ผมเล่นหุ้นมาได้ 2 ปีแล้ว ปีที่น้ำท่วมกับปีที่แล้วโดนวิกฤติหนี้ยุโรปกระหน่ำ แสนสาหัสครับ เมื่อก่อนเล่นหุ้นไม่เคยตั้งจุด stop loss มาก่อน
พอมาโดนสองวิกฤตนี้...แทบลงนรกเลย ปีที่แล้วหนักสุด ที่โดนหนี้ยุโรปกระหน่ำ ไป cut เอาที่ - 15 -20% แล้วในเวลาแค่ 1 อาทิตย์ จำแม่นเลย++
หลังจากนั้นกว่าจะกู้ไอ้ที่ขาดทุนกลับมาได้ใช้เวลา4-5 เดือน นานโคตรรรร... และเสียโอกาศมากๆในการทำกำไร ต้องมานั่งหาเงินต้นคืน...
ถ้าผมรู้จัก cut loss ตั้งแต่ตอนนั้นก็สบายไปแล้ว
นับตั้งแต่วันนั้น ผมถือสโลแกนว่า
"Cut loss is King, Let profit run is Queen"
ก็หมายถึงการตัดขาดทุนนั้นสำคัญมากกกว่าการหากำไรซะอีก เพราะเวลาขาดทุนคุณรู้แน่ๆว่าจะขาดทุนแน่ๆอย่างมากกี่% (เพราะคุณกำหนดจุดไว้แล้ว) เช่น -5% -10% แต่เมื่อถึงเวลาทำกำไรคุณไม่มีทางรู้ว่าเลยว่าคุณจะได้กำไรสูงสุดที่เท่าไหร่ กี่%... เพราะฉะนั้นจุดตัดขาดทุนเป็นหัวใจของผมก่อนซื้อหุ้นเสมอมาครับ
ปล. ถ้าผมไม่รู้จัก cut loss จากประสบการณ์คราวนั้น ทุกวันนี้ ผมคงติด Banpu ที่ 620บาท และ IVL ที่ 29 บาทไปแล้ว
คติของผม "Cut loss is King, Let profit run is Queen"
พอมาโดนสองวิกฤตนี้...แทบลงนรกเลย ปีที่แล้วหนักสุด ที่โดนหนี้ยุโรปกระหน่ำ ไป cut เอาที่ - 15 -20% แล้วในเวลาแค่ 1 อาทิตย์ จำแม่นเลย++
หลังจากนั้นกว่าจะกู้ไอ้ที่ขาดทุนกลับมาได้ใช้เวลา4-5 เดือน นานโคตรรรร... และเสียโอกาศมากๆในการทำกำไร ต้องมานั่งหาเงินต้นคืน...
ถ้าผมรู้จัก cut loss ตั้งแต่ตอนนั้นก็สบายไปแล้ว
นับตั้งแต่วันนั้น ผมถือสโลแกนว่า
"Cut loss is King, Let profit run is Queen"
ก็หมายถึงการตัดขาดทุนนั้นสำคัญมากกกว่าการหากำไรซะอีก เพราะเวลาขาดทุนคุณรู้แน่ๆว่าจะขาดทุนแน่ๆอย่างมากกี่% (เพราะคุณกำหนดจุดไว้แล้ว) เช่น -5% -10% แต่เมื่อถึงเวลาทำกำไรคุณไม่มีทางรู้ว่าเลยว่าคุณจะได้กำไรสูงสุดที่เท่าไหร่ กี่%... เพราะฉะนั้นจุดตัดขาดทุนเป็นหัวใจของผมก่อนซื้อหุ้นเสมอมาครับ
ปล. ถ้าผมไม่รู้จัก cut loss จากประสบการณ์คราวนั้น ทุกวันนี้ ผมคงติด Banpu ที่ 620บาท และ IVL ที่ 29 บาทไปแล้ว