่ อายุก็เกินที่ศาลจะรับรอง บุคคลผู้ที่จะรับสิทธิก็ไม่มี ที่บ้าน ตจว.ก็ให้น้องสาว-น้องชายคนละพ่อของผู้เสียชีวิตมาแล้วก็ไม่ได้ ในหมู่บ้านไม่มีใครเข้าข่ายเลย เพราะไม่งั้นผมคงเรียกมาให้รับแทนผม ในหมู่บ้านก็งง เพราะใครเสียชีวิตก็มีคนรับ แต่กรณีผมนี่จนหนทางจริงๆ เข้าใจจว่า ปกส. ทำตามเกณฑ์จริงๆ
มีอีกหลายหนทางที่ตอนนั้นผมจะสามารถรับผลประโยชน์ตรงนี้ได้ เช่นไปศาลปกครอง หรือปรึกษาทนายที่มีความรู้หรือเดินเรื่องถึงระดับสูงของ ปกส. เพราะสุดท้ายความจริงคือผมเป็นลูกของพ่อจริง
แต่ผมเสียเวลาไปเยอะมาก เสียค่าใช้จ่ายไปเยอะมาก เสียอารมณ์เสียสมองที่เจอกับผู้คนที่ไม่ได้เต็มใจช่วยมามาก จึงตัดสินใจยุติกระบวนการ แล้วใช้ชีวิตต่อไป
ที่เขียนมาเพื่อจะให้กรณีผมเป็นกรณีศึกษา ผมเชื่อว่ายังมีผู้คนที่ไม่ได้รับสิทธิอย่างที่เขาควรจะได้รับจาก ปกส. ทั้งไม่มีความรู้หรือขาดการประชาสัมพันธ์
อย่างในกรณีผม ผมขอเสนอว่าทำไม ปกส. ไม่บังคับให้กรอกผู้รับผลประโยชน์เลย ในทุกคนที่จ่ายเงินสมทบ ปกส. ถ้าไม่ได้กรอกแต่แรก ก็ให้สามารถมีข้อบังคับให้อัพเดทได้ทุกปีผ่านทางนายจ้าง ผมว่าไม่ยากเกินที่จะปรับปรุงตรงนี้
นึกถึงในกรณีที่ บุคคลตัวคนเดียว ที่เค้าอาจจะให้เงินของเค้าไปบริจาคที่องค์กรณ์ไหนสักแห่งเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น หรือให้คนยากไร้ แทนที่จะตัดเข้า ปกส. อย่างเดียว
อีกอย่างหนึ่ง การเข้าถึงข้อมูลของคนหาเช้ากินค่ำที่เล่นคอมพิวเตอร์ไม่เป็นและไม่รู้จักอินเตอร์เนตนั้น ปกส.ควรทำหนังสือถึงผู้ประกันตนทุกปี ว่าข้อมูลเงินสมทบของเท่าไรแล้ว กี่งวดแล้ว แล้วให้ข้อมูลสำคัญเงื่อนไขต่างๆแนบไปอีกครั้ง เช่นบำเหน็จบำนาญที่จะได้รับ(นึกถึงกระทู้นึงในพันทิปที่ ปกส.คำนวณเงินเดือนของที่ทำงานสุดท้ายแล้วจ่ายเป็นบำนาญ ซึ่งเสียเปรียบมาก)
เพราะที่พ่อผมไม่รู้ว่านายจ้างทุจริตเรื่องการจงใจใส่เงินเดือนน้อยเพราะเข้าไม่ถึงข้อมูล ผมมาทราบเพราะช่วงนั้นหาข้อมูลหนักจึงใช้ข้อมูลบัตรประชาชนของพ่อหาข้อมูลจึงรู้ว่านายจ้างแจ้งเงินเดือนพ่อผม แค่ 5,000 และเพิ่มเป็น 6,000 ซึ่งมันไม่ใช่ ท่านได้รับเงินเดือนไม่ต่ำกว่าสองหมื่นรวมทิป ซึ่งไม่แน่นอน ( นายจ้างเคยออกหนังสือรับรองเงินเดือน 20,000 ให้ด้วยตอนใช้ทำธุรกรรม )
สุดท้ายหวังว่าเรื่องนี้จะไม่เป็นเพียงเรื่องเล่า เพียงเรื่องหนึ่ง ตั้งแต่ผมยุติเรื่องการดำเนินการเรียกร้องผมก็เก็บเรื่องนี้ไว้มาตลอดมีเล่าให้เพื่อนฝูงญาติพี่น้องฟังบ้าง จนวันนี้คิดได้ว่าเรื่องราวของผมน่าจะมีประโยชน์กับผู้อื่นจึงเรียบเรียงมาอาจจะยาวหน่อยหรืออ่านเข้าใจได้ยากเพราะเป็นการเล่าเรื่องผ่านตัวหนังสือครั้งแรก
ปล. เรื่องที่เล่านี้จะส่งถึง ปกส. และจะโพสต์ลงpantip