ว่าจะอยู่เฉยๆ ดูแลโลกไปตามที่มันเป็น.. ซักพัก.. เพราะช่วงนี้ เห็นว่า ไม่เหมาะในการ
ลงทุนทางความคิด เนื่องจากปัจจุบัน ดูมันวุ่นวายไปหมด โดยเฉพาะเหตุและผลในการ
กระทำ /ไม่ทำ.. มันดูทะ
ๆ ไปหมด..
เมื่อเกิดกรณีเงินทอน ๑๒ วัด กับเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ คราวแรกๆ ก็ไม่ได้สนใจมาก
เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างวัดกับผู้ที่เกี่ยวข้อง.. จึงเฉยๆ เพราะผมถือว่า เรื่องความดี
และความชั่ว ซึ่งเป็นคุณสมบัติของแต่ละคน มีประเภทและลักษณะไม่เหมือนกัน..
ใครทำอย่างไร ก็รับผลกรรมไป คนอื่นไม่เกี่ยว.. แม้ผมเอง เมื่อหันไปดูความไม่ดีของตัวเอง
ก็เห็นมีหลายกระบุงโกยอยู่.. ผมก็พร้อมที่จะรับผล ถ้าจะทำหรือไม่ทำ ทั้งความดีและความชั่ว..
แต่เมื่อเกิดกรณีที่ องค์กรและหน่วยงานต่างๆ ออกมาประสานเสียงว่า จะต้องออก
กฎหมาย เพื่อให้มีการควบคุมดูแลจัดการทรัพย์สินของวัดทั่วประเทศ.. ต่อเนื่องจาก
เหตุการณ์ “เงินทอน” ที่เป็นข่าวของสื่อ และเครือข่ายสังคมทั้ง Facebook และ Line
จึงเห็นว่า เหตุการณ์ตรรกะ (เหตุผล) วิบัติและอัปลักษณ์ ได้เกิดขึ้นอีกแล้ว..
ลูกกำพร้าทั้งพ่อและแม่อย่างผม จึงไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว.. ขอบอกว่า คนไม่มี
อะไรจะเสีย.. จึงไม่มีอะไรที่จะเสียให้ไปอีกแล้ว..
เรื่องเงินทอน ของสำนักพุทธฯ จะไม่ขอวิจารณ์ เพราะเรื่องนี้ รวมทั้งทุกเรื่องที่เกิด
ในสังคม เช่น กรณีสาวที่เป็นข่าวพาดหัวกันมานานอย่างต่อเนื่อง จนข่าวหญิงไทย
เป็นนักกอล์ฟมือหนึ่งของโลกหายไปจากสื่อ (บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำ) ฯลฯ ..
ผมขอเรียนว่า..
๑. เป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคล.. อย่าไปเหมาเข่งว่า คนสำนักพุทธฯ ทุกคนเป็นเหมือนกัน..
รู้เหมือนกัน.. ทั้งหมด ตรงนี้ ขอให้คิดให้รอบคอบ.. ก่อนที่จะพูดหรือทำ.. คนไม่รู้เรื่อง
เขาก็จะพลอยเสียหายไปด้วย.. (จะมีอย่างมากเพียง เขาว่ากันว่า.., ได้ข่าวว่า.. ซึ่งเป็น
ปกติของมนุษย์ ที่ชอบรู้เรื่องคนอื่นมากกว่ารู้จักตัวเอง)
๒. เมื่ออยู่ในสังคมใด หมู่ใด กลุ่มใด .. ฯลฯ ถ้าช่วยให้สังคม.. หมู่ หรือกลุ่ม.. นั้น เจริญ
หรือดีขึ้นไม่ได้ ก็อย่าไปทำให้เขาเสีย.. อยู่เฉยๆ ดีกว่า.. (ข้อนี้ สอนลูกศิษย์เป็นประจำ)
๓. เมื่อมีกรณีเงินทอน ทำไม หน่วยงานต่างๆ จึงโยงไปที่การจัดการดูและทรัพย์สินของวัด
ในพระพุทธศาสนา แบบเหมาเข่ง ทุกวัด.. และไปตรงกับแนวคิดของคนกลุ่มหนึ่งที่ตั้งธง
ไว้มานานแล้ว.. แม้จะมาออกตัวกันเป็นแถวว่า ไม่ได้ทำตามความคิดเห็นใคร..
จึงเกิดคำถามที่ค้างคาใจว่า
๑. ทำไม พวกคุณไม่จัดการ “เฉพาะวัดที่ได้รับงบประมาณอุดหนุนจากรัฐ” ละครับ..
จะมีกี่วัดก็ตรวจสอบไป.. ถ้าจะรวมทุกศาสนาก็จะดี วัดที่ไม่ได้รับงบจากรัฐ จะต้องรับกรรม
ไปด้วยหรือ ? (โดยเฉพาะวัดที่มีรายได้มาก ตามที่ท่านหมายตากันไว้ (ผมไม่ได้บอกนะ
เช่น วัดธรรมกาย วัดปากน้ำ วัดไร่ขิง วัดหลวงพ่อโสธร วัดพระปฐมเจดีย์ ฯลฯ..
เพราะวัดเหล่านี้ อยู่ในสมองเขาอยู่แล้วว่า ต้องจัดการเงินให้ได้)
ขอให้คิดง่ายๆ ว่า ตำรวจมีหน้าที่ดูแลความสงบสุข ของประชาชน
แต่เขาสามารถค้นบ้านได้ทุกบ้านไหม ?
ในทางเดียวกัน วัดทั่วประเทศมีเจ้าอาวาส พระเณรในวัด และไวยาวัจกร
เป็นผู้ดูแล.. คุณจะเอาอำนาจอะไรไปจัดการทรัพย์สินของวัด..
เรื่องบัญชีรับจ่าย ก็มีผู้ปรารถนาดีเหลือเกิน ที่บอกว่า พระทำบัญชีไม่เป็น ควรส่งมาฝึกที่เขา..
เขาก็ได้ค่าสอนไป.. เจตนามันบอก..
๒. จะอาศัยเหตุการณ์นี้ จัดการทรัพย์สินวัดในพระพุทธศาสนาทุกวัดเลยหรือ
แล้วศาสนสถานของศาสนาอื่นล่ะ จะทำอย่างไร ?
๓. กรณีสำนักพุทธฯ รัฐเสียหาย ประมาณ ๖๐ ล้านบาท.. ต่างขานรับว่า จะต้องมีการออก
กฎหมายดูแลทรัพย์สินวัดทั่วประเทศ.. แล้วกรณีธนาคารหนึ่ง บริหารงานจนงบติดลบ
สองหมื่นสี่พันกว่าล้าน..! ทำไม กระทรวงการคลังหรือธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่เข้าไป
ตรวจสอบหรือยุบธนาคารนั้นเสีย ? พวกที่คิดจะออกกฎหมายควบคุมทรัพย์สินวัด
ไม่คิดบ้างหรือ.. หรือจะมุ่งแค่วัดในพระพุทธศาสนาเท่านั้น..!
“เพราะงบประมาณที่คุณเอาไปช่วยเหลือธนาคารแห่งนี้ เป็นงบประมาณแผ่นดิน ที่เป็นเงินภาษี
ของวัดที่ฝากธนาคาร ประเภทฝากประจำไว้ (ส่วนหนึ่ง ที่วัดไม่รู้ว่าต้องเสียภาษี) และภาษี
ของคนพุทธทั้งประเทศ (รวมทั้งศาสนิกของศาสนาอื่นๆ ด้วย)”
ทำไม ต้องเอาไปช่วยธนาคารนั้น ! เพียงธนาคารเดียว.. แทนที่จะยุบไปเสีย..
เรื่องมันจึงอยู่ที่ “คน” ไม่ใช่ที่วัด.. !
องค์กร/หน่วยที่คิดเรื่อง กฎหมายจัดการทรัพย์สินของวัด นั้น.. ขอให้หันกลับไปมองกฎหมาย
ที่มีอยู่แล้ว ก็จะพบว่า พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ มีบัญญัติเชื่อมโยงไว้แล้วว่า “วัดมีฐานะ
เป็นนิติบุคคล คือ เหมือนกับบริษัทแห่งหนึ่งที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย โดยมี
เจ้าอาวาสและไวยาวัจกรเป็นเจ้าพนักงาน”
เพียงแค่นี้ รวมกับกฎมหาเถรสมาคมที่ออกมา ก็สามารถจัดการได้แล้ว.. และพระก็ทำอยู่กัน
เกือบทุกวัด.. ที่มีข่าวว่าน้อยนั้นเป็นความเข้าใจผิด.. ตามเรื่องที่ชงให้ผู้ใหญ่มากกว่า..
– เจ้าอาวาสหรือไวยาวัจกรวัดใด ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก็มีความผิดตามมาตรา ๑๕๗
แค่นี้ ก็ติดคุก และชดใช้กันบานแล้ว
– กรณี เจ้าอาวาสข้างต้น ถ้าผิด ก็ต้องโทษทางคณะสงฆ์ด้วย เช่น ปลดจากตำแหน่ง
มีโทษทั้งทางพระวินัยและกฎหมายคณะสงฆ์
จะดูถูกพระกันมากเกินไปแล้ว.. ถึงกับต้องมีกฎหมายจัดการทรัพย์สินวัดทั่วประเทศ..
เพียงศาสนาเดียว.. จะทำอะไร ก็ให้มันทั่วฟ้าหน่อย.. และกรุณาไปทบทวนว่า
ท่านใช้สิทธิ์ใด ที่จะออกกฎหมายนี้ .. ถ้าอ้างเรื่องเงินทอน..
ก็จะเป็นไปตามที่ผมบอกว่า “ตรรกะวิบัติ/อัปลักษณ์”
แต่ ณ เวลานี้ กรุณาอย่าเอาตรรกะวิบัติ/อัปลักษณ์ มาเป็นเหตุในการออกกฎหมาย
เพื่อจัดการทรัพย์สินของวัด เลยครับ.. จะออก ก็ให้เหตุผลกันให้ถูก.. สังคมจะได้ไม่สับสน..
าวพุทธจะได้สบายใจ.. กิจการพระพุทธศาสนาจะได้เดินหน้าต่อไป..
แค่เรื่องพระพุทธศาสนาโดนตีท้ายครัว ถูกแย่งชาวพุทธไปอย่างหน้าตาเฉย
ด้วยเหตุทางกฎหมายและสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้..
พระสงฆ์และชาวพุทธแท้ๆ เขาก็ส่ายหัวกันมาก.. ก็พอแล้ว
ที่มา...
https://www.thairnews.com/เงินทอน-ออกกฎหมายดูแลค/
เงินทอน.. ออกกฎหมายดูแลควบคุมทรัพย์สินวัด : ตรรกะวิบัติ/เหตุผลอัปลักษณ์
ลงทุนทางความคิด เนื่องจากปัจจุบัน ดูมันวุ่นวายไปหมด โดยเฉพาะเหตุและผลในการ
กระทำ /ไม่ทำ.. มันดูทะๆ ไปหมด..
เมื่อเกิดกรณีเงินทอน ๑๒ วัด กับเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ คราวแรกๆ ก็ไม่ได้สนใจมาก
เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างวัดกับผู้ที่เกี่ยวข้อง.. จึงเฉยๆ เพราะผมถือว่า เรื่องความดี
และความชั่ว ซึ่งเป็นคุณสมบัติของแต่ละคน มีประเภทและลักษณะไม่เหมือนกัน..
ใครทำอย่างไร ก็รับผลกรรมไป คนอื่นไม่เกี่ยว.. แม้ผมเอง เมื่อหันไปดูความไม่ดีของตัวเอง
ก็เห็นมีหลายกระบุงโกยอยู่.. ผมก็พร้อมที่จะรับผล ถ้าจะทำหรือไม่ทำ ทั้งความดีและความชั่ว..
แต่เมื่อเกิดกรณีที่ องค์กรและหน่วยงานต่างๆ ออกมาประสานเสียงว่า จะต้องออก
กฎหมาย เพื่อให้มีการควบคุมดูแลจัดการทรัพย์สินของวัดทั่วประเทศ.. ต่อเนื่องจาก
เหตุการณ์ “เงินทอน” ที่เป็นข่าวของสื่อ และเครือข่ายสังคมทั้ง Facebook และ Line
จึงเห็นว่า เหตุการณ์ตรรกะ (เหตุผล) วิบัติและอัปลักษณ์ ได้เกิดขึ้นอีกแล้ว..
ลูกกำพร้าทั้งพ่อและแม่อย่างผม จึงไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว.. ขอบอกว่า คนไม่มี
อะไรจะเสีย.. จึงไม่มีอะไรที่จะเสียให้ไปอีกแล้ว..
เรื่องเงินทอน ของสำนักพุทธฯ จะไม่ขอวิจารณ์ เพราะเรื่องนี้ รวมทั้งทุกเรื่องที่เกิด
ในสังคม เช่น กรณีสาวที่เป็นข่าวพาดหัวกันมานานอย่างต่อเนื่อง จนข่าวหญิงไทย
เป็นนักกอล์ฟมือหนึ่งของโลกหายไปจากสื่อ (บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำ) ฯลฯ ..
ผมขอเรียนว่า..
๑. เป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคล.. อย่าไปเหมาเข่งว่า คนสำนักพุทธฯ ทุกคนเป็นเหมือนกัน..
รู้เหมือนกัน.. ทั้งหมด ตรงนี้ ขอให้คิดให้รอบคอบ.. ก่อนที่จะพูดหรือทำ.. คนไม่รู้เรื่อง
เขาก็จะพลอยเสียหายไปด้วย.. (จะมีอย่างมากเพียง เขาว่ากันว่า.., ได้ข่าวว่า.. ซึ่งเป็น
ปกติของมนุษย์ ที่ชอบรู้เรื่องคนอื่นมากกว่ารู้จักตัวเอง)
๒. เมื่ออยู่ในสังคมใด หมู่ใด กลุ่มใด .. ฯลฯ ถ้าช่วยให้สังคม.. หมู่ หรือกลุ่ม.. นั้น เจริญ
หรือดีขึ้นไม่ได้ ก็อย่าไปทำให้เขาเสีย.. อยู่เฉยๆ ดีกว่า.. (ข้อนี้ สอนลูกศิษย์เป็นประจำ)
๓. เมื่อมีกรณีเงินทอน ทำไม หน่วยงานต่างๆ จึงโยงไปที่การจัดการดูและทรัพย์สินของวัด
ในพระพุทธศาสนา แบบเหมาเข่ง ทุกวัด.. และไปตรงกับแนวคิดของคนกลุ่มหนึ่งที่ตั้งธง
ไว้มานานแล้ว.. แม้จะมาออกตัวกันเป็นแถวว่า ไม่ได้ทำตามความคิดเห็นใคร..
จึงเกิดคำถามที่ค้างคาใจว่า
๑. ทำไม พวกคุณไม่จัดการ “เฉพาะวัดที่ได้รับงบประมาณอุดหนุนจากรัฐ” ละครับ..
จะมีกี่วัดก็ตรวจสอบไป.. ถ้าจะรวมทุกศาสนาก็จะดี วัดที่ไม่ได้รับงบจากรัฐ จะต้องรับกรรม
ไปด้วยหรือ ? (โดยเฉพาะวัดที่มีรายได้มาก ตามที่ท่านหมายตากันไว้ (ผมไม่ได้บอกนะ
เช่น วัดธรรมกาย วัดปากน้ำ วัดไร่ขิง วัดหลวงพ่อโสธร วัดพระปฐมเจดีย์ ฯลฯ..
เพราะวัดเหล่านี้ อยู่ในสมองเขาอยู่แล้วว่า ต้องจัดการเงินให้ได้)
ขอให้คิดง่ายๆ ว่า ตำรวจมีหน้าที่ดูแลความสงบสุข ของประชาชน
แต่เขาสามารถค้นบ้านได้ทุกบ้านไหม ?
ในทางเดียวกัน วัดทั่วประเทศมีเจ้าอาวาส พระเณรในวัด และไวยาวัจกร
เป็นผู้ดูแล.. คุณจะเอาอำนาจอะไรไปจัดการทรัพย์สินของวัด..
เรื่องบัญชีรับจ่าย ก็มีผู้ปรารถนาดีเหลือเกิน ที่บอกว่า พระทำบัญชีไม่เป็น ควรส่งมาฝึกที่เขา..
เขาก็ได้ค่าสอนไป.. เจตนามันบอก..
๒. จะอาศัยเหตุการณ์นี้ จัดการทรัพย์สินวัดในพระพุทธศาสนาทุกวัดเลยหรือ
แล้วศาสนสถานของศาสนาอื่นล่ะ จะทำอย่างไร ?
๓. กรณีสำนักพุทธฯ รัฐเสียหาย ประมาณ ๖๐ ล้านบาท.. ต่างขานรับว่า จะต้องมีการออก
กฎหมายดูแลทรัพย์สินวัดทั่วประเทศ.. แล้วกรณีธนาคารหนึ่ง บริหารงานจนงบติดลบ
สองหมื่นสี่พันกว่าล้าน..! ทำไม กระทรวงการคลังหรือธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่เข้าไป
ตรวจสอบหรือยุบธนาคารนั้นเสีย ? พวกที่คิดจะออกกฎหมายควบคุมทรัพย์สินวัด
ไม่คิดบ้างหรือ.. หรือจะมุ่งแค่วัดในพระพุทธศาสนาเท่านั้น..!
“เพราะงบประมาณที่คุณเอาไปช่วยเหลือธนาคารแห่งนี้ เป็นงบประมาณแผ่นดิน ที่เป็นเงินภาษี
ของวัดที่ฝากธนาคาร ประเภทฝากประจำไว้ (ส่วนหนึ่ง ที่วัดไม่รู้ว่าต้องเสียภาษี) และภาษี
ของคนพุทธทั้งประเทศ (รวมทั้งศาสนิกของศาสนาอื่นๆ ด้วย)”
ทำไม ต้องเอาไปช่วยธนาคารนั้น ! เพียงธนาคารเดียว.. แทนที่จะยุบไปเสีย..
เรื่องมันจึงอยู่ที่ “คน” ไม่ใช่ที่วัด.. !
องค์กร/หน่วยที่คิดเรื่อง กฎหมายจัดการทรัพย์สินของวัด นั้น.. ขอให้หันกลับไปมองกฎหมาย
ที่มีอยู่แล้ว ก็จะพบว่า พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ มีบัญญัติเชื่อมโยงไว้แล้วว่า “วัดมีฐานะ
เป็นนิติบุคคล คือ เหมือนกับบริษัทแห่งหนึ่งที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย โดยมี
เจ้าอาวาสและไวยาวัจกรเป็นเจ้าพนักงาน”
เพียงแค่นี้ รวมกับกฎมหาเถรสมาคมที่ออกมา ก็สามารถจัดการได้แล้ว.. และพระก็ทำอยู่กัน
เกือบทุกวัด.. ที่มีข่าวว่าน้อยนั้นเป็นความเข้าใจผิด.. ตามเรื่องที่ชงให้ผู้ใหญ่มากกว่า..
– เจ้าอาวาสหรือไวยาวัจกรวัดใด ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก็มีความผิดตามมาตรา ๑๕๗
แค่นี้ ก็ติดคุก และชดใช้กันบานแล้ว
– กรณี เจ้าอาวาสข้างต้น ถ้าผิด ก็ต้องโทษทางคณะสงฆ์ด้วย เช่น ปลดจากตำแหน่ง
มีโทษทั้งทางพระวินัยและกฎหมายคณะสงฆ์
จะดูถูกพระกันมากเกินไปแล้ว.. ถึงกับต้องมีกฎหมายจัดการทรัพย์สินวัดทั่วประเทศ..
เพียงศาสนาเดียว.. จะทำอะไร ก็ให้มันทั่วฟ้าหน่อย.. และกรุณาไปทบทวนว่า
ท่านใช้สิทธิ์ใด ที่จะออกกฎหมายนี้ .. ถ้าอ้างเรื่องเงินทอน..
ก็จะเป็นไปตามที่ผมบอกว่า “ตรรกะวิบัติ/อัปลักษณ์”
แต่ ณ เวลานี้ กรุณาอย่าเอาตรรกะวิบัติ/อัปลักษณ์ มาเป็นเหตุในการออกกฎหมาย
เพื่อจัดการทรัพย์สินของวัด เลยครับ.. จะออก ก็ให้เหตุผลกันให้ถูก.. สังคมจะได้ไม่สับสน..
าวพุทธจะได้สบายใจ.. กิจการพระพุทธศาสนาจะได้เดินหน้าต่อไป..
แค่เรื่องพระพุทธศาสนาโดนตีท้ายครัว ถูกแย่งชาวพุทธไปอย่างหน้าตาเฉย
ด้วยเหตุทางกฎหมายและสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้..
พระสงฆ์และชาวพุทธแท้ๆ เขาก็ส่ายหัวกันมาก.. ก็พอแล้ว
ที่มา...https://www.thairnews.com/เงินทอน-ออกกฎหมายดูแลค/