ไม่ได้ตั้งกระทู้เกี่ยวกับบอลไทยซะนาน ตอนแรกว่าจะตั้งกระทู้วิเคราะห์การตัดตัวผู้เล่น แต่พอเห็นกระแสเงียบมากๆก็เลยปล่อยผ่านดีกว่า พอมาเมื่อวานทีมชาติไทยภายใต้การคุมทีมของโค้ชราเยวัชในเกมส์ที่มีผลอย่างเป็นทางการนัดแรก ทำผลงานได้อย่างน่าพอใจในระดับนึงกับก้าวแรกของบอลไทยยุคใหม่ ก็เลยมาขอตั้งกระทู้ซะหน่อยว่าอะไร ที่เปลี่ยนไปบ้างภายใต้การคุมทีมของราเยวัช
อะไรที่เปลี่ยนไปบ้าง
รู้จักตัวเองว่าอยู่ในระดับไหน ต้องให้เครดิตโค้ชซิโก้ที่ฝากผลงานและรูปแบบการเล่นในบางรูปแบบเอาไว้ให้โค้ชใหม่ได้ศึกษา เช่นการเล่นรัดกุมในนัดเสมอออส และการเปิดเกมส์รุกแลกแล้วแพ้ญี่ปุ่น การบุกใส่ญี่ปุ่นแล้วมีจังหวะให้บุกได้ รู้สึกสนุกกับการที่ได้บุก แต่ผลกลับมาคือเละเทะมันไม่ใช่อะไรที่เราจะมาดีใจแล้วพูดได้ว่า "ถ้าเราบุกเราก็สู้ได้ แต่เราขาดแค่ความคม หรือว่าแค่เราโชคไม่ดี" ความรู้สึกสนุกที่เล่นเกมส์รุกได้ไม่ได้หมายความว่าเราสู้ได้ นั่นคือมุมมองที่ตื้นเขินเกินไป แต่คำตอบที่ได้มาจริงๆคือ มันต่างชั้นเกินไป เราไม่แข็งแกร่งพอที่จะไปแลกหมัดกับทีมในระดับเอเชียต่างหาก นี่คือคำตอบจริงๆที่โค้ชราเยวัชได้เรียนรู้จากผลงานก่อนหน้านี้ว่าจริงๆแล้วเส้นขีดความต่างของเรากับระดับเอเชียนั้น เราอยู่ในระดับไหน
การรู้จักปัญหา และจุดอ่อนของตัวเอง แน่นอนว่าโค้ชทุกคนบนโลกเข้ามาก็ต้องสร้างและพัฒนาจุดเด่นให้ทีมกันทุกคนอยู่แล้ว แต่การทำทีมเพื่อให้พัฒนาต่อได้ ไม่ได้มีแต่การฝึกฝนจุดเด่นให้พัฒนาเท่านั้น แต่ต้องรู้จักจุดอ่อนของตัวเองและพยายามลบจุดด้อยนั้นด้วย ซึ่งการที่ราเยวัชเข้ามา เค้าเลือกจะพัฒนาในจุดด้อยก่อน เค้ารู้ถึงปัญหาของเราทันที ทั้งการเล่นเกมส์รับ การมีวินัยในการเล่น การรักษาสมดุลของเกมส์เมื่อเปลี่ยนจากรับเป็นรุก การประคองเมื่อเล่นเกมส์รุกหากต้องเปลี่ยนเป็นรับ การหาผู้เล่นที่จะใช้รับมือกับลูกกลางอากาศ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราปล่อยผ่านมาตลอด เช่นเวลารุกเราก็รุกจนลืมการรักษาสมดุลและมีวินัยในเกมส์รับ ซึ่งนี่คือปัญหาหลักที่เราปล่อยผ่านมาหลายนัดโดยที่ไม่ได้รับการใส่ใจแก้ไข ซึ่งจะเห็นเลยว่านอกจากการเสียสมาธิท้ายเกมส์ ทุกครั้งที่เราบุกแล้วเค้าบุกกลับ เกมส์รับเราไม่เสียรูปกระบวนมากอย่างที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้
การรู้จักวิธีรับมือกับคู่ต่อสู้ที่เหนือกว่า ว่าเราควรเล่นหรือรับมือด้วยวิธีการไหนถึงจะเป็นวิธีการที่เหมาะสม ไม่ใช่อยากจะบู๊เอามันอย่างเดียว ซึ่งมันจะไม่ต่างกับมวยวัดที่เหมือนเข้าไปวัดใจต่อยได้ 2-3 ทีก็ดีใจ แต่โดนน็อคแบบหมดสภาพกลับมาโดยที่ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยว่าชั้นเชิงความต่างจริงๆมันมีแค่ไหน การที่เราต้องเล่นในฐานะผู้เป็นรอง แน่นอนว่าทุกทีมที่เจอเราในรอบนี้ก็ต้องคิดแบบนั้น ฉะนั้นแพทเทิ้ลขั้นต้นของทุกทีมในระดับเอเชียที่เจอเรามันจะเหมือนกันคือ บุกเข้าใส่เพื่อจะเอา 3 แต้ม ฉะนั้นพ้อยท์หลักจริงๆของเราในการเล่นระดับนี้คือต้องรับมือกับเกมส์รุกของเค้าให้ได้ ซึ่งมันก็จะเหมือนกับข้อข้างบนนั่นคือการใส่ใจกับเกมส์รับเสียก่อน
การรู้จักคู่ต่อสู้ที่เราสู้ด้วย ว่าเค้ามีจุดเด่นในการเล่นอย่างไร อย่างที่ผมเคยพูดอยู่เสมอว่า แต่ละทีม มีจุดเด่นในการเล่นแตกต่างกัน อิรัคแต่เดิมจะขึ้นเกมส์รุกจากคู่ทางกราบซ้าย ส่วน UAE จะใช้โอมาร์เป็นตัวทำเกมส์ ไม่ใช่ว่าวางแทคติกใช้กับออสแล้วสู้ได้ เลยเอามาใช้กับซาอุต่อทั้งๆที่ 2 ทีมมันเล่นคนละรูปแบบกัน หรือเล่นกับอิรัคในรอบก่อนหน้าได้โอเค รอบนี้เลยเล่นเหมือนเดิมทั้งๆที่เค้ายกเครื่องทีมใหม่หมดแล้ว โค้ชซิโก้เคยพูดว่าเราไม่ประกบ โอมาร์ เพราะว่า UAE ทุกคนอันตรายหมด ถึงประกบโอมาร์ ทุกคนก็น่ากลัวอยู่ดี ซึ่งตอนนั้นก็เป็นมุมมองที่หลายๆคนก็เห็นด้วย แต่ราเยวัชไม่คิดเช่นนั้น อย่างที่เราเห็นกันว่า จริงอยู่ที่นักเตะ UAE ทุกคนอันตรายหมด แต่ในแทบจะทุกความอันตรายถูกสร้างมาโดยโอมาร์ นั่นหมายความว่า ถ้าทำให้โอมาร์เล่นได้ยากที่สุดความอันตรายทุกคนก็จะลดประสิทธิภาพลง ถ้าเค้าเลือกที่จะไม่ใช้โอมาร์ทำเกมส์ นั่นก็หมายความว่าเราทำให้เค้าไม่สามารถเล่นในเกมส์ที่เค้าถนัดได้ โอเคว่าสุดท้ายเราอาจจะไม่สามารถตัดโอมาร์ได้โดยสมบูรณ์ และยังปล่อยให้โอมาร์แสดงพิษสงอยู่เป็นระยะๆ แต่สิ่งที่เราทำสำเร็จก็คือเราไม่ปล่อยให้โอมาร์ได้ทำเกมส์ได้ตามใจต้องการง่ายๆนัก การที่เรารู้ว่าเค้ามีจุดเด่นอยู่ตรงจุดไหน และพยายามลดจุดเด่นของเค้าลงนั้น ผมถือว่าโจทย์ข้อนี้ทำได้ดีตามศักยภาพที่เรามีเลยทีเดียว
การรู้จักวิธีการเล่นเกมส์รับจริงๆ ที่ไม่ใช่แค่การลงไปยืนไล่สกัดหรือแค่ไม่บุกเฉยๆ แบบนั้นไม่เรียกว่าเล่นเกมส์รับ ถึงเราจะเป็นฝ่ายถูกบุก แต่สิ่งที่เราต้องทำให้ได้คือเราต้องเป็นทีมที่พูดได้ว่าเราเล่นเกมส์รับในสถานการณ์นั้น ไม่ใช่เป็นทีมที่ถูกทำให้ต้องรับ หรือถูกบุกจนสถานการณ์บังคับให้ต้องรับ แต่สิ่งที่ราเยวัชทำคือ เราต้องควบคุมเกมส์ให้ได้แม้จะเล่นเกมส์รับ ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะครองบอลและเป็นฝ่ายบุก แต่เราก็สามารถพูดได้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่คือการอยู่ในเกมส์ของตัวเองที่เรียกว่าการเล่นเกมส์รับ ซึ่งเล่นเกมส์รับไม่ได้หมายความว่าไม่คิดที่จะชนะ อย่ามองที่ว่าเล่นเกมส์รับก็คือรอแพ้ การเล่นเกมส์รับก็สามารถเป็นการเล่นเพื่อหวังผลสู่ชัยชนะได้ถ้าคุณเล่นได้ กรีซ และ นิวซีแลนด์ เคยแสดงให้เห็นมาแล้ว
การลดความเหลื่อมล้ำในความต่างของระดับระหว่างตัวเองและคู่ต่อสู้ การลดความเหลื่อมล้ำในระยะยาวคือการพัฒนาความสามารถให้เทียบเคียงก็ไปคุยในเรื่องของการพัฒนาเยาวชนก็แล้วกัน เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่จะเปลี่ยนกันได้ภายในเดือน 2 เดือน แต่การลดความเหลื่อมล้ำในระยะสั้นที่ต้องใช้แบบนัดต่อนัดของทีมชาตินั่นคือเรื่องของแทคติก จากหลายข้อข้างบนที่กล่าวมาทุกข้อมีส่วนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการกลบจุดอ่อนตัวเอง ลดทอนจุดเด่นฝั่งตรงข้าม แต่อีกส่วนที่สำคัญคือการเคลื่อนที่ การหาช่อง การมีผู้เล่นที่เหนือกว่าในพื้นที่ใดๆ ซึ่งในข้อนี้กำลังหลักคนหนึ่งที่ต้องชื่นชมก็คือ ฐิติพันธ์ ที่ทำหน้าที่ได้ดีมาก สิ่งที่ ฐิติพันธ์ ทำ ไม่ใช่แค่ช่วยเล่นเกมส์รุก หรือช่วยเล่นเกมส์รับ แต่มันเป็นการเพิ่มตัวผู้เล่นในขณะที่ทีมเล่นรับ และเพิ่มตัวเลือกในขณะที่ทีมเล่นรุก ซึ่งฐิติพันธ์ทำได้ดีมาก
การใช้ผู้เล่นได้ตรงตามแทคติกที่วางไว้ อย่างที่เราทุกคนรู้ ว่านักเตะแต่ละคนมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ฝั่งตรงข้ามแต่ละทีมก็แตกต่างกัน ราเยวัช จัดตัวลงไปโดยแสดงให้เห็นว่าเค้าเลือกตัวผู้เล่นเพราะต้องการใช้นักเตะตามจุดเด่นของเค้าจริงๆ ไม่ใช่แค่จับใส่ตามฟอร์เมชั่นแล้วให้ลงไปเล่นกันเฉยๆ แต่เค้าเลือกใช้ตามสิ่งที่คิดไว้ในเกมส์นั้นตามรายบุคคลจริงๆ เช่นการใช้คู่เซนเตอร์ที่สูงใหญ่เพื่อลดทอนเกมส์ลูกโด่งฝั่งตรงข้าม ถึงแม้จะมีหลายครั้งที่ยังเปิดผ่านไปได้ แต่ก็ถูกบีบให้ต้องเปิดไปตำแหน่งที่ยากกว่าปกติ , การใช้กลางรับเพื่อแบ่งเบาภาระของคู่เซนเตอร์ ถึงแม้จะไม่ใช่ฟอร์มที่ดีที่สุด แต่ก็ทำหน้าที่ได้ตรงตามจุดประสงค์ , การใช้มิดฟิลด์ตัวกลางแบบ Box to Box อย่างมีประโยชน์สูงสุด เมื่อต้องรับก็ช่วยเพิ่มตัวผู้เล่นในขณะที่ทีมเล่นรับ เมื่อต้องเล่นรุกก็เพิ่มตัวเลือกในขณะที่ทีมเล่นรุก ไม่ใช่หายไปจากเกมส์แล้วปล่อยพื้นที่ให้อีกคนรับบทหนัก , การใช้มงคลที่มีความสามารถในการหาพื้นที่ในกรอบเขตโทษได้ดีกว่าใครๆ ซึ่งนี่อาจจะเป็นความต่างนิดหน่อยตรงที่แต่เดิม การจัดมงคลลงไป คือการหวังให้มงคลใช้สัญชาติญาณในการหาพื้นที่ในกรอบด้วยตัวของมงคลเอง แต่กับราเยวัชที่เห็นชัดๆคือ ราเยวัชก็มองเห็นเช่นกันว่ามงคลมีสิ่งนี้ และราเยวัชไม่ได้จัดลงไปแล้วหวังให้มงคลทำให้ได้ด้วยสัญชาติญาณของตัวเอง แต่ราเยวัชชี้แนวทางในการดึงจุดเด่นของมงคลออกมาเมื่อเจอสถานการณ์ต่างๆด้วย ซึ่งนอกจากจังหวะที่ได้ประตูแล้ว อีกจังหวะที่ชัดๆก็คือจังหวะที่พรรษาโหม่งตั้งให้ ถึงจะย้อนหลังไปและไม่ได้ลุ้นอะไร แต่ถ้ามองลงไป ก็คือมงคลอีกนั่นแหล่ะที่เป็นคนเดียวที่อยู่ในพื้นที่นั้น ทำไมถึงเป็นมงคล ทำไมถึงเป็นคนเดียวที่อยู่ตรงนั้น หากจังหวะมันพอดิบพอดีกว่านี้ มงคลคงได้โอกาสลุ้นอีกซักประตู ซึ่งพวกนี้คือตัวเลือกที่เลือกไปแล้วทำได้ แต่ก็มีเหมือนกันที่เลือกลงไปแล้วยังทำได้ไม่สมบูรณ์ เช่น สิโรจน์ ที่หวังใช้ความแข็งกร่งคุกคามจากด้านข้าง หรือการคลองบอลดึงจังหวะเพื่อสร้างจังหวะที่แตกต่างของสรรวัชญ์ (ข้อนี้ผมมั่นใจว่าราเยวัชสั่งมาแน่ ไม่งั้นโค้ชที่ถูกนักเตะบอกว่าในเกมส์ซ้อมถ้าใครไม่ทำตามที่สั่งจะสั่งหยุดให้ทำใหม่เลยอย่างราเยวัช ไม่ปล่อยให้สรรวัชญ์เล่นแบบนี้อยู่ทั้งเกมส์หรอก เพียงแต่เจ้าตัวยังทำได้ไม่ดีก็เท่านั้น ลองคิดว่าถ้าจังหวะเหล่านั้นถ้าเปลี่ยนเป็นชนาธิป ผลที่ออกมาอาจจะต่างไปเลยก็ได้)
ตั้งเป้าหมายที่สามารถทำได้จริงจากวิธีการที่จะใช้ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ตั้งไว้ นี่คืออีกส่วนที่ผมชื่นชมโค้ชราเยวัช ที่ไม่ใช่แค่วาดฝันเอาไว้ลอยๆ แต่ประเมิณจากวิธีการแล้วว่าเราสามารถทำอะไรได้ถึงขั้นไหน จะชนะ UAE หรอ บุกใส่เค้าสิ ถ้าไม่บุกก็ไม่ชนะ นี่คือความคิดที่ผิดพลาด ราเยวัช มองที่ภาพรวมว่าเราควรจะทำยังไงให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี โดยที่ศักยภาพเราเป็นรอง เราไม่สามารถมากพอที่จะบุกใส่ UAE โดยที่จะไม่ถูกเค้าบุกกลับได้
การเรียนรู้การเล่นอย่างรู้จังหวะ เมื่อบุกคือบุก เมื่อรับคือรับ ไม่ใช่เมื่อบุกก็คือเล่นเกมส์บุก แต่พอรับคือไม่ได้อยู่ในสภาพทีพร้อมจะรับเพราะมัวแต่คิดที่จะบุก มันจะเกิดช่องว่างให้เค้าโจมตี ซึ่งวินัยในการเล่นคือสิ่งสำคัญ และนั่นคือบทเรียนที่เกิดขึ้นหลายนัดในรอบนี้ที่เราควรจะแก้ไขนานแล้ว
ลดจังหวะในการเล่นเกมส์รุก การเคาะบอลสวยงามบางครั้งมันจำเป็นก็จริงเมื่อเราเจาะไม่เข้า การต่อบอลเพื่อหาช่องรอโอกาสขึงเป็นสิ่งที่ควรฝึกไว้ แต่มันไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่สุดที่เราต้องทำในทุกครั้งที่ได้บุก สิ่งที่เราเห็นได้คือมีหลายๆจังหวะที่เราพยายามเล่นเกมส์รุกสวนกลับที่รวดเร็วโดยใช้ไม่กี่จังหวะเท่านั้น เราสามารถลดทอนจังหวะการเล่นได้เพราะฝั่งตรงข้ามเปิดพื้นที่เนื่องจากเราเล่นเกมส์รับและเค้าบุกจนทำให้พื้นที่ในแดนหลังของเค้ามีช่องว่างให้โจมตี โอเคว่าหลายๆครั้งในช่วงท้ายเราอาจจะไม่สามารถเล่นเกมส์สวนกลับได้เพราะแค่เคลียร์ทิ้งก็เต็มกลืน แต่ที่ชัดเจนคือในหลายๆครั้งที่เราพยายามจะสวนเราใช้แค่ไม่กี่จังหวะเท่านั้น
ตอนนี้โค้ชเพิ่งเข้ามาคุมทีม ทรัพยากรนักเตะที่ใช้ก็ยังไม่ครบถ้วนตามที่ต้องการ แทคติกหลายๆอย่างก็ยังใหม่ อาจจะต้องให้เวลาโค้ชกล่อมเกลาแทคติกที่วางเอาไว้ให้เข้าที่ แล้วก็หาทรัพยากรนักเตะจากในลีกให้ครบตามต้องการ ผมมองว่าทีมจะเข้ารูปเข้ารอยมากกว่านี้ ซึ่งบอกเลยว่าทีมชาติต่อไปนี้ อาจจะหวือหวาเร้าใจน้อยลง เพราะโค้ชราเยวัชเริ่มสร้างทีมจากการเน้นเกมส์รับ เมื่อเล่นเกมส์รับได้ดี เราจะรู้ว่าสเต็ปต่อไปคืออะไร การที่เราเล่นรับให้แน่น เราจะรู้ว่านานๆเราจะได้บุกซักครั้ง นั่นหมายความว่า เมื่อเราได้โอกาสเราต้องจบให้ได้ และใช้โอกาสให้เปลืองน้อยที่สุด หรือเมื่อเจอทีมที่ไม่บุกใส่เรา เราจะเล่นรูปแบบไหน ซึ่งนี่คือโจทย์ข้อต่อๆไปที่โค้ชต้องทำ ซึ่งถึงโค้ชจะยึดแนวทางนี้อาจจะไม่ถูกใจหลายคน แต่มันอาจจะดีกว่าบุกสนุกแต่เป็นหมูให้เค้าเคี้ยว แต่เราอาจจะกลายเป็นทีมที่เล่นเขี้ยว แล้วก็ไม่ถูกเคี้ยวง่ายๆอีกต่อไปก็ได้
ปล.ผมยังไม่หายป่วยดีจากอาการเครียดและซึมเศร้า อาจจะพิมพ์บางอย่างดูวกวนสับสนไปหน่อยขออภัยด้วยนะครับ
ทีมชาติไทยที่เปลี่ยนไป กับการคุมทีมของเฮดโค้ช ราเยวัช
อะไรที่เปลี่ยนไปบ้าง
รู้จักตัวเองว่าอยู่ในระดับไหน ต้องให้เครดิตโค้ชซิโก้ที่ฝากผลงานและรูปแบบการเล่นในบางรูปแบบเอาไว้ให้โค้ชใหม่ได้ศึกษา เช่นการเล่นรัดกุมในนัดเสมอออส และการเปิดเกมส์รุกแลกแล้วแพ้ญี่ปุ่น การบุกใส่ญี่ปุ่นแล้วมีจังหวะให้บุกได้ รู้สึกสนุกกับการที่ได้บุก แต่ผลกลับมาคือเละเทะมันไม่ใช่อะไรที่เราจะมาดีใจแล้วพูดได้ว่า "ถ้าเราบุกเราก็สู้ได้ แต่เราขาดแค่ความคม หรือว่าแค่เราโชคไม่ดี" ความรู้สึกสนุกที่เล่นเกมส์รุกได้ไม่ได้หมายความว่าเราสู้ได้ นั่นคือมุมมองที่ตื้นเขินเกินไป แต่คำตอบที่ได้มาจริงๆคือ มันต่างชั้นเกินไป เราไม่แข็งแกร่งพอที่จะไปแลกหมัดกับทีมในระดับเอเชียต่างหาก นี่คือคำตอบจริงๆที่โค้ชราเยวัชได้เรียนรู้จากผลงานก่อนหน้านี้ว่าจริงๆแล้วเส้นขีดความต่างของเรากับระดับเอเชียนั้น เราอยู่ในระดับไหน
การรู้จักปัญหา และจุดอ่อนของตัวเอง แน่นอนว่าโค้ชทุกคนบนโลกเข้ามาก็ต้องสร้างและพัฒนาจุดเด่นให้ทีมกันทุกคนอยู่แล้ว แต่การทำทีมเพื่อให้พัฒนาต่อได้ ไม่ได้มีแต่การฝึกฝนจุดเด่นให้พัฒนาเท่านั้น แต่ต้องรู้จักจุดอ่อนของตัวเองและพยายามลบจุดด้อยนั้นด้วย ซึ่งการที่ราเยวัชเข้ามา เค้าเลือกจะพัฒนาในจุดด้อยก่อน เค้ารู้ถึงปัญหาของเราทันที ทั้งการเล่นเกมส์รับ การมีวินัยในการเล่น การรักษาสมดุลของเกมส์เมื่อเปลี่ยนจากรับเป็นรุก การประคองเมื่อเล่นเกมส์รุกหากต้องเปลี่ยนเป็นรับ การหาผู้เล่นที่จะใช้รับมือกับลูกกลางอากาศ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราปล่อยผ่านมาตลอด เช่นเวลารุกเราก็รุกจนลืมการรักษาสมดุลและมีวินัยในเกมส์รับ ซึ่งนี่คือปัญหาหลักที่เราปล่อยผ่านมาหลายนัดโดยที่ไม่ได้รับการใส่ใจแก้ไข ซึ่งจะเห็นเลยว่านอกจากการเสียสมาธิท้ายเกมส์ ทุกครั้งที่เราบุกแล้วเค้าบุกกลับ เกมส์รับเราไม่เสียรูปกระบวนมากอย่างที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้
การรู้จักวิธีรับมือกับคู่ต่อสู้ที่เหนือกว่า ว่าเราควรเล่นหรือรับมือด้วยวิธีการไหนถึงจะเป็นวิธีการที่เหมาะสม ไม่ใช่อยากจะบู๊เอามันอย่างเดียว ซึ่งมันจะไม่ต่างกับมวยวัดที่เหมือนเข้าไปวัดใจต่อยได้ 2-3 ทีก็ดีใจ แต่โดนน็อคแบบหมดสภาพกลับมาโดยที่ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยว่าชั้นเชิงความต่างจริงๆมันมีแค่ไหน การที่เราต้องเล่นในฐานะผู้เป็นรอง แน่นอนว่าทุกทีมที่เจอเราในรอบนี้ก็ต้องคิดแบบนั้น ฉะนั้นแพทเทิ้ลขั้นต้นของทุกทีมในระดับเอเชียที่เจอเรามันจะเหมือนกันคือ บุกเข้าใส่เพื่อจะเอา 3 แต้ม ฉะนั้นพ้อยท์หลักจริงๆของเราในการเล่นระดับนี้คือต้องรับมือกับเกมส์รุกของเค้าให้ได้ ซึ่งมันก็จะเหมือนกับข้อข้างบนนั่นคือการใส่ใจกับเกมส์รับเสียก่อน
การรู้จักคู่ต่อสู้ที่เราสู้ด้วย ว่าเค้ามีจุดเด่นในการเล่นอย่างไร อย่างที่ผมเคยพูดอยู่เสมอว่า แต่ละทีม มีจุดเด่นในการเล่นแตกต่างกัน อิรัคแต่เดิมจะขึ้นเกมส์รุกจากคู่ทางกราบซ้าย ส่วน UAE จะใช้โอมาร์เป็นตัวทำเกมส์ ไม่ใช่ว่าวางแทคติกใช้กับออสแล้วสู้ได้ เลยเอามาใช้กับซาอุต่อทั้งๆที่ 2 ทีมมันเล่นคนละรูปแบบกัน หรือเล่นกับอิรัคในรอบก่อนหน้าได้โอเค รอบนี้เลยเล่นเหมือนเดิมทั้งๆที่เค้ายกเครื่องทีมใหม่หมดแล้ว โค้ชซิโก้เคยพูดว่าเราไม่ประกบ โอมาร์ เพราะว่า UAE ทุกคนอันตรายหมด ถึงประกบโอมาร์ ทุกคนก็น่ากลัวอยู่ดี ซึ่งตอนนั้นก็เป็นมุมมองที่หลายๆคนก็เห็นด้วย แต่ราเยวัชไม่คิดเช่นนั้น อย่างที่เราเห็นกันว่า จริงอยู่ที่นักเตะ UAE ทุกคนอันตรายหมด แต่ในแทบจะทุกความอันตรายถูกสร้างมาโดยโอมาร์ นั่นหมายความว่า ถ้าทำให้โอมาร์เล่นได้ยากที่สุดความอันตรายทุกคนก็จะลดประสิทธิภาพลง ถ้าเค้าเลือกที่จะไม่ใช้โอมาร์ทำเกมส์ นั่นก็หมายความว่าเราทำให้เค้าไม่สามารถเล่นในเกมส์ที่เค้าถนัดได้ โอเคว่าสุดท้ายเราอาจจะไม่สามารถตัดโอมาร์ได้โดยสมบูรณ์ และยังปล่อยให้โอมาร์แสดงพิษสงอยู่เป็นระยะๆ แต่สิ่งที่เราทำสำเร็จก็คือเราไม่ปล่อยให้โอมาร์ได้ทำเกมส์ได้ตามใจต้องการง่ายๆนัก การที่เรารู้ว่าเค้ามีจุดเด่นอยู่ตรงจุดไหน และพยายามลดจุดเด่นของเค้าลงนั้น ผมถือว่าโจทย์ข้อนี้ทำได้ดีตามศักยภาพที่เรามีเลยทีเดียว
การรู้จักวิธีการเล่นเกมส์รับจริงๆ ที่ไม่ใช่แค่การลงไปยืนไล่สกัดหรือแค่ไม่บุกเฉยๆ แบบนั้นไม่เรียกว่าเล่นเกมส์รับ ถึงเราจะเป็นฝ่ายถูกบุก แต่สิ่งที่เราต้องทำให้ได้คือเราต้องเป็นทีมที่พูดได้ว่าเราเล่นเกมส์รับในสถานการณ์นั้น ไม่ใช่เป็นทีมที่ถูกทำให้ต้องรับ หรือถูกบุกจนสถานการณ์บังคับให้ต้องรับ แต่สิ่งที่ราเยวัชทำคือ เราต้องควบคุมเกมส์ให้ได้แม้จะเล่นเกมส์รับ ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะครองบอลและเป็นฝ่ายบุก แต่เราก็สามารถพูดได้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่คือการอยู่ในเกมส์ของตัวเองที่เรียกว่าการเล่นเกมส์รับ ซึ่งเล่นเกมส์รับไม่ได้หมายความว่าไม่คิดที่จะชนะ อย่ามองที่ว่าเล่นเกมส์รับก็คือรอแพ้ การเล่นเกมส์รับก็สามารถเป็นการเล่นเพื่อหวังผลสู่ชัยชนะได้ถ้าคุณเล่นได้ กรีซ และ นิวซีแลนด์ เคยแสดงให้เห็นมาแล้ว
การลดความเหลื่อมล้ำในความต่างของระดับระหว่างตัวเองและคู่ต่อสู้ การลดความเหลื่อมล้ำในระยะยาวคือการพัฒนาความสามารถให้เทียบเคียงก็ไปคุยในเรื่องของการพัฒนาเยาวชนก็แล้วกัน เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่จะเปลี่ยนกันได้ภายในเดือน 2 เดือน แต่การลดความเหลื่อมล้ำในระยะสั้นที่ต้องใช้แบบนัดต่อนัดของทีมชาตินั่นคือเรื่องของแทคติก จากหลายข้อข้างบนที่กล่าวมาทุกข้อมีส่วนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการกลบจุดอ่อนตัวเอง ลดทอนจุดเด่นฝั่งตรงข้าม แต่อีกส่วนที่สำคัญคือการเคลื่อนที่ การหาช่อง การมีผู้เล่นที่เหนือกว่าในพื้นที่ใดๆ ซึ่งในข้อนี้กำลังหลักคนหนึ่งที่ต้องชื่นชมก็คือ ฐิติพันธ์ ที่ทำหน้าที่ได้ดีมาก สิ่งที่ ฐิติพันธ์ ทำ ไม่ใช่แค่ช่วยเล่นเกมส์รุก หรือช่วยเล่นเกมส์รับ แต่มันเป็นการเพิ่มตัวผู้เล่นในขณะที่ทีมเล่นรับ และเพิ่มตัวเลือกในขณะที่ทีมเล่นรุก ซึ่งฐิติพันธ์ทำได้ดีมาก
การใช้ผู้เล่นได้ตรงตามแทคติกที่วางไว้ อย่างที่เราทุกคนรู้ ว่านักเตะแต่ละคนมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ฝั่งตรงข้ามแต่ละทีมก็แตกต่างกัน ราเยวัช จัดตัวลงไปโดยแสดงให้เห็นว่าเค้าเลือกตัวผู้เล่นเพราะต้องการใช้นักเตะตามจุดเด่นของเค้าจริงๆ ไม่ใช่แค่จับใส่ตามฟอร์เมชั่นแล้วให้ลงไปเล่นกันเฉยๆ แต่เค้าเลือกใช้ตามสิ่งที่คิดไว้ในเกมส์นั้นตามรายบุคคลจริงๆ เช่นการใช้คู่เซนเตอร์ที่สูงใหญ่เพื่อลดทอนเกมส์ลูกโด่งฝั่งตรงข้าม ถึงแม้จะมีหลายครั้งที่ยังเปิดผ่านไปได้ แต่ก็ถูกบีบให้ต้องเปิดไปตำแหน่งที่ยากกว่าปกติ , การใช้กลางรับเพื่อแบ่งเบาภาระของคู่เซนเตอร์ ถึงแม้จะไม่ใช่ฟอร์มที่ดีที่สุด แต่ก็ทำหน้าที่ได้ตรงตามจุดประสงค์ , การใช้มิดฟิลด์ตัวกลางแบบ Box to Box อย่างมีประโยชน์สูงสุด เมื่อต้องรับก็ช่วยเพิ่มตัวผู้เล่นในขณะที่ทีมเล่นรับ เมื่อต้องเล่นรุกก็เพิ่มตัวเลือกในขณะที่ทีมเล่นรุก ไม่ใช่หายไปจากเกมส์แล้วปล่อยพื้นที่ให้อีกคนรับบทหนัก , การใช้มงคลที่มีความสามารถในการหาพื้นที่ในกรอบเขตโทษได้ดีกว่าใครๆ ซึ่งนี่อาจจะเป็นความต่างนิดหน่อยตรงที่แต่เดิม การจัดมงคลลงไป คือการหวังให้มงคลใช้สัญชาติญาณในการหาพื้นที่ในกรอบด้วยตัวของมงคลเอง แต่กับราเยวัชที่เห็นชัดๆคือ ราเยวัชก็มองเห็นเช่นกันว่ามงคลมีสิ่งนี้ และราเยวัชไม่ได้จัดลงไปแล้วหวังให้มงคลทำให้ได้ด้วยสัญชาติญาณของตัวเอง แต่ราเยวัชชี้แนวทางในการดึงจุดเด่นของมงคลออกมาเมื่อเจอสถานการณ์ต่างๆด้วย ซึ่งนอกจากจังหวะที่ได้ประตูแล้ว อีกจังหวะที่ชัดๆก็คือจังหวะที่พรรษาโหม่งตั้งให้ ถึงจะย้อนหลังไปและไม่ได้ลุ้นอะไร แต่ถ้ามองลงไป ก็คือมงคลอีกนั่นแหล่ะที่เป็นคนเดียวที่อยู่ในพื้นที่นั้น ทำไมถึงเป็นมงคล ทำไมถึงเป็นคนเดียวที่อยู่ตรงนั้น หากจังหวะมันพอดิบพอดีกว่านี้ มงคลคงได้โอกาสลุ้นอีกซักประตู ซึ่งพวกนี้คือตัวเลือกที่เลือกไปแล้วทำได้ แต่ก็มีเหมือนกันที่เลือกลงไปแล้วยังทำได้ไม่สมบูรณ์ เช่น สิโรจน์ ที่หวังใช้ความแข็งกร่งคุกคามจากด้านข้าง หรือการคลองบอลดึงจังหวะเพื่อสร้างจังหวะที่แตกต่างของสรรวัชญ์ (ข้อนี้ผมมั่นใจว่าราเยวัชสั่งมาแน่ ไม่งั้นโค้ชที่ถูกนักเตะบอกว่าในเกมส์ซ้อมถ้าใครไม่ทำตามที่สั่งจะสั่งหยุดให้ทำใหม่เลยอย่างราเยวัช ไม่ปล่อยให้สรรวัชญ์เล่นแบบนี้อยู่ทั้งเกมส์หรอก เพียงแต่เจ้าตัวยังทำได้ไม่ดีก็เท่านั้น ลองคิดว่าถ้าจังหวะเหล่านั้นถ้าเปลี่ยนเป็นชนาธิป ผลที่ออกมาอาจจะต่างไปเลยก็ได้)
ตั้งเป้าหมายที่สามารถทำได้จริงจากวิธีการที่จะใช้ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ตั้งไว้ นี่คืออีกส่วนที่ผมชื่นชมโค้ชราเยวัช ที่ไม่ใช่แค่วาดฝันเอาไว้ลอยๆ แต่ประเมิณจากวิธีการแล้วว่าเราสามารถทำอะไรได้ถึงขั้นไหน จะชนะ UAE หรอ บุกใส่เค้าสิ ถ้าไม่บุกก็ไม่ชนะ นี่คือความคิดที่ผิดพลาด ราเยวัช มองที่ภาพรวมว่าเราควรจะทำยังไงให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี โดยที่ศักยภาพเราเป็นรอง เราไม่สามารถมากพอที่จะบุกใส่ UAE โดยที่จะไม่ถูกเค้าบุกกลับได้
การเรียนรู้การเล่นอย่างรู้จังหวะ เมื่อบุกคือบุก เมื่อรับคือรับ ไม่ใช่เมื่อบุกก็คือเล่นเกมส์บุก แต่พอรับคือไม่ได้อยู่ในสภาพทีพร้อมจะรับเพราะมัวแต่คิดที่จะบุก มันจะเกิดช่องว่างให้เค้าโจมตี ซึ่งวินัยในการเล่นคือสิ่งสำคัญ และนั่นคือบทเรียนที่เกิดขึ้นหลายนัดในรอบนี้ที่เราควรจะแก้ไขนานแล้ว
ลดจังหวะในการเล่นเกมส์รุก การเคาะบอลสวยงามบางครั้งมันจำเป็นก็จริงเมื่อเราเจาะไม่เข้า การต่อบอลเพื่อหาช่องรอโอกาสขึงเป็นสิ่งที่ควรฝึกไว้ แต่มันไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่สุดที่เราต้องทำในทุกครั้งที่ได้บุก สิ่งที่เราเห็นได้คือมีหลายๆจังหวะที่เราพยายามเล่นเกมส์รุกสวนกลับที่รวดเร็วโดยใช้ไม่กี่จังหวะเท่านั้น เราสามารถลดทอนจังหวะการเล่นได้เพราะฝั่งตรงข้ามเปิดพื้นที่เนื่องจากเราเล่นเกมส์รับและเค้าบุกจนทำให้พื้นที่ในแดนหลังของเค้ามีช่องว่างให้โจมตี โอเคว่าหลายๆครั้งในช่วงท้ายเราอาจจะไม่สามารถเล่นเกมส์สวนกลับได้เพราะแค่เคลียร์ทิ้งก็เต็มกลืน แต่ที่ชัดเจนคือในหลายๆครั้งที่เราพยายามจะสวนเราใช้แค่ไม่กี่จังหวะเท่านั้น
ตอนนี้โค้ชเพิ่งเข้ามาคุมทีม ทรัพยากรนักเตะที่ใช้ก็ยังไม่ครบถ้วนตามที่ต้องการ แทคติกหลายๆอย่างก็ยังใหม่ อาจจะต้องให้เวลาโค้ชกล่อมเกลาแทคติกที่วางเอาไว้ให้เข้าที่ แล้วก็หาทรัพยากรนักเตะจากในลีกให้ครบตามต้องการ ผมมองว่าทีมจะเข้ารูปเข้ารอยมากกว่านี้ ซึ่งบอกเลยว่าทีมชาติต่อไปนี้ อาจจะหวือหวาเร้าใจน้อยลง เพราะโค้ชราเยวัชเริ่มสร้างทีมจากการเน้นเกมส์รับ เมื่อเล่นเกมส์รับได้ดี เราจะรู้ว่าสเต็ปต่อไปคืออะไร การที่เราเล่นรับให้แน่น เราจะรู้ว่านานๆเราจะได้บุกซักครั้ง นั่นหมายความว่า เมื่อเราได้โอกาสเราต้องจบให้ได้ และใช้โอกาสให้เปลืองน้อยที่สุด หรือเมื่อเจอทีมที่ไม่บุกใส่เรา เราจะเล่นรูปแบบไหน ซึ่งนี่คือโจทย์ข้อต่อๆไปที่โค้ชต้องทำ ซึ่งถึงโค้ชจะยึดแนวทางนี้อาจจะไม่ถูกใจหลายคน แต่มันอาจจะดีกว่าบุกสนุกแต่เป็นหมูให้เค้าเคี้ยว แต่เราอาจจะกลายเป็นทีมที่เล่นเขี้ยว แล้วก็ไม่ถูกเคี้ยวง่ายๆอีกต่อไปก็ได้
ปล.ผมยังไม่หายป่วยดีจากอาการเครียดและซึมเศร้า อาจจะพิมพ์บางอย่างดูวกวนสับสนไปหน่อยขออภัยด้วยนะครับ