[หนังโรงเรื่องที่ 190] The Mummy - มัมมี่เป็นหนังตลก ; (Alex Kurtzman, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : B- (จากสเกล D-A)
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : เมื่อเจ้าหญิงปีศาจ "อาร์มาเน็ต" (Sofia Boutella) แห่งยุคอียิปต์โบราณที่ถูกจองจำไว้ ได้ถูกปลุกขึ้นโดยทหารนักล่าสมบัติ "นิก มอร์ตั้น" (Tom Cruise) กลียุคจึงกำเนิดขึ้นอีกครั้งบนโลกด้วยเป้าหมายเดิม นั่นคืออัญเชิญเทพแห่งความตายขึ้นมาบนโลกเพื่อสร้างความหายนะนั่นเอง
.
.
ถึงจะรีวิวช้า แต่ก็ไม่มีข้อโต้แย้งใดใดมาค้านคำประนามหยามเหยียดของนักรีวิวท่านอื่นจริงๆกับ 'ความพัง' ของเดอะ มัมมี่ภาคนี้ (หัวเราะ) คือเรียกได้ว่าเป็นการ reboot จักรวาลมัมมี่ใหม่ที่พังได้ไม่เป็นท่าจริงๆน่ะแหละ
สำหรับผู้เขียน ปัญหาอย่างแรกก็คือ 'พล็อต' ที่ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ แต่ก็ยังหาคำอธิบายแบบโดนๆไม่ได้เสียที ... อาจจะเป็น 'ความล้าสมัย'ของพล็อตทำนองนี้ที่ถูกขุดมาเล่นซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเฝือ ... หรืออาจจะเป็นความอ่อนของ 'แรงจูงใจ' ของตัวละครที่ไม่ค่อยน่าซื้อเท่าที่ควรก็เป็นได้ -- จะด้วยเหตุอันใดก็ตามก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังมันมี issue ในแง่ที่ว่ามันทำให้เราอินไม่ได้จริงๆถึงแม้จะเอาพยายามบิ้วตัวเองแล้วแค่ไหนก็ตาม
ซึ่งมันก็เป็นเรื่องแปลกแสนแปลก เพราะขนาดที่ว่าสถานการณ์ในเรื่องนั้นมันน่าบีบคั้นมากแท้ๆ แต่เราในฐานะคนดูก็ไม่สามารถเชื่อได้จริงว่าๆ "ที่เรากำลังดูอยู่เนี่ย ชะตากรรมของโลกกำลังตกอยู่ในเดิมพันนะ" คือสเกลความวายวอดมันดูเล็กจ้อยเหลือเกินด้วยความที่ว่าเราก็ยังไม่เคยเห็นพลังอำนาจจริงๆของทั้ง "เทพแห่งความตายเซ็ท" ที่ถูกอวดอ้างว่าอิทธิฤทธิ์สูงส่งนักหนาผ่านทางเรื่องเล่าจากปากตัวละครซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมันก็ไม่น่าเชื่อถือไง ยิ่งโดยเฉพาะในฉากท้ายๆแล้วยิ่งไม่เวิร์กใหญ่เลย คือแทบไม่เปิดเผยอะไรซักอย่างที่เกี่ยวกับเทพองค์นี้ทั้งๆที่มันเป็น core หลักของเรื่องแท้ๆ
ในแง่ของตัวร้ายอีกตัวอย่าง "พระนางอาร์มา-ณเดช" (ต้องขอโทษที่แซว แต่หน้ามันเหมือนจนอดไม่ได้จริงๆ) ก็ไม่ได้มีโอกาสปล่อยของซักเท่าไหร่ในแง่ของมนตราอาคม--แต่กลับกลายไปโชว์พลังในแง่ของ superhuman strengh เสียมากกว่าจนผู้เขียนนึกว่าดู Man of Steel อยู่หรืออย่างไร ... โอเค ฉากพลังบัญชาทรายนี่ก็น่าสนใจอยู่ แต่ฉากนั้นก็โดนผลักไปเป็น side scene ที่แสดงความวินาศสันตะโรในเมืองมากกว่าที่จะสร้างอิมแพคอะไรกับตัวละครหลักทั้งสองตัวเลยแม้แต่น้อย
อีกประเด็นนึงที่ละเหี่ยใจเหลือเกินก็คือ 'ความล้น' ของหนังที่ทำให้มันกลายเป็น 'หนังตลก' ไปโดยปริยาย ... สืบเนื่องจากความอ่อนของพล็อตที่กล่าวไว้ข้างต้น พอมาผสมกับแอคติ้งตัวละครที่มันล้นเกินสถานการณ์จริงแล้วมันก็ทำให้หนังมันดูน่าขันไปเลย มุมกล้องของบางฉากก็สื่อความหมายผิด อาทิเช่นฉากที่นางมารอาร์มาเน็ตตีขาต๋อมแต๋มดำน้ำนั้นนี่คือหลุดขำหนักมาก คือมันหลุดองค์ประกอบของหนัง horror ไปแล้วน่ะ (ซึ่งเอาจริงๆหนังมันไม่ได้มี genre สยองขวัญมาตั้งแต่แรกแล้ว นี่ก็วานนาบี) คือถ้ากายเนื้อจะชัดเจนขนาดนี้ก็ไม่ต้องใช้อาคมอะไรก็ได้ จากที่เคยหลอนๆกับฉากแว้บซ้ายแว้บขวาทีก็หมดเกลี้ยงไปเลย
แอคติ้งของทอม ครูสถือว่าพังอย่างที่สุด ไม่รู้ว่าจะวานนาบีเซ่อซ่าขนาดไหน คือเข้าใจบริบทที่ว่าตัวพระเอกนั้นเป็นแค่ทหารปลายแถวทั่วๆไปที่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องโบราณคดีที่นางเอกพูดเสียเท่าไหร่เลยชอบทำหน้างงๆอยู่เสมอ ... แต่ไอ้ครั้นจะงงทั้งเรื่องนี่ก็คงจะเกินไปหน่อยล่ะมั้ง ตัวละคร นิก มอร์ตั้น อยู่ในจุดที่ดูเป๋อเหลอตลอดเวลา ใครคุยด้วยก็ไม่ค่อยจะได้ฟัง (อาจจะเป็นเพราะใจลอยไปถึงนิมิตอียิปต์ ซึ่งก็ต้องโทษพล็อตตรงนี้อีกที่ใส่มาเยอะเกินไปจนสะเหร่อ) กระทั่งฉากชี้เป็นชี้ตายที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูร้าย พ่อพระเอกเราก็ยังคงเอ๋อต่อไปได้ คือเกร็งกับการสลัดบทอีธาน ฮันท์เกินไปหรือเปล่าพ่อคุ๊ณ
สำหรับนางเอกนักโบราณคดีปากกล้าผู้มาพร้อมความลับอย่าง "เจนนี่ ฮาลซีย์" (Annabelle Wallis) นี่ก็คงอยู่ด้วยสภาวะจืดจางเหลือเกิน คืออยู่ในจุดที่ตัวเองไม่ได้มีความสำคัญใดใดกับเรื่องแล้ว แต่ก็ยังถูกยัดเข้ามาในฉากอยู่เนืองๆเพื่อให้เป็น twist point ของพระเอกในภายภาคหน้า ... ซึ่งในตัวบทตรงนี้แหละที่มันดู forced มากๆ ไม่เป็นธรรมชาติเลยกับจุดยืนนางเอกโดยเฉพาะในช่วงท้ายเรื่อง ส่วนตัวคิดว่าพาร์ทของเธออาจจะน่าสนใจกว่านี้ถ้าหนังให้เวลาในการปูโรมานซ์ระหว่างพระ-นางให้มากกว่าฉากแฟลชแบ็กอียิปต์นะ
.
.
โดยสรุปแล้ว The Mummy เป็นการล้มเหลวครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในความพยายามที่จะสร้างจักรวาลหนังใหม่ของยูนิเวอร์ซัลอย่าง "Dark Universe" มากๆแม้จะออกตัวแรงเพียงแค่ไหนก็ตาม คือหนังไม่ติดตลาด มันขายความพีคที่จะติดตราตรึงใจคนดูไม่ได้--อันเป็นรากฐานสำคัญของการวางจักรวาลหนังใหม่ขึ้นมาซักเรื่อง คือต้องขายหนังเรื่องแรกให้ได้เสียก่อน (เหมือน Iron Man 1) พอทีนี้เรื่องแรกมันเปิดมาไม่ดี มันก็ยากแล้วที่จะสานต่อจากตรงนี้ แล้วยิ่งมันเป็นหนัง reboot ของหนึ่งในสุดยอดไตรภาคแห่งยุค 90s แล้วด้วย ยิ่งลำบากแน่นอนที่จะต้องโดนเปรียบเทียบอยู่แล้ว
ต้องคอยดูว่า Universal จะใจป้ำพอที่จะยอมสาดทุนมาสร้างหนังภาคต่อไปแบบเสี่ยงๆมั้ย.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หากชื่นชอบรีวิวรบกวนช่วยไลค์ช่วยแชร์เพื่อให้กำลังใจหรือติดตามผลงานได้ที่เพจ https://www.facebook.com/expensivemovie/ นะครับ!
[หนังโรงเรื่องที่ 190] The Mummy - มัมมี่เป็นหนังตลก by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 190] The Mummy - มัมมี่เป็นหนังตลก ; (Alex Kurtzman, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : B- (จากสเกล D-A)
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : เมื่อเจ้าหญิงปีศาจ "อาร์มาเน็ต" (Sofia Boutella) แห่งยุคอียิปต์โบราณที่ถูกจองจำไว้ ได้ถูกปลุกขึ้นโดยทหารนักล่าสมบัติ "นิก มอร์ตั้น" (Tom Cruise) กลียุคจึงกำเนิดขึ้นอีกครั้งบนโลกด้วยเป้าหมายเดิม นั่นคืออัญเชิญเทพแห่งความตายขึ้นมาบนโลกเพื่อสร้างความหายนะนั่นเอง
.
ถึงจะรีวิวช้า แต่ก็ไม่มีข้อโต้แย้งใดใดมาค้านคำประนามหยามเหยียดของนักรีวิวท่านอื่นจริงๆกับ 'ความพัง' ของเดอะ มัมมี่ภาคนี้ (หัวเราะ) คือเรียกได้ว่าเป็นการ reboot จักรวาลมัมมี่ใหม่ที่พังได้ไม่เป็นท่าจริงๆน่ะแหละ
สำหรับผู้เขียน ปัญหาอย่างแรกก็คือ 'พล็อต' ที่ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ แต่ก็ยังหาคำอธิบายแบบโดนๆไม่ได้เสียที ... อาจจะเป็น 'ความล้าสมัย'ของพล็อตทำนองนี้ที่ถูกขุดมาเล่นซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเฝือ ... หรืออาจจะเป็นความอ่อนของ 'แรงจูงใจ' ของตัวละครที่ไม่ค่อยน่าซื้อเท่าที่ควรก็เป็นได้ -- จะด้วยเหตุอันใดก็ตามก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังมันมี issue ในแง่ที่ว่ามันทำให้เราอินไม่ได้จริงๆถึงแม้จะเอาพยายามบิ้วตัวเองแล้วแค่ไหนก็ตาม
ซึ่งมันก็เป็นเรื่องแปลกแสนแปลก เพราะขนาดที่ว่าสถานการณ์ในเรื่องนั้นมันน่าบีบคั้นมากแท้ๆ แต่เราในฐานะคนดูก็ไม่สามารถเชื่อได้จริงว่าๆ "ที่เรากำลังดูอยู่เนี่ย ชะตากรรมของโลกกำลังตกอยู่ในเดิมพันนะ" คือสเกลความวายวอดมันดูเล็กจ้อยเหลือเกินด้วยความที่ว่าเราก็ยังไม่เคยเห็นพลังอำนาจจริงๆของทั้ง "เทพแห่งความตายเซ็ท" ที่ถูกอวดอ้างว่าอิทธิฤทธิ์สูงส่งนักหนาผ่านทางเรื่องเล่าจากปากตัวละครซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมันก็ไม่น่าเชื่อถือไง ยิ่งโดยเฉพาะในฉากท้ายๆแล้วยิ่งไม่เวิร์กใหญ่เลย คือแทบไม่เปิดเผยอะไรซักอย่างที่เกี่ยวกับเทพองค์นี้ทั้งๆที่มันเป็น core หลักของเรื่องแท้ๆ
ในแง่ของตัวร้ายอีกตัวอย่าง "พระนางอาร์มา-ณเดช" (ต้องขอโทษที่แซว แต่หน้ามันเหมือนจนอดไม่ได้จริงๆ) ก็ไม่ได้มีโอกาสปล่อยของซักเท่าไหร่ในแง่ของมนตราอาคม--แต่กลับกลายไปโชว์พลังในแง่ของ superhuman strengh เสียมากกว่าจนผู้เขียนนึกว่าดู Man of Steel อยู่หรืออย่างไร ... โอเค ฉากพลังบัญชาทรายนี่ก็น่าสนใจอยู่ แต่ฉากนั้นก็โดนผลักไปเป็น side scene ที่แสดงความวินาศสันตะโรในเมืองมากกว่าที่จะสร้างอิมแพคอะไรกับตัวละครหลักทั้งสองตัวเลยแม้แต่น้อย
อีกประเด็นนึงที่ละเหี่ยใจเหลือเกินก็คือ 'ความล้น' ของหนังที่ทำให้มันกลายเป็น 'หนังตลก' ไปโดยปริยาย ... สืบเนื่องจากความอ่อนของพล็อตที่กล่าวไว้ข้างต้น พอมาผสมกับแอคติ้งตัวละครที่มันล้นเกินสถานการณ์จริงแล้วมันก็ทำให้หนังมันดูน่าขันไปเลย มุมกล้องของบางฉากก็สื่อความหมายผิด อาทิเช่นฉากที่นางมารอาร์มาเน็ตตีขาต๋อมแต๋มดำน้ำนั้นนี่คือหลุดขำหนักมาก คือมันหลุดองค์ประกอบของหนัง horror ไปแล้วน่ะ (ซึ่งเอาจริงๆหนังมันไม่ได้มี genre สยองขวัญมาตั้งแต่แรกแล้ว นี่ก็วานนาบี) คือถ้ากายเนื้อจะชัดเจนขนาดนี้ก็ไม่ต้องใช้อาคมอะไรก็ได้ จากที่เคยหลอนๆกับฉากแว้บซ้ายแว้บขวาทีก็หมดเกลี้ยงไปเลย
แอคติ้งของทอม ครูสถือว่าพังอย่างที่สุด ไม่รู้ว่าจะวานนาบีเซ่อซ่าขนาดไหน คือเข้าใจบริบทที่ว่าตัวพระเอกนั้นเป็นแค่ทหารปลายแถวทั่วๆไปที่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องโบราณคดีที่นางเอกพูดเสียเท่าไหร่เลยชอบทำหน้างงๆอยู่เสมอ ... แต่ไอ้ครั้นจะงงทั้งเรื่องนี่ก็คงจะเกินไปหน่อยล่ะมั้ง ตัวละคร นิก มอร์ตั้น อยู่ในจุดที่ดูเป๋อเหลอตลอดเวลา ใครคุยด้วยก็ไม่ค่อยจะได้ฟัง (อาจจะเป็นเพราะใจลอยไปถึงนิมิตอียิปต์ ซึ่งก็ต้องโทษพล็อตตรงนี้อีกที่ใส่มาเยอะเกินไปจนสะเหร่อ) กระทั่งฉากชี้เป็นชี้ตายที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูร้าย พ่อพระเอกเราก็ยังคงเอ๋อต่อไปได้ คือเกร็งกับการสลัดบทอีธาน ฮันท์เกินไปหรือเปล่าพ่อคุ๊ณ
สำหรับนางเอกนักโบราณคดีปากกล้าผู้มาพร้อมความลับอย่าง "เจนนี่ ฮาลซีย์" (Annabelle Wallis) นี่ก็คงอยู่ด้วยสภาวะจืดจางเหลือเกิน คืออยู่ในจุดที่ตัวเองไม่ได้มีความสำคัญใดใดกับเรื่องแล้ว แต่ก็ยังถูกยัดเข้ามาในฉากอยู่เนืองๆเพื่อให้เป็น twist point ของพระเอกในภายภาคหน้า ... ซึ่งในตัวบทตรงนี้แหละที่มันดู forced มากๆ ไม่เป็นธรรมชาติเลยกับจุดยืนนางเอกโดยเฉพาะในช่วงท้ายเรื่อง ส่วนตัวคิดว่าพาร์ทของเธออาจจะน่าสนใจกว่านี้ถ้าหนังให้เวลาในการปูโรมานซ์ระหว่างพระ-นางให้มากกว่าฉากแฟลชแบ็กอียิปต์นะ
.
โดยสรุปแล้ว The Mummy เป็นการล้มเหลวครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในความพยายามที่จะสร้างจักรวาลหนังใหม่ของยูนิเวอร์ซัลอย่าง "Dark Universe" มากๆแม้จะออกตัวแรงเพียงแค่ไหนก็ตาม คือหนังไม่ติดตลาด มันขายความพีคที่จะติดตราตรึงใจคนดูไม่ได้--อันเป็นรากฐานสำคัญของการวางจักรวาลหนังใหม่ขึ้นมาซักเรื่อง คือต้องขายหนังเรื่องแรกให้ได้เสียก่อน (เหมือน Iron Man 1) พอทีนี้เรื่องแรกมันเปิดมาไม่ดี มันก็ยากแล้วที่จะสานต่อจากตรงนี้ แล้วยิ่งมันเป็นหนัง reboot ของหนึ่งในสุดยอดไตรภาคแห่งยุค 90s แล้วด้วย ยิ่งลำบากแน่นอนที่จะต้องโดนเปรียบเทียบอยู่แล้ว
ต้องคอยดูว่า Universal จะใจป้ำพอที่จะยอมสาดทุนมาสร้างหนังภาคต่อไปแบบเสี่ยงๆมั้ย.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้