ตอนที่ 0 สารบัญการเดินทาง
https://ppantip.com/topic/36614026
ปฐมฤกษ์ในการออกเดินทางทริปนี้คือวันที่ 1 เมษายน ไฟล์เดินทางของเราเป็นไฟล์ทเย็น แต่เพื่อความไม่ประมาทขอลางานตั้งแต่เที่ยงเลยดีกว่า แต่เจ้ากรรม...การประชุมดันยืดเยื้อจนเที่ยงครึ่ง แถมถนนหน้าบริษัทยังติดแบบไม่มีอนาคตอีก กว่าจะถึงบ้านก็บ่ายสามแล้วค่ะ ตอนนั้นคือรีบมากๆ ออกมาหารถไปสนามบินดอนเมืองต่อ แต่ด้วยความที่รถติดมากกกกกกกกก และพี่ Taxi ก็ชิวมากเช่นกัน 17.30 น. เรายังอยู่บน Toll Way แต่คือ 17.35 น. มันคือเป็นเวลาปิดโหลดกระเป๋าแล้วไง เราเลยต้องเร่งพี่เค้าอีกที คุณพี่หันกลับมาแล้วบอกว่า “ไหนๆ ไม่ทันแล้ว เราวกรถกลับเลยไหม?” เฮ้ย! มันง่ายอย่างงี้เลยเหรอ คือ หนูมีไฟล์ทไปต่อนะคะ ไปไกลมากด้วย “ไม่ค่ะ!! รีบเท่าที่รีบได้ค่ะ” จากนั้น Taxi ที่นั่นอยู่ก็เปลี่ยนเป็น F1 ทันที
แต่จะเร่งแค่ไหนมันก็ไม่ทันอยู่ดี คุณน้องที่ Counter Check-in ไม่ให้โหลดกระเป๋า ตอนนี้มีสองทางเลือกคือ โหลดๆ ไปแล้วไปลุ้นให้กระเป๋าไปไฟล์ทหน้าเอา อีกทางคือถือเข้า Gate แล้วไปลุ้นว่าต้องจ่ายตังค์ค่ากระเป๋าไหม (กระเป๋าเรา 8 กิโลกรัม) เราเลยเลือกโหลดไปไฟล์ทหน้าค่ะ เพราะคิดว่าต่อให้กระเป๋าไปไฟล์ทหน้ามันก็ทันกับเครื่องที่เราจะต่ออยู่ดี พอถึงเวลาปรากฎว่า....เครื่อง Delay ค่ะ
พอเครื่องถึง Kuala Lumpur ทุกคนดูเร่งรีบออกจากเครื่อง แต่เราชิว..ชิวมาก ไม่รู้จะรีบไปไหน เหลือเวลาเยอะ แล้วก็ไม่รู้ว่ากระเป๋ามันจะมาไฟล์ทนี้มั๊ย เลยค่อยๆ เดินทอดน่อง (ใหญ่ๆ ) ไปตามโถง KLIA2 พอผ่านพิธิการจนถึงสายพานแล้ว กระเป๋าเราออกมาเป็น Lot แรก!!! (อันนี้คือทำบุญมาดีหรือเปล่านะ? 555) ได้กระเป๋าแล้วก็ต้องต่อแถวผ่านเครื่องสแกนกระเป๋าต่อ แต่พอเจ้าหน้าที่เห็นหน้าเราเท่านั้น รีบกวักมือเรียก อัยย่ะ!!! ชั้นดูเป็นพวกหิ้วของผิดกฎหมายหรือเปล่าเนี่ย? มโนเองไม่ได้ เจ้าหน้าที่กวักมือแรงๆ แล้วผายมือไปตรงทางออก สรุปคือออกไปได้เลย ไม่ต้องตรวจกระเป๋า (เพราะหน้าตาดูไม่มีเงินหิ้วของแบรนด์เนมมาขาย ...อันนี้คิดเองในใจ)
หลังจากออกมาแล้วเราก็ต้องหา KLIA EXPRESS เพื่อไปยังอีก Terminal หนึ่ง นั่งแค่ 1 ป้าย จ่ายไป 2RM ใช้เวลาแค่ 5 นาที (แต่ตอนรอรถไฟนี่ รอไป 15 นาทีเลยนะ)
จากนั้นก็ต้อง Check-in อีกครั้ง คราวนี้เจ้าหน้าที่ชวนคุยเพราะสงสัยว่าทำไมคนไทยมาขึ้นเครื่องไป Abu Dhabi เยอะจัง เราเลยตอบให้หายข้องใจ “ซื้อตั๋วบินจากที่นี่ แล้วตรงกลับไทยมันถูกมาเลยค่ะ” จากนั้นอธิบายยาวประมาณหนึ่ง เราก็โบกมืออำลาแล้วไปนั่งรอขึ้นเครื่อง เครื่องบินถึง Abu Dhabi แล้วรอทรานสิทประมาณ 3 ชั่วโมง แล้วนั่งอีกยาวๆ จนถึง Sao Paulo ซึ่งตอนนั้นก็เป็นเวลาบ่ายสี่โมงกว่าๆ
ที่สนามบินมีดราม่าเกิดขึ้นเล็กน้อยระหว่างเจ้าหน้าที่และคนที่ยืนรอผ่าน ตม. ระหว่างรอแถวซึ่งยาวเป็นหางงู ก็มีคนคุยโทรศัพท์กันหลายคน บางคนก็หยิบขึ้นมาเล่นเนทระหว่างรอ เจ้าหน้าที่ก็เดินมา “หยุดคุยเดี๋ยวนี้” หลายคนก็ปิดโทรศัพท์ แต่ก็ยังมีบางคนคุยอยู่ “ชั้นบอกให้คุณหยุดคุยเดี๋ยวนี้” “ห้ามเล่นเนท เก็บมือถือเข้ากระเป๋า” มันก็ยังคงมีคนคุยต่อ เพราะคนที่คุยโทรศัพท์คืออยู่ท้ายๆ แถวกลับกลางๆ ส่วนคนที่เล่นเนทก็หลายคนอยู่ จากนั้นเจ้าหน้าที่คนนั้นก็เดินไปกระชากมือถือจากมือของทุกคนที่ถืออยู่ไม่ว่าจะเป็นคนที่คุย หรือคนที่ก้มหน้าก้มตาเล่นเนท เรานี่ “ช็อค” ค่ะ ที่เมืองจีนว่าเป็นคอมมิวนิสต์ยังไม่ขนาดนี้เลย เห็นแล้วไม่กล้าหยิบมือถือขึ้นมาอีกเลยจนกระทั่งผ่านตม. ไป
หลังจากรับกระเป๋าออกมาก็มีที่ให้แลกเงินค่ะ เราแลกเอาแค่พอใช้ เพราะราคามันเน่ามาก 1 Real = 15 บาท (ปกติมันควรจะแค่ 10 บาท) ด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่โหดร้าย ทำให้เราไม่กล้าซื้อะไรกิน เพราะอะไรๆ ก็ดูแพงไปหมดตอนจ่ายเงิน จากนั้นเราก็ต้องหารถไป Rio de Janeiro ค่ะ เหตุผลที่เราเลือกเดินทางไปคืนแรกที่ถึงเลยเพราะ “ประหยัดค่าที่พัก” ค่ะ ถ้าจะนั่งเครื่องไปในวันรุ่งขึ้น ราคาก็ไม่แพงกว่านั่งรถเลย แต่มันต้องมีค่าที่พัก แล้วไหนจะค่าเดินทางไป – กลับสนามบินอีก ด้วยเหตุผลแห่งความงกที่กล่าวมา เราจึงต้องนอนบนรถเพื่อประหยัดให้มากที่สุดค่ะ
ด้วยความที่ไม่รู้ว่าต้องไปอะไรยังไง จึงถามประชาสัมพันธ์ที่พูดอังกฤษได้ประมาณ 30% ที่เหลือเราเขียนหนังสือคุยกันค่ะ ได้ใจความว่าจะไป Rio de Janeiro ต้องนั่งรถบัสจากที่นี่เพื่อไปสถานี Tieta Station ก่อน แล้วตรงนั้นสามารถหาซื้อตั๋วเพื่อไป Rio de Janeiro ได้ค่ะ ส่วนจะไปหารถบัสได้ที่ไหน อันนี้ไม่ยากค่ะ ให้เดินไปที่ Terminal 2 จากนั้นเดินออกมาด้านนอกอาคารแล้วเลี้ยวซ้าย เดินเลาะเรียบตัวอาคารไปเรื่อยๆ จะเห็นรถบัสจอดอยู่เยอะๆ เดินเลยไปหน่อยมองด้านซ้ายที่เว้าลงไปในตัวอาคารและมีกระจกกั้น ด้านในจะมีบูธขายตั๋วรถอยู่ในนั้นค่ะ ราคาตั๋ว 45.50 Real
พอได้ตั๋วแล้วคราวนี้ก็รอเวลารถออกค่ะ รถนี่ถือว่าดีมากๆ มี WIFI บนรถด้วย จากสนามบินมาถึงสถานีขนส่งใช้เวลาประมาณ 30 นาทีเท่านั้น สถานีรถที่นี่ด้านล่างจะเป็นชานชาลา ส่วนด้านบนจะเป็นห้องขายตั๋ว (อารมณ์ประมาณขนส่งสายใต้)
คราวนี้เราก็เดินหาป้ายที่มีคำว่า Rio de Janeiro ซึ่งหาง่ายมากๆ แต่เพื่อความมั่นใจ และมีเวลาเยอะมากๆๆๆๆๆ เราเลยเดินให้ทั่วเพื่อดูว่านอกจาก 3-4 บูธ ที่อยู่ด้านหน้าแล้ว ยังมีเจ้าอื่นๆ อีกไหม ปรากฏว่าไม่มีค่ะ เราเลยเดินกลับมาแล้วก็เลือกว่าจะเอาเจ้าไหน วิธีเลือกคือ เจ้าไหนพูดภาษาอังกฤษได้ คุยกันรู้เรื่องก็เจ้านั้นแหละ (เพราะมีหลายบูธพูดอังกฤษไม่ได้) ตรงนี้เราใช้รูดบัตรเครดิตค่ะ ราคา 110 Real
พอได้ตั๋วแล้ว แต่มันยังไม่ถึงเวลาอีก (อีกหลายชั่วโมงอยู่) เราเลยเดินวนสำรวจรอบๆ สถานีขนส่งค่ะ มันก็มีร้านขายของต่างๆ มากมาย เดินจนครบสามรอบแล้วเราก็ไปสำรวจชั้นล่างต่อ ชั้นล่างเป็นชานชาลาอย่างเดียว มีแต่ที่นั่งรอ แต่....มันมีห้อง VIP ด้วยค่ะ ไม่รู้ห้องอะไรเราก็เดินไปสำรวจ ไม่เห็นว่าเค้าจะเช็คตั๋วรถเลย เราเลยนั่งรอในนั้นแหละค่ะ เพราะมีที่ให้ชาร์จแบตด้วย ก่อนห้าทุ่มเล็กน้อยเราก็เดินไปสำรวจชานชาลาของเราอีกครั้ง เค้าเรียกให้ขึ้นรถได้พอดี คราวนี้เลยยควักที่ปิดตามาพร้อมหลับยาวๆ ก่อนจะไปถึง Rio de Janeiro อีกทีในตอนเช้าของวันถัดไป
ปิดตาด้วยผ้าปิดตาความร้อนของ Biore ค่ะ อันนี้ดีจริงๆ นอกจากกันแสงแล้วยังเป็นเหมือนการสปาตาระหว่างนอนด้วย
เดี๋ยวมาต่อในคอมเม้นท์นะคะ ขออนุญาตเขียนไปโพสไป ไม่อย่างงั้นมันจะเป็นเนื้อหาที่ยาวเป็นพรืด เดี๋ยวคนอ่านจะตาลาย คนเขียนจะท้อ และขี้เกียจไปซะก่อน
[CR] ลุยเดี่ยวเที่ยวทั่วโลก ฉบับ “25 วันล่าฝันอเมริกาใต้” ตอนที่ 1 Rio หนึ่งวันมันก็จะดูรีบๆ หน่อย
ตอนที่ 0 สารบัญการเดินทาง
https://ppantip.com/topic/36614026
ปฐมฤกษ์ในการออกเดินทางทริปนี้คือวันที่ 1 เมษายน ไฟล์เดินทางของเราเป็นไฟล์ทเย็น แต่เพื่อความไม่ประมาทขอลางานตั้งแต่เที่ยงเลยดีกว่า แต่เจ้ากรรม...การประชุมดันยืดเยื้อจนเที่ยงครึ่ง แถมถนนหน้าบริษัทยังติดแบบไม่มีอนาคตอีก กว่าจะถึงบ้านก็บ่ายสามแล้วค่ะ ตอนนั้นคือรีบมากๆ ออกมาหารถไปสนามบินดอนเมืองต่อ แต่ด้วยความที่รถติดมากกกกกกกกก และพี่ Taxi ก็ชิวมากเช่นกัน 17.30 น. เรายังอยู่บน Toll Way แต่คือ 17.35 น. มันคือเป็นเวลาปิดโหลดกระเป๋าแล้วไง เราเลยต้องเร่งพี่เค้าอีกที คุณพี่หันกลับมาแล้วบอกว่า “ไหนๆ ไม่ทันแล้ว เราวกรถกลับเลยไหม?” เฮ้ย! มันง่ายอย่างงี้เลยเหรอ คือ หนูมีไฟล์ทไปต่อนะคะ ไปไกลมากด้วย “ไม่ค่ะ!! รีบเท่าที่รีบได้ค่ะ” จากนั้น Taxi ที่นั่นอยู่ก็เปลี่ยนเป็น F1 ทันที
แต่จะเร่งแค่ไหนมันก็ไม่ทันอยู่ดี คุณน้องที่ Counter Check-in ไม่ให้โหลดกระเป๋า ตอนนี้มีสองทางเลือกคือ โหลดๆ ไปแล้วไปลุ้นให้กระเป๋าไปไฟล์ทหน้าเอา อีกทางคือถือเข้า Gate แล้วไปลุ้นว่าต้องจ่ายตังค์ค่ากระเป๋าไหม (กระเป๋าเรา 8 กิโลกรัม) เราเลยเลือกโหลดไปไฟล์ทหน้าค่ะ เพราะคิดว่าต่อให้กระเป๋าไปไฟล์ทหน้ามันก็ทันกับเครื่องที่เราจะต่ออยู่ดี พอถึงเวลาปรากฎว่า....เครื่อง Delay ค่ะ
พอเครื่องถึง Kuala Lumpur ทุกคนดูเร่งรีบออกจากเครื่อง แต่เราชิว..ชิวมาก ไม่รู้จะรีบไปไหน เหลือเวลาเยอะ แล้วก็ไม่รู้ว่ากระเป๋ามันจะมาไฟล์ทนี้มั๊ย เลยค่อยๆ เดินทอดน่อง (ใหญ่ๆ ) ไปตามโถง KLIA2 พอผ่านพิธิการจนถึงสายพานแล้ว กระเป๋าเราออกมาเป็น Lot แรก!!! (อันนี้คือทำบุญมาดีหรือเปล่านะ? 555) ได้กระเป๋าแล้วก็ต้องต่อแถวผ่านเครื่องสแกนกระเป๋าต่อ แต่พอเจ้าหน้าที่เห็นหน้าเราเท่านั้น รีบกวักมือเรียก อัยย่ะ!!! ชั้นดูเป็นพวกหิ้วของผิดกฎหมายหรือเปล่าเนี่ย? มโนเองไม่ได้ เจ้าหน้าที่กวักมือแรงๆ แล้วผายมือไปตรงทางออก สรุปคือออกไปได้เลย ไม่ต้องตรวจกระเป๋า (เพราะหน้าตาดูไม่มีเงินหิ้วของแบรนด์เนมมาขาย ...อันนี้คิดเองในใจ)
หลังจากออกมาแล้วเราก็ต้องหา KLIA EXPRESS เพื่อไปยังอีก Terminal หนึ่ง นั่งแค่ 1 ป้าย จ่ายไป 2RM ใช้เวลาแค่ 5 นาที (แต่ตอนรอรถไฟนี่ รอไป 15 นาทีเลยนะ)
จากนั้นก็ต้อง Check-in อีกครั้ง คราวนี้เจ้าหน้าที่ชวนคุยเพราะสงสัยว่าทำไมคนไทยมาขึ้นเครื่องไป Abu Dhabi เยอะจัง เราเลยตอบให้หายข้องใจ “ซื้อตั๋วบินจากที่นี่ แล้วตรงกลับไทยมันถูกมาเลยค่ะ” จากนั้นอธิบายยาวประมาณหนึ่ง เราก็โบกมืออำลาแล้วไปนั่งรอขึ้นเครื่อง เครื่องบินถึง Abu Dhabi แล้วรอทรานสิทประมาณ 3 ชั่วโมง แล้วนั่งอีกยาวๆ จนถึง Sao Paulo ซึ่งตอนนั้นก็เป็นเวลาบ่ายสี่โมงกว่าๆ
ที่สนามบินมีดราม่าเกิดขึ้นเล็กน้อยระหว่างเจ้าหน้าที่และคนที่ยืนรอผ่าน ตม. ระหว่างรอแถวซึ่งยาวเป็นหางงู ก็มีคนคุยโทรศัพท์กันหลายคน บางคนก็หยิบขึ้นมาเล่นเนทระหว่างรอ เจ้าหน้าที่ก็เดินมา “หยุดคุยเดี๋ยวนี้” หลายคนก็ปิดโทรศัพท์ แต่ก็ยังมีบางคนคุยอยู่ “ชั้นบอกให้คุณหยุดคุยเดี๋ยวนี้” “ห้ามเล่นเนท เก็บมือถือเข้ากระเป๋า” มันก็ยังคงมีคนคุยต่อ เพราะคนที่คุยโทรศัพท์คืออยู่ท้ายๆ แถวกลับกลางๆ ส่วนคนที่เล่นเนทก็หลายคนอยู่ จากนั้นเจ้าหน้าที่คนนั้นก็เดินไปกระชากมือถือจากมือของทุกคนที่ถืออยู่ไม่ว่าจะเป็นคนที่คุย หรือคนที่ก้มหน้าก้มตาเล่นเนท เรานี่ “ช็อค” ค่ะ ที่เมืองจีนว่าเป็นคอมมิวนิสต์ยังไม่ขนาดนี้เลย เห็นแล้วไม่กล้าหยิบมือถือขึ้นมาอีกเลยจนกระทั่งผ่านตม. ไป
หลังจากรับกระเป๋าออกมาก็มีที่ให้แลกเงินค่ะ เราแลกเอาแค่พอใช้ เพราะราคามันเน่ามาก 1 Real = 15 บาท (ปกติมันควรจะแค่ 10 บาท) ด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่โหดร้าย ทำให้เราไม่กล้าซื้อะไรกิน เพราะอะไรๆ ก็ดูแพงไปหมดตอนจ่ายเงิน จากนั้นเราก็ต้องหารถไป Rio de Janeiro ค่ะ เหตุผลที่เราเลือกเดินทางไปคืนแรกที่ถึงเลยเพราะ “ประหยัดค่าที่พัก” ค่ะ ถ้าจะนั่งเครื่องไปในวันรุ่งขึ้น ราคาก็ไม่แพงกว่านั่งรถเลย แต่มันต้องมีค่าที่พัก แล้วไหนจะค่าเดินทางไป – กลับสนามบินอีก ด้วยเหตุผลแห่งความงกที่กล่าวมา เราจึงต้องนอนบนรถเพื่อประหยัดให้มากที่สุดค่ะ
ด้วยความที่ไม่รู้ว่าต้องไปอะไรยังไง จึงถามประชาสัมพันธ์ที่พูดอังกฤษได้ประมาณ 30% ที่เหลือเราเขียนหนังสือคุยกันค่ะ ได้ใจความว่าจะไป Rio de Janeiro ต้องนั่งรถบัสจากที่นี่เพื่อไปสถานี Tieta Station ก่อน แล้วตรงนั้นสามารถหาซื้อตั๋วเพื่อไป Rio de Janeiro ได้ค่ะ ส่วนจะไปหารถบัสได้ที่ไหน อันนี้ไม่ยากค่ะ ให้เดินไปที่ Terminal 2 จากนั้นเดินออกมาด้านนอกอาคารแล้วเลี้ยวซ้าย เดินเลาะเรียบตัวอาคารไปเรื่อยๆ จะเห็นรถบัสจอดอยู่เยอะๆ เดินเลยไปหน่อยมองด้านซ้ายที่เว้าลงไปในตัวอาคารและมีกระจกกั้น ด้านในจะมีบูธขายตั๋วรถอยู่ในนั้นค่ะ ราคาตั๋ว 45.50 Real
พอได้ตั๋วแล้วคราวนี้ก็รอเวลารถออกค่ะ รถนี่ถือว่าดีมากๆ มี WIFI บนรถด้วย จากสนามบินมาถึงสถานีขนส่งใช้เวลาประมาณ 30 นาทีเท่านั้น สถานีรถที่นี่ด้านล่างจะเป็นชานชาลา ส่วนด้านบนจะเป็นห้องขายตั๋ว (อารมณ์ประมาณขนส่งสายใต้)
คราวนี้เราก็เดินหาป้ายที่มีคำว่า Rio de Janeiro ซึ่งหาง่ายมากๆ แต่เพื่อความมั่นใจ และมีเวลาเยอะมากๆๆๆๆๆ เราเลยเดินให้ทั่วเพื่อดูว่านอกจาก 3-4 บูธ ที่อยู่ด้านหน้าแล้ว ยังมีเจ้าอื่นๆ อีกไหม ปรากฏว่าไม่มีค่ะ เราเลยเดินกลับมาแล้วก็เลือกว่าจะเอาเจ้าไหน วิธีเลือกคือ เจ้าไหนพูดภาษาอังกฤษได้ คุยกันรู้เรื่องก็เจ้านั้นแหละ (เพราะมีหลายบูธพูดอังกฤษไม่ได้) ตรงนี้เราใช้รูดบัตรเครดิตค่ะ ราคา 110 Real
พอได้ตั๋วแล้ว แต่มันยังไม่ถึงเวลาอีก (อีกหลายชั่วโมงอยู่) เราเลยเดินวนสำรวจรอบๆ สถานีขนส่งค่ะ มันก็มีร้านขายของต่างๆ มากมาย เดินจนครบสามรอบแล้วเราก็ไปสำรวจชั้นล่างต่อ ชั้นล่างเป็นชานชาลาอย่างเดียว มีแต่ที่นั่งรอ แต่....มันมีห้อง VIP ด้วยค่ะ ไม่รู้ห้องอะไรเราก็เดินไปสำรวจ ไม่เห็นว่าเค้าจะเช็คตั๋วรถเลย เราเลยนั่งรอในนั้นแหละค่ะ เพราะมีที่ให้ชาร์จแบตด้วย ก่อนห้าทุ่มเล็กน้อยเราก็เดินไปสำรวจชานชาลาของเราอีกครั้ง เค้าเรียกให้ขึ้นรถได้พอดี คราวนี้เลยยควักที่ปิดตามาพร้อมหลับยาวๆ ก่อนจะไปถึง Rio de Janeiro อีกทีในตอนเช้าของวันถัดไป
ปิดตาด้วยผ้าปิดตาความร้อนของ Biore ค่ะ อันนี้ดีจริงๆ นอกจากกันแสงแล้วยังเป็นเหมือนการสปาตาระหว่างนอนด้วย
เดี๋ยวมาต่อในคอมเม้นท์นะคะ ขออนุญาตเขียนไปโพสไป ไม่อย่างงั้นมันจะเป็นเนื้อหาที่ยาวเป็นพรืด เดี๋ยวคนอ่านจะตาลาย คนเขียนจะท้อ และขี้เกียจไปซะก่อน