เห็นข้างล่างมีน้องๆถามเรื่องการทำ Short sell จะพิมพ์ตอบให้ละเอียด เลยถือโอกาสรวบรวมการ ซื้อขายหุ้นแบบต่างๆมาฝากมือใหม่ให้รู้จักกันเลย
ปล.เซียน เก่าๆ ทั้งหลาย แวะไปเล่นทางโน้นนนนนนนนนนนนนนนน กันก่อนนะ อันนี้สำหรับมือใหม่
=============================================
Margin Trading การซื้อด้วยมาร์จิ้น หรือ การซื้อหุ้นด้วยเงินกู้ของ broker บางส่วน
การซื้อขายด้วยมาร์จิ้น เป็นการสั่งซื้อหุ้น ด้วยเงินตัวเองส่วนนึงที่วางเป็นหลักประกัน และ เงินกู้จากโบรคเก้อร์ส่วนนึง ซึ่งสัดส่วน ของตัวเงินที่วางเป็นหลักประกัน และ เงินส่วนที่จะกู้ มาซื้อจะต่างกันไปตามตลาด และความเสี่ยงของหุ้นแต่ล่ะตัว
คนซื้อจะมีต้นทุน ตัวดอกเบี้ยเงินที่กู้ยืมมาซื้อหุ้นเพิ่มไปด้วยตามระยะเวลาที่ถือครองหุ้น(หรือก็คือช่วงเวลาที่กู้เงินนั้นมาซื้อ)
ถ้าซื้อมาแล้ว ขายออกไปกำไร มากกว่าดอกเบี้ย และ ค่าธรรมเนียม ที่จ่ายไป ก็ได้กำไร
แต่ถ้าขายออกไปได้กำไรน้อยกว่า ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม ก็จะขาดทุน
หรือ ถ้ายิ่งขายไปราคาต่ำกว่าที่ซื้อมา นอกจากขาดทุนราคาหุ้นแล้ว ก็จะขาดทุนเพิ่มมากกว่าปกติ จากดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่บวกเข้าไป
นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยง จากการที่ ถ้าตลาดลงมากๆ จนราคาหุ้นลดลง จนหลักประกันเริ่มที่จะไม่คุ้มกับ ความเสียหาย ก็จะถูกเรียกเงิน มาวางหลักประกันเพิ่ม( Call Margin) และ ถ้าไม่สามารถนำหลักทรัพย์มาเพิ่มเติมได้ ก็จะถูก Force sell หรือบังคับขาย ลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้น (ก่อนหุ้นลงไปจนเงินที่ขายได้ ไม่คุ้มกับยอดเงิน มาร์จิ้นที่ยืมมา)
ดังนั้นการเล่นมาร์จิ้น มีความเสี่ยงสูงมากๆ โดยเฉพาะตลาดขาลง คนที่เล่น Margin Trade จะต้องมองตลาด และ หุ้นตัวนั้นบวกสุดๆ ถึงจะกล้าเล่น ไม่แน่จริง อย่าลอง หลายคนหมดตัว กับ Margin มาเยอะแล้ว เพราะว่าเป็นการเล่นเกินตัว อย่าให้ความโลภ มองโลกแง่ดีเกินบังตา
=============================================
Short Selling คือการยืมหุ้นมาขายก่อน ทั้งที่ไม่มีหุ้นอยู่ในมือ
เป็นการขายหุ้นที่ตัวเองไม่มีอยู่ในมือ
จะทำกรณีที่ คนที่ไม่มีหุ้นนั้นในมือ แต่คิดว่าหุ้นตัวนั้น กำลังจะลงต่อไป ก็จะทำการยืมหุ้นจาก Broker ที่ตัวเองเทรดอยู่มาขายก่อน ซึ่งหุ้นที่จะมีให้ทำ
Short sell ได้นั้น จะมีแค่หุ้นบางตัวเท่านั้น ที่มีให้ยืมขาย โดยส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง และ ไม่อยู่ในระหว่างกำลังจะได้รับปันผล หรือ สิทธิ์ต่างๆ (ต้องสอบถามกับทางโบรคเกอร์ตัวเอง)
โดยคนที่ยืมมาขายจะมีต้นทุนค่าธรรมเนียมการ ยืมหุ้น และ ดอกเบี้ยให้กับ โบรคเกอร์ (และโบรคเกอร์จะแบ่งรายได้ ให้กับคนที่ฝากหุ้นไว้และแสดงความจำนงค์ให้เค้ายืมหุ้นไป Short sell ได้)
ถ้าทำ Short Sell ออกไปแล้ว ราคาหุ้นลงต่ำลงมา จนพอใจ ก็ สามารถสั่งซื้อกลับ คืนให้กับ ทางโบรคเกอร์หรือเจ้าของเดิมได้ ก็จะได้กำไรส่วนต่าง เมื่อหักค่าธรรมเนียมไปแล้ว
แต่ตรงกันข้าม ถ้ายืมเค้ามาขายไปแล้ว หุ้นไม่ลง แต่เด้งกลับขึ้นไป ต้องไปซื้อแพงกลับมาใช้คืนเค้า ก็จะขาดทุนส่วนต่าง บวกค่าธรรมเนียม
และถ้ามันขึ้นไปสูงมาก จนถึงขีดที่ทางโบรคเก้อรด์ดูว่าหลักประกันที่เรามี อาจจะไม่คุ้มกับ ค่าเสียหาย จากส่วนต่างราคาหุ้น หรือ หมดกำหนดระยะเวลาที่ยืม ก็จะถูกบังคับให้ ซื้อคืนกลับพอร์ต แม้ว่าจะยังขาดทุนอยู่
การทำ Short Sell จึงค่อนข้างอันตราย และความเสียหายไม่จำกัด(ถ้าเราไม่ยอมแพ้ เพิ่มหลักประกันไปเรื่อยๆไม่ยอมซื้อปิด คืนเค้า)
สมมุติว่าถ้าเราซื้อหุ้นตัวนึง ราคา 10 บาท เราขาดทุนได้มากสุดคือ 10 บาท นั่นคือหุ้นหมดมูลค่าเช่นโดนไล่ออกจากตลาด หรือ W หมดอายุ
แต่ถ้า ทำ Short Sell ไม่มีเพดานของความเสียหาย เช่น ยืมหุ้นราคา 10 บาท มาทำ Short sell ถ้าหุ้นขึ้นไป 20 บาท จะขาดทุน 1 เท่าตัว
ถ้าหุ้นขึ้นไป 30 บาท จะขาดทุน 3 เท่าตัว
ถ้าขึ้นไป 100 บาท ก็จะขาดทุน 10 เท่าตัว
จะเห็นว่า มันไม่จำกัดการขาดทุน(ถ้าเพิ่มหลักประกันสู้ไปปเรื่อยๆไม่ยอมซื้อปิด คืนเค้า) ดังนั้นต้องบอกว่าอันตรายมาก
=========================================
Short Against Port (SAP ) ขายหุ้นออกไป แล้วรับกลับ ในราคาที่ต่ำกว่า
จะทำในกรณี ที่มีหุ้นอยู่ในมือ และ หุ้นกำลังอยู่ในทิศทางที่ประเมินแล้ว กำลังเป็นขาลง แต่ยังคิดว่าอนาคตข้างหน้า มันอาจจะกลับมาดี ราคาจะดีดกลับได้ในอนาคต ก็จะขายหุ้นนั้นออกก่อนแล้ว รอช้อนซื้อกลับ ที่ราคา ต่ำกว่า ซึ่งถ้าทำได้ ตามแผน คือ ขายแล้วซื้อกลับได้ที่ราคาต่ำกว่า ก็จะทำให้ต้นทุนเฉลี่ยต่ำลง ซึ่งมีได้ทั้งแบบ หุ้นเท่าเดิม แต่ได้เงินส่วนต่างคืนออกมา หรือ ไม่ได้เอาเงินออกมาแต่ได้หุ้นในมือเพิ่มขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น มีหุ้น A มา 100 หุ้นที่ ราคา 12 บาท ทุนรวม (1200)เมื่อเห็นหุ้น A ลงมาที่ราคา 10 บาท และคิดว่ากำลังจะลงต่อไป ก็ขายออกที่ราคา 10 บาท ได้เงินมาถือไว้ 1000
เมื่อหุ้นลงมา ที่ 5 บาท ถ้าซื้อคืน 100 หุ้นเท่าเดิมก็จะ เหลือเงิน ออกมา 500 เท่ากับว่าต้นทุนหุ้นเดิม เหลือ 100 หุ้น 700 บาทหรือ ต้นทุน 7 บาทต่อหุ้น
หรือกรณีที่สอง เอา 1000 บาทนั้นซื้อหุ้น 5 บาททั้งหมด ก็จะได้หุ้น 200 หุ้น ด้วยต้นทุนรวม 1200 เท่าตอนเริ่ม ราคาต้นทุนจะเหลือ 200 X 6 บาทแทน
วิธีนี้ เหมาะกับช่วงตลาดลงแรง แต่ว่า เราคิดว่าพื้นฐานหุ้นเราไม่ได้เปลี่ยนแปลง วิธีนี้ เป็นวิธีที่ไม่ได้ลงทุนอะไร ไม่มีความเสี่ยงมากนัก แค่อาศัยการวิเคราะห็ตลาด เอาตัวรอดตอนตลาดลงแรง(มากพอ) ดีกว่ากอดหุ้น ดูมันดิ่งลงไปเฉยๆ เป็นอันที่ควรหัดทำกันไว้
แต่ถ้าขายแล้ว มันเด้งกลับทันที ไม่ให้ทันได้ซื้อกลับ ต้องมาไล่ซื้อกลับแพง ก็จะกลายเป็น ต้นทุนเพิ่ม ขึ้นได้เหมือนกัน
หรือขายไปแล้วมันเด้งกลับขึ้นมา ทำใจซื้อกลับแพงกว่าไม่ได้ก็จะกลายเป็น Cut Loss ไป
=======================================
ส่วนศัพท์อื่นๆ ที่ใช้กันในการซื้อขายหุ้น ก็มี
ซื้อหุ้นมา แล้วหุ้นขึ้น ขายออกไป เรียกว่า การขายทำกำไร
Take Profit
แต่ถ้าขายไปแล้ว มันยังวิ่งต่อไปให้ช้ำใจ เรียกว่า
ขายหมู กระเหรี่ยงฝรั่งเรียก Pork Selling
ถ้ากำไร แล้ว นั่งดูมันวิ่งขึ้นต่อไป เรื่อยๆ เรียกว่า
Let Profit run
ถ้าหุ้นลง แล้ว ขายออกไปเพื่อจำกัดการขาดทุน ยอมขายขาดทุนตอนนั้น ไม่ให้ขาดทุนเพิ่มต่อไป เรียกว่า
Cut loss
ถ้าหุ้นลง แต่ทำใจ Cut loss ไม่ได้นั่ง ดูมันวิ่งลงไปเรื่อยๆ ขาดทุนเพิ่มเรื่อยๆ เรียกว่า Let loss Run
เม่าสยามเรา ถนัดนัก ในเรื่อง กา
ร Cut Profit และ Let Loss Run
กำไรหน่อยรีบขาย แต่ติดหุ้นขาดทุน ถือยาวววววววววววว
การซื้อขายหุ้นแบบต่างๆ Margin Trade , Short Selling , Short Against Port ,etc[ ของฝากเม่ามือใหม่ ]
ปล.เซียน เก่าๆ ทั้งหลาย แวะไปเล่นทางโน้นนนนนนนนนนนนนนนน กันก่อนนะ อันนี้สำหรับมือใหม่
=============================================
Margin Trading การซื้อด้วยมาร์จิ้น หรือ การซื้อหุ้นด้วยเงินกู้ของ broker บางส่วน
การซื้อขายด้วยมาร์จิ้น เป็นการสั่งซื้อหุ้น ด้วยเงินตัวเองส่วนนึงที่วางเป็นหลักประกัน และ เงินกู้จากโบรคเก้อร์ส่วนนึง ซึ่งสัดส่วน ของตัวเงินที่วางเป็นหลักประกัน และ เงินส่วนที่จะกู้ มาซื้อจะต่างกันไปตามตลาด และความเสี่ยงของหุ้นแต่ล่ะตัว
คนซื้อจะมีต้นทุน ตัวดอกเบี้ยเงินที่กู้ยืมมาซื้อหุ้นเพิ่มไปด้วยตามระยะเวลาที่ถือครองหุ้น(หรือก็คือช่วงเวลาที่กู้เงินนั้นมาซื้อ)
ถ้าซื้อมาแล้ว ขายออกไปกำไร มากกว่าดอกเบี้ย และ ค่าธรรมเนียม ที่จ่ายไป ก็ได้กำไร
แต่ถ้าขายออกไปได้กำไรน้อยกว่า ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม ก็จะขาดทุน
หรือ ถ้ายิ่งขายไปราคาต่ำกว่าที่ซื้อมา นอกจากขาดทุนราคาหุ้นแล้ว ก็จะขาดทุนเพิ่มมากกว่าปกติ จากดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่บวกเข้าไป
นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยง จากการที่ ถ้าตลาดลงมากๆ จนราคาหุ้นลดลง จนหลักประกันเริ่มที่จะไม่คุ้มกับ ความเสียหาย ก็จะถูกเรียกเงิน มาวางหลักประกันเพิ่ม( Call Margin) และ ถ้าไม่สามารถนำหลักทรัพย์มาเพิ่มเติมได้ ก็จะถูก Force sell หรือบังคับขาย ลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้น (ก่อนหุ้นลงไปจนเงินที่ขายได้ ไม่คุ้มกับยอดเงิน มาร์จิ้นที่ยืมมา)
ดังนั้นการเล่นมาร์จิ้น มีความเสี่ยงสูงมากๆ โดยเฉพาะตลาดขาลง คนที่เล่น Margin Trade จะต้องมองตลาด และ หุ้นตัวนั้นบวกสุดๆ ถึงจะกล้าเล่น ไม่แน่จริง อย่าลอง หลายคนหมดตัว กับ Margin มาเยอะแล้ว เพราะว่าเป็นการเล่นเกินตัว อย่าให้ความโลภ มองโลกแง่ดีเกินบังตา
=============================================
Short Selling คือการยืมหุ้นมาขายก่อน ทั้งที่ไม่มีหุ้นอยู่ในมือ
เป็นการขายหุ้นที่ตัวเองไม่มีอยู่ในมือ
จะทำกรณีที่ คนที่ไม่มีหุ้นนั้นในมือ แต่คิดว่าหุ้นตัวนั้น กำลังจะลงต่อไป ก็จะทำการยืมหุ้นจาก Broker ที่ตัวเองเทรดอยู่มาขายก่อน ซึ่งหุ้นที่จะมีให้ทำ
Short sell ได้นั้น จะมีแค่หุ้นบางตัวเท่านั้น ที่มีให้ยืมขาย โดยส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง และ ไม่อยู่ในระหว่างกำลังจะได้รับปันผล หรือ สิทธิ์ต่างๆ (ต้องสอบถามกับทางโบรคเกอร์ตัวเอง)
โดยคนที่ยืมมาขายจะมีต้นทุนค่าธรรมเนียมการ ยืมหุ้น และ ดอกเบี้ยให้กับ โบรคเกอร์ (และโบรคเกอร์จะแบ่งรายได้ ให้กับคนที่ฝากหุ้นไว้และแสดงความจำนงค์ให้เค้ายืมหุ้นไป Short sell ได้)
ถ้าทำ Short Sell ออกไปแล้ว ราคาหุ้นลงต่ำลงมา จนพอใจ ก็ สามารถสั่งซื้อกลับ คืนให้กับ ทางโบรคเกอร์หรือเจ้าของเดิมได้ ก็จะได้กำไรส่วนต่าง เมื่อหักค่าธรรมเนียมไปแล้ว
แต่ตรงกันข้าม ถ้ายืมเค้ามาขายไปแล้ว หุ้นไม่ลง แต่เด้งกลับขึ้นไป ต้องไปซื้อแพงกลับมาใช้คืนเค้า ก็จะขาดทุนส่วนต่าง บวกค่าธรรมเนียม
และถ้ามันขึ้นไปสูงมาก จนถึงขีดที่ทางโบรคเก้อรด์ดูว่าหลักประกันที่เรามี อาจจะไม่คุ้มกับ ค่าเสียหาย จากส่วนต่างราคาหุ้น หรือ หมดกำหนดระยะเวลาที่ยืม ก็จะถูกบังคับให้ ซื้อคืนกลับพอร์ต แม้ว่าจะยังขาดทุนอยู่
การทำ Short Sell จึงค่อนข้างอันตราย และความเสียหายไม่จำกัด(ถ้าเราไม่ยอมแพ้ เพิ่มหลักประกันไปเรื่อยๆไม่ยอมซื้อปิด คืนเค้า)
สมมุติว่าถ้าเราซื้อหุ้นตัวนึง ราคา 10 บาท เราขาดทุนได้มากสุดคือ 10 บาท นั่นคือหุ้นหมดมูลค่าเช่นโดนไล่ออกจากตลาด หรือ W หมดอายุ
แต่ถ้า ทำ Short Sell ไม่มีเพดานของความเสียหาย เช่น ยืมหุ้นราคา 10 บาท มาทำ Short sell ถ้าหุ้นขึ้นไป 20 บาท จะขาดทุน 1 เท่าตัว
ถ้าหุ้นขึ้นไป 30 บาท จะขาดทุน 3 เท่าตัว
ถ้าขึ้นไป 100 บาท ก็จะขาดทุน 10 เท่าตัว
จะเห็นว่า มันไม่จำกัดการขาดทุน(ถ้าเพิ่มหลักประกันสู้ไปปเรื่อยๆไม่ยอมซื้อปิด คืนเค้า) ดังนั้นต้องบอกว่าอันตรายมาก
=========================================
Short Against Port (SAP ) ขายหุ้นออกไป แล้วรับกลับ ในราคาที่ต่ำกว่า
จะทำในกรณี ที่มีหุ้นอยู่ในมือ และ หุ้นกำลังอยู่ในทิศทางที่ประเมินแล้ว กำลังเป็นขาลง แต่ยังคิดว่าอนาคตข้างหน้า มันอาจจะกลับมาดี ราคาจะดีดกลับได้ในอนาคต ก็จะขายหุ้นนั้นออกก่อนแล้ว รอช้อนซื้อกลับ ที่ราคา ต่ำกว่า ซึ่งถ้าทำได้ ตามแผน คือ ขายแล้วซื้อกลับได้ที่ราคาต่ำกว่า ก็จะทำให้ต้นทุนเฉลี่ยต่ำลง ซึ่งมีได้ทั้งแบบ หุ้นเท่าเดิม แต่ได้เงินส่วนต่างคืนออกมา หรือ ไม่ได้เอาเงินออกมาแต่ได้หุ้นในมือเพิ่มขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น มีหุ้น A มา 100 หุ้นที่ ราคา 12 บาท ทุนรวม (1200)เมื่อเห็นหุ้น A ลงมาที่ราคา 10 บาท และคิดว่ากำลังจะลงต่อไป ก็ขายออกที่ราคา 10 บาท ได้เงินมาถือไว้ 1000
เมื่อหุ้นลงมา ที่ 5 บาท ถ้าซื้อคืน 100 หุ้นเท่าเดิมก็จะ เหลือเงิน ออกมา 500 เท่ากับว่าต้นทุนหุ้นเดิม เหลือ 100 หุ้น 700 บาทหรือ ต้นทุน 7 บาทต่อหุ้น
หรือกรณีที่สอง เอา 1000 บาทนั้นซื้อหุ้น 5 บาททั้งหมด ก็จะได้หุ้น 200 หุ้น ด้วยต้นทุนรวม 1200 เท่าตอนเริ่ม ราคาต้นทุนจะเหลือ 200 X 6 บาทแทน
วิธีนี้ เหมาะกับช่วงตลาดลงแรง แต่ว่า เราคิดว่าพื้นฐานหุ้นเราไม่ได้เปลี่ยนแปลง วิธีนี้ เป็นวิธีที่ไม่ได้ลงทุนอะไร ไม่มีความเสี่ยงมากนัก แค่อาศัยการวิเคราะห็ตลาด เอาตัวรอดตอนตลาดลงแรง(มากพอ) ดีกว่ากอดหุ้น ดูมันดิ่งลงไปเฉยๆ เป็นอันที่ควรหัดทำกันไว้
แต่ถ้าขายแล้ว มันเด้งกลับทันที ไม่ให้ทันได้ซื้อกลับ ต้องมาไล่ซื้อกลับแพง ก็จะกลายเป็น ต้นทุนเพิ่ม ขึ้นได้เหมือนกัน
หรือขายไปแล้วมันเด้งกลับขึ้นมา ทำใจซื้อกลับแพงกว่าไม่ได้ก็จะกลายเป็น Cut Loss ไป
=======================================
ส่วนศัพท์อื่นๆ ที่ใช้กันในการซื้อขายหุ้น ก็มี
ซื้อหุ้นมา แล้วหุ้นขึ้น ขายออกไป เรียกว่า การขายทำกำไร Take Profit
แต่ถ้าขายไปแล้ว มันยังวิ่งต่อไปให้ช้ำใจ เรียกว่า ขายหมู กระเหรี่ยงฝรั่งเรียก Pork Selling
ถ้ากำไร แล้ว นั่งดูมันวิ่งขึ้นต่อไป เรื่อยๆ เรียกว่า Let Profit run
ถ้าหุ้นลง แล้ว ขายออกไปเพื่อจำกัดการขาดทุน ยอมขายขาดทุนตอนนั้น ไม่ให้ขาดทุนเพิ่มต่อไป เรียกว่า Cut loss
ถ้าหุ้นลง แต่ทำใจ Cut loss ไม่ได้นั่ง ดูมันวิ่งลงไปเรื่อยๆ ขาดทุนเพิ่มเรื่อยๆ เรียกว่า Let loss Run
เม่าสยามเรา ถนัดนัก ในเรื่อง การ Cut Profit และ Let Loss Run
กำไรหน่อยรีบขาย แต่ติดหุ้นขาดทุน ถือยาวววววววววววว