เมื่ออยู่ๆก็ไม่ได้กลายเป็นลูกคนเดียวอีกแล้ว...

เจ้าของกระทู้ปัจจุบันอายุ 29 ปีค่ะ แต่งงานแล้ว มีสามีที่น่ารัก มีการงานที่ค่อนข้างมั่นคง

ต้องขอเล่าไปไกลก่อนหน้านี้ว่าช่วงตั้งแต่เราจำความได้พ่อกับแม่ได้เปิดธุรกิจทำปั๊มน้ำมันในจังหวัดทางภาคเหนือจังหวัดหนึ่ง
ซึ่งก็มีรายได้ที่ว่าค่อนข้างดีเชียวล่ะค่ะ เราก็ใช้ชีวิตค่อนข้างสบาย จนกระทั่งในช่วงยุค 2540 ทางบ้านเราก็เจอพิษฟองสบู่เหมือนหลายๆบ้าน
ทำให้ช่วงนั้นพ่อกับแม่ต้องจดทะเบียนหย่ากัน เพื่อแยกทรัพย์สินไม่ให้โดนยึดเพราะชื่อที่จดทะเบียนธุรกิจการค้าเป็นชื่อพ่อเรา
และทำให้เรากับแม่ต้องย้ายมาอยู่กรุงเทพ เพราะหลายๆเหตุผลด้วย ทำให้ช่วงชีวิตตั้งแต่ปี 2540-2550 เป็นช่วงเวลาที่เราห่างพ่อมาก
ในปีๆหนึ่งเราจะได้เจอพ่อแค่ปีละ 3-5 ครั้ง คือ วันเกิดพ่อ วันเกิดแม่ วันเกิดเรา วันปีใหม่ หรือเทศกาลสำคัญๆหรือแล้วแต่พ่อมีเวลาว่าง

ช่วงระยะเวลา 10 ปีที่เราอยู่แต่กับแม่ ต้องขอเรียนตรงๆว่าเหงามาก คือ เราเป็นเด็กติดพ่อค่ะ เราเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อ และพ่อก็รักเรามาก
พ่อเป็นคนที่ใจดีกับเราเสมอ เราอยากได้อะไรพ่อก็ตามใจเราตลอด แต่พอมาแยกกันอยู่เราต้องมาอยู่กับแม่ที่ค่อนข้างดุ เจ้าระเบียบ
ทำให้บางครั้งก็อึดอัดบ้าง แต่แม่ก็รักเรามาก แบบมากจริงๆ ทำให้เราก็ไม่ได้ขาดความรักอะไร
แต่ช่วงนั้น บอกตรงๆว่าที่บ้านค่อนข้างติดขัดเรื่องเงิน พ่อก็ไม่ได้ส่งเงินมาให้ในบางครั้ง สามเดือนส่งมาที ถึงแม้ว่าแม่จะเอาเงินเก็บส่วนนึงมาลงทุนกับการเปิดร้านขายของชำ ก็พอได้กำไรบ้างแบบพอมีพอกิน แต่สำหรับค่าใช้จ่ายของเด็กที่กำลังโต เรียนหนังสือ แน่นอนว่าบางครั้งอาจจะไม่พอ จนแม่ไปคุยกับลุง ลุงเลยจะส่งเสียเราจนกระทั่งจบปริญญาตรี (บุญเก่าค่อนข้างเยอะ 5555 เหรอออ)

ในช่วงตั้งแต่ปี 2550 มาพ่อของเราได้มีกิจการส่วนตัวคือ การทำโรงดินปลูกต้นไม้ เริ่มมีที่อยู่ที่เป็นหลักแหล่ง
พ่อเลยมารับแม่ไปอยู่ที่จังหวัดที่พ่อมีกิจการอยู่ ส่วนเราก็เรียนปริญญาตรีอยู่ที่กรุงเทพต่อไป แม่ก็กลายเป็นแม่บ้านเต็มตัว คอยดูแลพ่ออย่างเดียว
จนเราเรียนจบมีงานทำ และในปี 2556 พ่อเราก็เริ่มคิดว่าให้เราจะกู้บ้านให้พ่อกับแม่อยู่ โดยตอนนั้นพ่อสัญญาว่าจะเป็นคนผ่อนชำระเอง ซึ่งเราก็ไม่ได้ติดอะไร ก็ทำขั้นตอนกู้เสร็จ โดยบ้านหลังนี้มีโฉนดเป็นชื่อของเรา

จนในปี 2557 เราได้แต่งงานค่ะ นับว่าเป็นช่วงปีที่มีความสุขมากของเรา เพราะว่ากิจการของพ่อก็ไปได้สวย ได้แต่งงาน ได้ไปเที่ยวต่างประเทศ
แต่อย่างที่บอก ความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ ไม่นานหนัก เราก็เล่นเฟสบุ๊คไปเรื่อยๆจนลองเสิรช์นามสกลุของตัวเองในเฟส ว่าเผื่อเจอญาติตัวเองไหม จะแอบไปส่อง 5555
ก็ได้เจอเฟสอันหนึ่งเป็นเด็กผู้หญิงอีกสามคนกับผู้หญิงอายุประมาณ 40 กว่าๆ(ขอแทนว่าคุณตอ) แล้วชื่อเฟสว่า สกุล(นามสกุลเรา)แล้วก็ตามด้วยชื่อของเด็กๆทั้งสี่คน ซึ่งชื่อเด็กทั้งสามคน เป็นชื่อที่คล้องจองกับเรามาก จากนั้นค่ะ ไม่ต้องบอกก็รู้ เราตามไปดูทุกรูป จนไปเจอรูปพ่อเรากับเด็กๆสามคนนั้น กำลังอุ้ม กำลังกอด ซึ่งดูจากรูปนั้นอายุของพ่อเราน่าจะเป็นช่วงที่พ่อหายไปเหมือน 10 ปีที่แล้ว แล้วมีคอมเม้นต์จากที่คาดว่าน่าจะเป็นคนรู้จักของคุณตอประมาณว่า พ่อเราเป็นพ่อที่ดีมากๆเลยเนอะ คุณตอก็เค้ามาตอบว่า ใช่ค่ะ

แค่นั้น ยังไม่พอนาจาาาา พอเปิดรูปไปเรื่อยๆก็เจอคุณตอเนี่ย เรารูปเราที่เคยลงเฟส มาตัอต่อใส่กราฟิกแบบ สวัสดีวันจันทร์อ่ะค่ะ มาเรียงต่อกับรูปของลูกๆคุณตอ พร้อมเขียนชื่อเราว่า พี่(ชื่อเรา) น้อง... น้อง... น้อง... แล้วก็มี(มีอีกแล้ว) ซึ่งมีรูปแบบนี้หลายรูปมากค่ะ จนมีรูปหนึ่งได้มีเพื่อนของคุณตออีกคนว่า คอมเม้นต์ในรูปนี้ว่า สรุปแล้วคุณตอ มีลูกกี่คนเนี่ย หน้าตาดีทั้งบ้านเลย (อ่ะ มีชม ยกโทษให้) คุณตอตอบว่าไงรู้ไหมคะ คุณตอตอบว่า มีลูกสาวสี่คนจ้าาาา ลูกชายหนึ่งคน
เอดอกกกกกกก มั่นมากกกกกกกก  เอ็งเป็นครายยยยย ฉันมีแม่คนเดียวค่ะ (ถ้าผ่านมาอ่านรับรู้ด้วยนะคะ ว่าดิฉันมีแม่คนเดียวและเป็นลูกคนเดียว ส่วนเด็กอีกสี่คนฉันไม่รู้จักค่ะ)
บอกตรงๆ เหมือนโลกถล่มเลยค่ะ เราโมโห โกรธ เสียใจ แต่เราไม่ได้บอกเรื่องนี้กับแม่ค่ะ เราเก็บเรื่องนี้มา 1 ปีแล้ว
ถ้าถามว่าทำไมถึงไม่บอก ณ ตอนนั้น ก็เพราะว่าตอนนั้นเรามองว่าถ้าพ่อรับผิดชอบฝั่งนู่นได้ (ตามที่ดูปัจจุบันลูกฝั่งนั้นคนโต อายุปีนี้น่าจะ 16-17 ปี  คนเล็กน่าจะ 3-4 ขวบ) โดยไม่ต้องมาวุ่นวายกับเราและแม่ เราก็คิดว่า ใครก่อเรื่อง คนนั้นก็รับผิดชอบเองค่ะ เพราะก็มองว่าเด็กไม่ได้ผิดอะไร ถ้าผิดก็ผิดที่พ่อเรากับคุณตอเนี่ยแหล่ะ ที่ทำตัวผิดศีลธรรม ไม่ให้เกียรติทั้งเราและแม่ ถ้าจะเลิกก็เลิกได้เพราะแม่คนเดียวเราสามารถเลี้ยงดูได้อยู่แล้ว และสามีเราก็ค่อนข้างรักแม่เรามากด้วย

แต่มันมีประเด็นที่ว่าประมาณช่วง 1 ปีที่ผ่านมากิจการของพ่อเริ่มไม่โอเคด้วยสภาพเศรษฐกิจอย่างที่เห็น พ่อเริ่มมาขอเงินแม่ ขอเงินเรา
เงินค่าผ่อนบ้านที่สัญญาว่าจะเป็นคนจ่ายก็กลับกลายว่าเป็นภาระของเราทั้งหมด เราจะนิ่งเฉยก็ไม่ได้เพราะบ้านเป็นชื่อเรา ไม่อยากให้ติดในเครดิตบูโร เพราะเรามีแผนจะซื้อบ้านกับสามีด้วย เราคอยซัพพอร์ตพ่อจนกระทั่งเงินเก็บสองแสนของเราเหลืออยู่แปดหมื่น และคิดว่ามันคงจะหมดไปเรื่อยๆถ้า
จนช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พ่อจะมาเอาเงินที่เราอีก 30,000 บาท เราก็ถามว่า
เรา  : พ่อจะเอาไปทำอะไรคะ
พ่อ : ก็พ่อมีภาระเยอะ ค่าลูกน้อง ค่าซ่อมรถ ค่าวัตถุดิบ
เรา : งั้นพ่อขายกิจการไหม แล้วก็ขายบ้านที่นั้นด้วย แล้วเดี๋ยวลูกมาซื้อบ้านที่กรงเทพ พ่อกับแม่จะได้มาอยู่ด้วยกัน แล้วพ่ออยู่เฉยๆเดี๋ยวลูกเลี้ยงเอง
พ่อ : ....ไม่เอา พ่อไม่อยากเป็นภาระลูก พ่ออยากมีชีวิตของพ่อ พ่อยังแข็งแรงอยู่
เรา : เอาตรงไหนมาแข็งแรงจะ 60 แล้วไหมคะ พ่อขายเถอะ แค่พ่อกับแม่ ลูกเลี้ยงได้
พ่อ : พอเถอะ พ่อไม่อยากคุย
ตัดจบซะงั้น...

เอาเป็นว่า เรื่องราวก็ประมาณนี้แหล่ะค่ะ ยาวไปหน่อยและก็มีคำถามที่อยากถามเพื่อนๆพันทิปในเรื่องของกฎหมายด้วยค่ะ เพราะอย่างที่บอกเราคงไม่ไปโวยวายอะไรแล้วบอกพ่อว่า หนูรู้นะ ว่าพ่อมีอีกครอบครัว เพราะเรากับแม่เหมือนเคยจับได้หลายครั้ง และเคยมีผู้หวังดีโทรมาบอกด้วยหนึ่งครั้ง แต่พ่อก็ยืนยันมาตลอดว่า ไม่มี

1. เรื่องบ้านของเราที่ต่างจังหวัด ปัจจุบันโฉนดเป็นชื่อของเราค่ะ แต่ว่าในทะเบียนบ้านนั้นเจ้าบ้านเป็นพ่อของเรา แบบนี้ถ้าสมมติ พ่อเราเป็นอะไรไปบ้านหลังนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของเราใช่ไหมคะ

2. พ่อของเรามีกรมธรรม์ น่าจะ 2-3 เล่ม และผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ทั้งหมดหากพ่อเราเสียชีวิตก็คือ เรา อันนี้ถามถึงว่าในกรณีที่พ่อเสียชีวิตแล้วเราเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ทั้งหมด แต่ถ้าเกิดมี ชะนีผีป่าตนใด ดลใจให้คุณตอมาฟ้องขอส่วนแบ่งในส่วนนี้ด้วย จะได้ไหมคะ เพราะเป็นไปได้ว่า พ่อเราน่าจะเซ็นรับรองบุตรให้กับเด็กสี่คนนั้น แล้วคิดว่าเป็นไปได้ที่จะสามารถฟ้องได้

3. จากที่สืบมาสักระยะเราคิดว่า พ่อเราไม่น่าเคยพาเด็กๆหรือคุณตอไปหาญาติฝั่งพ่อที่ภาคอีสานเลย และคิดว่าญาติฝั่งนั้นไม่น่าจะรู้ด้วย เพราะพี่สะใภ้เราคนนึงเคยเป็นบัญชีที่บ้านเรา และเค้าค่อนข้างรักแม่เรามาก ถ้าพ่อพามาเรื่องนี้ไม่น่าพลาด แล้วก็ตอนที่คุณย่ากับคุณปู่ป่วยและเสียเรากับแม่ก็อยู่ที่นั้นตลอด และย่ามักจะพูดเสมอว่าเราเป็นหลานคนสุดท้อง (ย่าเราเสียเมื่อ 4 ปีก่อนค่ะ) ทุกคนคิดว่า เราควรถามพ่อไปตรงๆเลนไหมคะ

4. จากข้อ 3 และที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ว่าเรากับแม่พอจะจับได้ว่า พ่อมีอีกบ้านแต่พ่อปฏิเสธมาตลอด ทำให้ทุกวันนี้แม่ค่อนข้างเชื่อใจว่าพ่อไม่มีใครจริงๆ แต่เราตอนนี้รู้แล้ว เราว่า เราจะหาหลักฐานทั้งหมดว่า เด็กสี่คน เป็นลูกของพ่อเราจริงๆโดยการไปคัดสำเนา (แต่ทำยังไงไม่รู้อ่ะ วอนเพื่อนๆช่วยบอกหน่อยนะคะ) และเราจะบอกแม่ในวันที่ เราขายบ้านได้และวันที่เราสามารถกู้ซื้อบ้านที่กรุงเทพได้แล้ว หรือเพื่อนๆคิดว่าเราควรบอกไปเลย แต่เราก็มีความกังวลว่าแม่จะเครียดและป่วย (แม่เป็นโรคความดันค่ะ)

5. เราจะให้พ่อของพ่อเลือกว่า จะมาอยู่กับเราที่กรุงเทพ หรือไปอยู่กับบ้านนู้น แต่มีข้อแม้ว่า ถ้าพ่อไปอยู่กับฝั่งนู้น พ่อต้องไม่มาวุ่นวายกับทรัพย์สินเราและห้ามมาของเงินอีก ถ้าภายภาคหน้าเรามีหลานก็มาเยี่ยมได้ แต่เรื่องทรัพย์สินห้ามยุ่ง ดูใจร้ายไปไหมคะ

6.ในกรณีที่วันไหนเราเดือดและโมโหพ่อขึ้นมา กลัวจะหลุดปากบอกแม่ไปว่า พ่อมีอีกบ้านนึงนะ เราควรนำเรื่องนี้ไปปรึกษาป้าๆหรือญาติฝั่งแม่เราก่อนไหมคะ เพราะแน่นอนว่าถ้าเราหลุดปากไป แม่เชื่อเราและไม่เอาพ่อแน่นอน และจะต้องออกจากบ้านมาอยู่กับญาติๆที่กรุงเทพแน่

ส่วนใหญ่แล้วเราก็มองในเรื่องแง่ของทรัพย์สินและกฎหมายว่า มีอะไรบ้างไหม ที่เราพอจะป้องกันและวางแผนได้ ไม่ให้อีกบ้านหนึ่งของพ่อมาวุ่นวายกับเรา แล้วถ้าเกิดพ่อเรากับคุณตอเสียชีวิตไปแล้ว ไม่ให้เด็กๆอีกบ้านมาวุ่นวายกับเรา มาแอบอ้างว่าเรามีน้องๆอีกนะ
เพราะเอาจริงๆเราไม่อินอ่ะ เราโตมาในฐานะลูกสาวคนเดียวตั้ง 20 กว่าปี จะให้อยู่ๆเรายอมรับและต้องมารับผิดชอบเด็กสี่คนนี้ โดยที่คนเล็กนี้ บอกตรงๆว่าสามารถเป็นลูกเราได้เลย ซึ่งอย่างที่บอกเด็กๆสี่คนนี้ผิดไหม บอกเลยค่ะ เด็กๆไม่ผิดหรอก เด็กก็คือ เด็ก แล้วเค้าก็เกิดมาแล้ว ก็คงต้องเลี้ยงต่อไป แต่แน่นอนค่ะ ว่าคนเลี้ยงต้องไม่ใช่เรา
ในเรื่องของสภาพจิตใจแม่ เราคิดว่าเราเอาอยู่ ถ้าเอาจริงๆเรากับแม่ก็สนิทกันมากและทุกช่วงเวลาของชีวิตแม่เราอยู่ข้างๆกันเสมอ ไม่เคยห่างกัน โทรคุยกันทุกวัน และแม่จิตใจเด็ดเดี่ยวพอที่น่าจะตัดใจเรื่องพ่อได้ค่ะ

สุดท้ายนี้จะขอขอบคุณทุกคนนะคะ ที่เข้ามาอ่านและเข้ามาแนะนำทุกความคิดเห็น เราอยากได้ความคิดเห็นที่เป็นกลางและไม่ให้ทุกคนบอบช้ำมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าหากต้องมีคนๆนั้น เราขอเป็นคนที่บอบช้ำมากที่สุดดีกว่า เพราะโลกของเรายังมีสามีที่น่ารัก มีเพื่อนสนิทที่รักกันเสมอ มีเจ้านาย มีญาติๆและพี่ๆฝั่งแม่ที่คอยช่วยเหลือเราเสมอ แต่ในโลกของแม่ แม่มีเราเพียงคนเดียว เราจะพยายามทำทุกทางที่สามารถปกป้องแม่เราค่ะ

ส่วนฝั่งพ่อ เมื่อถึงเวลาจริงๆเราคงต้องไปตามเวรกรรมหรือบุญกุศลที่เคยทำกันมาค่ะ ว่าเค้าจะเลือกฝั่งไหน จิตใจคนเรายากแม้จะหยั่งถึง ก็แล้วแต่วาสนาที่ร่วมกันมาว่าจะจบเพียงเท่านี้ หรืออยากไปต่อ อยากให้เราเป็นคนดูแล แต่ถ้าให้จะอยู่กับเรา เราคงยื่นคำขาดค่ะ ว่าห้ามเอาเงินของเราไปให้ฝั่งนู้นเด็ดขาด เพราะทุกบาททุกสตางค์ที่เราหามาได้ หาเพื่อความสุขของคนที่เรารัก เชิญไปดิ้นรนกันเอาเองค่ะ ไม่มีความจำเป็นสิ่งใดที่เราต้องเอาเงินที่เราหามาไปรับผิดชอบการกระทำที่เราไม่ได้ก่อ (ใจร้ายเนอะ 555 )

ขออนุญาตแท็กห้องกฎหมายด้วยนะคะ เผื่อมีคำแนะนำดีๆมาแบ่งปันกันค่ะ

ขอบคุณทุกคนนะคะ
สวัสดีค่ะ ยิ้ม

ปล.ขออนุญาตเข้ามาเพิ่มเติมนะคะ ที่ใครบอกว่าเราจะไล่พ่อออกจากบ้าน ไม่ได้ไล่นะคะ เราให้คุณพ่อเลือกค่ะ ซึ่งอันนี้เราขอเอาคำตอบที่ตอบคุณความคิดเห็นที่ 16 มาตอบดังนี้ค่ะ

1.เรื่องสมบัติ เราอยากให้แบ่งอย่างชัดเจนเพราะไม่อยากมีปัญหาค่ะ

2.เรื่องไล่พ่ออกไป อย่างที่เขียนไปนะคะว่าเราจะให้คุณพ่อเลือก ว่าอยากอยู่กับฝ่ายไหน ถ้าเค้าเลือกเราก็โอเคไป แต่ถ้าเลือกฝ่ายนู้นเราก็ตอบตรงๆว่าตอนนั้น เราก็คงทำอะไรไม่ได้ค่ะ เราคงให้เงินพ่อดูแลพ่อ แต่ถ้าพ่อจะมาเอาเงินเราไปให้เด็กๆพวกนั้น อย่างที่บอก เราคงไม่ให้เพราะไม่ใช่ความรับผิดชอบใดๆของเรา

3.ถามว่า ทำไมเราอยากได้เงินที่เป็นของเราขนาดนั้น คุณพ่อของเราเป็นโรคหัวใจค่ะ และมีแนวโน้มว่าจะเป็นเบาหวานและโรคไตด้วย เราอยากได้เพราะว่า ถ้าเกิดพ่อเราล้มขึ้นมา เรามั่นใจว่าฝ่ายนู้น ไม่มีปัญญารักษาพ่อเราแน่นอน เราอยากได้เงินเก็บไว้เพื่อดูแลพ่อในยามที่เจ็บป่วย

4.เรารักพ่อเราค่ะ จนตอนนี้ก็ยังรักอยู่ ถ้าไม่อย่างนั้นเราคงร้องไห้โวยวาย ด่าพ่อด้วยคำหยาบคายกว่านี้ แต่ที่เราทำทั้งหมดก็เพื่อปกป้องแม่ด้วย เพราะแม่มีเราแค่คนเดียวค่ะ

5.พ่อเราไม่ได้ส่งเสียเราตั้งแต่ ป.4 นะคะ ค่าเทอมทุกอย่างแม่และลุงๆของแม่เป็นคนส่งเสียค่ะ

6.ที่ผ่านมาพ่อก็เอาทรัพย์สินของเราไป เราไม่ทวงคืนในเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วแต่เราหาทางป้องกันไม่ให้ฝ่ายนู้น มาวุ่นวายนะคะ

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นนะคะ เราไม่ได้หวังว่าทุกคนจะเข้าใจ แต่อย่างน้อยขอให้คุณได้มองมุมของเราบ้าง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่