คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 97
จริงๆผมไม่อยาก เข้ามาตอบเลย แต่คงต้องทำครับ (เพื่อถ่วงดุลคำตอบ)
ปัญหาของคุณ คือคุณตามใจเมียมากเกินไป เมียคุณก็อ้างโนนอ้างนี่ ไม่ยอมทำอะไรเลยซักอย่าง
ไม่เลี่ยงลูก ไม่ดูแลลูกทำการบ้าน ไม่ทำงานบ้าน แล้วก็คงจะ ไม่ต้องทำกับข้าวด้วยมั้ง
ไม่ดูแลแม่คุณ ไม่ดูแลทวดคุณ หรือเรี่องดูแลบ้านทั้งสองหลัง ก็คงไม่ต้องทำ!
กิจการของแม่สามีกับสามี ก็ไม่เคยคิดจะมาช่วย
งานออนไลน์ของเมียคุณ ผมก็ไม่รู้ว่า จะได้เงินพอให้ตัวเองใช้ จ้างพี่เลียง และให้ค่าขนมลูกหรือปล่าว?
หรือเป็นข้ออ้างให้ยุ่งๆไว้ ก็แค่นั้น
ต้นเรื่องมันเกิดจากพี่เลี้ยงงานยุ่ง จนลืมเอาน้ำให้คุณทวด!
ทำไมพี่เลี้ยงงานยุ่งครับ? --> ก็ใช้งานเขามากเกินไปไงครับ
แล้วทำไมใช้งานเขามากเกินไป? --> ก็เมียคุณไม่ทำอะไรเลยไงครับ
การบริหารเรื่องหลังบ้าน เป็นหน้าที่ของเมียนะครับ ถ้าพี่เลี้ยงงานมากแล้วไม่จ้างอีกคน ก็ต้องช่วยทำ
แม่ไล่พี่เลี้ยง แต่เมียปกบ้อง คุณเข้าใจหรือยังว่าจริงๆ เป็นเรื่องของแม่กับเมียคุณครับ
อะไรกัน? ใช้พี่เลียงซะจน ไม่มีเวลาเอาน้ำให้คุณทวด นั้นมันเป็นความผิดเมียคุณครับ
แม่คุณไม่ได้อดทนหรือครับ? ได้สะใภ้แบบนี้ยังไม่เคยบ่น แล้วก็ไม่ได้ขอให้คุณเธอ ช่วยทำอะไรสักอย่าง
ในมุมของคุณแม่คุณ คุณรักเมียโอ้เมีย มากกว่าแม่ไปนานแล้วครับ แต่มันเพิ่งจะมาระเบิดเอาตอนนี้
คนอายุมากก็ยิ่งทำตัวเหมือนเด็กๆใครๆก็รู้
คุณลองคิดว่าคุนแม่ ตอนนี้เป็นวัยรุ่นเลือดร้อน คุณจะได้คิดออกว่า จะกล่อมคุณแม่อย่างไรครับ
แล้วอีกเรื่อง ถ้าคุณยังทำให้คุณแม่รู้สึกว่า คุณยังรักเคารพท่านมากเท่าเดิมไม่ได้ ท่านก็จะวีนใส่คุณอยู่อยู่เรื่อยๆ
ปล.
ที่ผมเห็นด้วยนะ
1 จ้างคนดูแลคุณทวดเพิ่ม แยกต่างหาก กล่อมคุณแม่ให้มันใจ(ดู2)
2 กล่อมคุณแม่ ให้ยอมติดตามการดูแลคุณทวด จากกล้องให้ได้ครับ ทำให้เธอมั่นใจ
ที่ผมสงสัย
1 คุณจะจัดการเมียคุณอย่างไรครับ?
ปัญหาของคุณ คือคุณตามใจเมียมากเกินไป เมียคุณก็อ้างโนนอ้างนี่ ไม่ยอมทำอะไรเลยซักอย่าง
ไม่เลี่ยงลูก ไม่ดูแลลูกทำการบ้าน ไม่ทำงานบ้าน แล้วก็คงจะ ไม่ต้องทำกับข้าวด้วยมั้ง
ไม่ดูแลแม่คุณ ไม่ดูแลทวดคุณ หรือเรี่องดูแลบ้านทั้งสองหลัง ก็คงไม่ต้องทำ!
กิจการของแม่สามีกับสามี ก็ไม่เคยคิดจะมาช่วย
งานออนไลน์ของเมียคุณ ผมก็ไม่รู้ว่า จะได้เงินพอให้ตัวเองใช้ จ้างพี่เลียง และให้ค่าขนมลูกหรือปล่าว?
หรือเป็นข้ออ้างให้ยุ่งๆไว้ ก็แค่นั้น
ต้นเรื่องมันเกิดจากพี่เลี้ยงงานยุ่ง จนลืมเอาน้ำให้คุณทวด!
ทำไมพี่เลี้ยงงานยุ่งครับ? --> ก็ใช้งานเขามากเกินไปไงครับ
แล้วทำไมใช้งานเขามากเกินไป? --> ก็เมียคุณไม่ทำอะไรเลยไงครับ
การบริหารเรื่องหลังบ้าน เป็นหน้าที่ของเมียนะครับ ถ้าพี่เลี้ยงงานมากแล้วไม่จ้างอีกคน ก็ต้องช่วยทำ
แม่ไล่พี่เลี้ยง แต่เมียปกบ้อง คุณเข้าใจหรือยังว่าจริงๆ เป็นเรื่องของแม่กับเมียคุณครับ
อะไรกัน? ใช้พี่เลียงซะจน ไม่มีเวลาเอาน้ำให้คุณทวด นั้นมันเป็นความผิดเมียคุณครับ
แม่คุณไม่ได้อดทนหรือครับ? ได้สะใภ้แบบนี้ยังไม่เคยบ่น แล้วก็ไม่ได้ขอให้คุณเธอ ช่วยทำอะไรสักอย่าง
ในมุมของคุณแม่คุณ คุณรักเมียโอ้เมีย มากกว่าแม่ไปนานแล้วครับ แต่มันเพิ่งจะมาระเบิดเอาตอนนี้
คนอายุมากก็ยิ่งทำตัวเหมือนเด็กๆใครๆก็รู้
คุณลองคิดว่าคุนแม่ ตอนนี้เป็นวัยรุ่นเลือดร้อน คุณจะได้คิดออกว่า จะกล่อมคุณแม่อย่างไรครับ
แล้วอีกเรื่อง ถ้าคุณยังทำให้คุณแม่รู้สึกว่า คุณยังรักเคารพท่านมากเท่าเดิมไม่ได้ ท่านก็จะวีนใส่คุณอยู่อยู่เรื่อยๆ
ปล.
ที่ผมเห็นด้วยนะ
1 จ้างคนดูแลคุณทวดเพิ่ม แยกต่างหาก กล่อมคุณแม่ให้มันใจ(ดู2)
2 กล่อมคุณแม่ ให้ยอมติดตามการดูแลคุณทวด จากกล้องให้ได้ครับ ทำให้เธอมั่นใจ
ที่ผมสงสัย
1 คุณจะจัดการเมียคุณอย่างไรครับ?
ความคิดเห็นที่ 53
ถึงกับล็อกอินเข้ามาตอบ....
อยากให้มองหลายๆ มุมค่ะ มีหลายความเห็นที่บอกว่าให้แยกอยู่กับภรรยา แล้วค่อยมาเจอลูก... งั้นเราขอพูดในฐานะเด็กที่โตมาในสภาพนี้ ที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ไม่ได้หย่ากันนะคะ (ตั้งแต่ช่วงอนุบาล-ประถม ปัจจุบันเรา 30 กว่าแล้ว)
1. เด็กเข้าใจทางสมองแต่ไม่เข้าใจทางอารมณ์ค่ะ เราเข้าใจถึงความจำเป็นต่างๆบลาๆๆๆ ของพ่อ แต่เราไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อไม่เลือกเรา หรือจัดการอะไรเพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกัน? ทำไมพ่อถึงอยู่กับเราแค่ ศ - จ แล้ววันอื่นล่ะ?? เวลาเพื่อนถาม เราก็จะงงๆ บอกพ่อไม่อยู่ไปทำงานและมีความเหงาที่พยายามทำเข้มแข็งเพราะเราเป็นผู้ใหญ่พอ เราต้องเข้าใจพ่อสิ เรางอแงไม่ได้ (แต่ความจริงเราไม่อยากเข้าใจหรอก)
สุดท้ายโตมา.. เราติดแม่มากกว่าพ่อแบบช่วยไม่ได้ อะไรก็แม่ แม่จะมาก่อนพ่อเสมอ เลยไม่ค่อยสนิทกับพ่อไปโดยปริยาย อาจจะด้วยกว่าพ่อจะจัดการอะไรลงตัวเราก็โตพอแล้ว ขึ้นมัธยมแล้ว.... พ้นวัยที่ต้องการความอบอุ่นแล้ว เพราะมัธยมก็เริ่มไปโฟกัสที่เพื่อนและการเรียนแทน
2. ลองคุยกับแม่ดูค่ะ อย่างที่บอกถ้าแม่ไม่ไหวจริงๆ เป็นเรา เราจะเลือกให้คุณออกไปอยู่กับภรรยา แล้วมาหาท่านตอนเย็นบ้าง แล้วศุกร์ - อาทิตย์ ก็พาลูกมาอยู่กับย่า (แฟนคุณจะตามมาหรือไม่ก็สิทธิ์ของเขา ปล่อยเขาค่ะ)
3. รักษาน้ำใจพี่เลี้ยงเอาไว้ พี่เลี้ยงดีๆ สมัยนี้หายากมาก และเราก็ว่าพี่เลี้ยงของคุณทำหน้าที่ได้ดีมากแล้ว คุณบอกว่าแม่ถามพี่เลี้ยงตอน 10.20 ซึ่งความจริงก็ยังไม่ถึงช่วงเวลาทานยา 10.00-10.30 ด้วยซ้ำ คุณต้องบอกแม่ไปว่า ... งานนี้ท่านผิดนะคะ
4. อยากให้คุณอธิบายให้ภรรยาฟังใหม่ว่า แม่ใครใครก็รัก ภรรยาคุณรักแม่ตัวเอง คุณก็รักแม่คุณ ดังนั้นการที่แม่จะรักยายของคุณหรือว่าแม่เขาก็ไม่ผิด เพราะแม่ตัวเองป่วยก็คงมีความเครียดในการดูแลพอสมควร ภรรยาคุณควรต้องพยายามเข้าใจท่านบ้าง แต่ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ ก็ไม่ต้องเจอกันบ่อย เป็นการลดแรงปะทะ ลดความบาดหมาง
คุณเป็นคนกลาง เหนื่อยหน่อยนะคะ สู้ๆ ค่ะ
ปล. ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่างที่บอก ถ้าต้องการแยกจริงๆ เราก็เสนอให้คุณออกไปอยู่กับลูกและภรรยาค่ะ
อยากให้มองหลายๆ มุมค่ะ มีหลายความเห็นที่บอกว่าให้แยกอยู่กับภรรยา แล้วค่อยมาเจอลูก... งั้นเราขอพูดในฐานะเด็กที่โตมาในสภาพนี้ ที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ไม่ได้หย่ากันนะคะ (ตั้งแต่ช่วงอนุบาล-ประถม ปัจจุบันเรา 30 กว่าแล้ว)
1. เด็กเข้าใจทางสมองแต่ไม่เข้าใจทางอารมณ์ค่ะ เราเข้าใจถึงความจำเป็นต่างๆบลาๆๆๆ ของพ่อ แต่เราไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อไม่เลือกเรา หรือจัดการอะไรเพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกัน? ทำไมพ่อถึงอยู่กับเราแค่ ศ - จ แล้ววันอื่นล่ะ?? เวลาเพื่อนถาม เราก็จะงงๆ บอกพ่อไม่อยู่ไปทำงานและมีความเหงาที่พยายามทำเข้มแข็งเพราะเราเป็นผู้ใหญ่พอ เราต้องเข้าใจพ่อสิ เรางอแงไม่ได้ (แต่ความจริงเราไม่อยากเข้าใจหรอก)
สุดท้ายโตมา.. เราติดแม่มากกว่าพ่อแบบช่วยไม่ได้ อะไรก็แม่ แม่จะมาก่อนพ่อเสมอ เลยไม่ค่อยสนิทกับพ่อไปโดยปริยาย อาจจะด้วยกว่าพ่อจะจัดการอะไรลงตัวเราก็โตพอแล้ว ขึ้นมัธยมแล้ว.... พ้นวัยที่ต้องการความอบอุ่นแล้ว เพราะมัธยมก็เริ่มไปโฟกัสที่เพื่อนและการเรียนแทน
2. ลองคุยกับแม่ดูค่ะ อย่างที่บอกถ้าแม่ไม่ไหวจริงๆ เป็นเรา เราจะเลือกให้คุณออกไปอยู่กับภรรยา แล้วมาหาท่านตอนเย็นบ้าง แล้วศุกร์ - อาทิตย์ ก็พาลูกมาอยู่กับย่า (แฟนคุณจะตามมาหรือไม่ก็สิทธิ์ของเขา ปล่อยเขาค่ะ)
3. รักษาน้ำใจพี่เลี้ยงเอาไว้ พี่เลี้ยงดีๆ สมัยนี้หายากมาก และเราก็ว่าพี่เลี้ยงของคุณทำหน้าที่ได้ดีมากแล้ว คุณบอกว่าแม่ถามพี่เลี้ยงตอน 10.20 ซึ่งความจริงก็ยังไม่ถึงช่วงเวลาทานยา 10.00-10.30 ด้วยซ้ำ คุณต้องบอกแม่ไปว่า ... งานนี้ท่านผิดนะคะ
4. อยากให้คุณอธิบายให้ภรรยาฟังใหม่ว่า แม่ใครใครก็รัก ภรรยาคุณรักแม่ตัวเอง คุณก็รักแม่คุณ ดังนั้นการที่แม่จะรักยายของคุณหรือว่าแม่เขาก็ไม่ผิด เพราะแม่ตัวเองป่วยก็คงมีความเครียดในการดูแลพอสมควร ภรรยาคุณควรต้องพยายามเข้าใจท่านบ้าง แต่ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ ก็ไม่ต้องเจอกันบ่อย เป็นการลดแรงปะทะ ลดความบาดหมาง
คุณเป็นคนกลาง เหนื่อยหน่อยนะคะ สู้ๆ ค่ะ
ปล. ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่างที่บอก ถ้าต้องการแยกจริงๆ เราก็เสนอให้คุณออกไปอยู่กับลูกและภรรยาค่ะ
ความคิดเห็นที่ 4
เมียคุณทำงานหรือเปล่าคะหรือเป็นแค่แม่บ้านแต่ยังต้องมีพี่เลี้ยงช่วยเลี้ยงลูกอีกจริงๆเเล้วในเนื้อเรื่องแม่คุณไม่ได้ให้เมียคุณไปช่วยดูแลคุณทวดหรือดูแลเค้าเลยนะคะ และแม่คุณก็ไม่เคยมาตอแยก่อกวนเมียคุณเลย
เมียคุณเค้าควรจะอยู่ส่วนของเค้านะ ดูแลลูกไปและทำหน้าที่ของเมีย และในส่วนของแม่คุณก็ให้คุณจัดการไปเองแต่ถ้ายามทุกข์ขนาดนี้ไม่คิดจะร่วมทุกข์คิดจะชิ่งแยกไปอยู่ก็ปล่อยเขาไปเถอะค่ะ จะได้เห็นนิสัยใจคอด้วย
ส่วนคุณคงทิ้งแม่และคุณทวดไม่ได้หรอกนะอย่าทิ้งเด็ดขาดหรือไม่ก็พูดให้เมียคุณรู้จักคำว่ากตัญญูสักหน่อยเพราะถ้าคุณไม่ทำให้ดีคุณเองก็มีลูกสองคนเค้าก็จะดูเป็นตัวอย่างสุดท้ายมันก็จะเป็นวงวงกรรมกันไปแบบนี้ก็ขอให้ค่อยค่อย คิดและหาทางออกได้
เมียคุณเค้าควรจะอยู่ส่วนของเค้านะ ดูแลลูกไปและทำหน้าที่ของเมีย และในส่วนของแม่คุณก็ให้คุณจัดการไปเองแต่ถ้ายามทุกข์ขนาดนี้ไม่คิดจะร่วมทุกข์คิดจะชิ่งแยกไปอยู่ก็ปล่อยเขาไปเถอะค่ะ จะได้เห็นนิสัยใจคอด้วย
ส่วนคุณคงทิ้งแม่และคุณทวดไม่ได้หรอกนะอย่าทิ้งเด็ดขาดหรือไม่ก็พูดให้เมียคุณรู้จักคำว่ากตัญญูสักหน่อยเพราะถ้าคุณไม่ทำให้ดีคุณเองก็มีลูกสองคนเค้าก็จะดูเป็นตัวอย่างสุดท้ายมันก็จะเป็นวงวงกรรมกันไปแบบนี้ก็ขอให้ค่อยค่อย คิดและหาทางออกได้
ความคิดเห็นที่ 168
ขออัพเดทสถานะการณล่าสุดนะครับ
หลังจากวันที่มาพิมพ์เล่าเรื่องราว คืนนั้นก็ได้คุยกับภรรยา
ผลออกมา คือ มีปากเสียงก็เบาๆ และ ต่างคนต่างอยู่
ตื่นเช้ามา ก็ทำหน้าทีของตัวเองกันปกติ
พี่เลี้ยงไปอาบน้ำเด็ก
ผมก็จัดกระเป๋าให้ลูกๆ
ภรรยาก็เตรียมเสื้อผ้าและการแต่งตัวให้เด็กๆ
แต่ก็ออกไปทำงาน ภรรยาก็บอกว่า
เด่วมันก็ผ่านไป (แอบมีกำลังใจขึ้นมา)
จากนั้นก็ต้องไปส่งเด็กๆกับคุณแม่
(ซึ่งต้องเป็นแบบนี้ทุกวัน และคิดว่า วันนี้จะโดนอะไรอีกหนอ? ทำใจรอ)
ก็เป็นไปตามคาด โดนไปนิดๆ
เป็นเรื่องราวที่คุณแม่ อยากให้ออกไปสร้างครอบครัวกับภรรยา
แล้วค่อยมาหาเดือนละครั้ง แล้วแกจะดูแลทวดเอง
จะไปซื้อตึกในเมืองจะไปหาซื้อข้าวทานได้ง่ายขึ้น
ผมจึงถามแกว่า
นี่คือสิ่งที่คุณแม่ต้องการใช่ไหมครับ ?
ถ้าคุณแม่ต้องการจริงๆ ผมจะทำ เพื่อให้ทุกคนในครอบครัวมีความสุข
เพราะวันนี้ ผมพยายามดึงทุกคนไว้ โดยคิดว่าครอบครัวสำคัญที่สุด
อยากให้ทุกคนได้อยู่ด้วยกัน แต่จริงๆแล้ว มันน่าจะเป็นความสุขของผมคนเดียวมากกว่า
คุณแม่ก็เงียบไปครับ ผมเลยพูดต่อไปว่า
ถ้าผมจะอยู่ช่วยคุณแม่ดูแลทวดและดูงาน จ-ศ และ ส-อ ขอไปอยู่กับภรรยา และ ครอบครัว แม่ว่ายังไงครับ
ท่านก็ตอบว่า
เอาแบบนั้นก็ได้
แล้วเราก็ไม่ได้คุยกันต่อ เพราะถึงหน้างานต้องดูช่างทำงาน
เวลาผ่านไประมาณ 1.30 ชม ก็เดินทางไปสั่งของต่อ
ในระหว่างทาง คุณแม่ก็บอกว่า หาพี่เลี้ยงใหม่ได้ไหม แม่เข้าใจนะว่าคนนี้ขยัน ทำงานดีกว่าคนที่ผ่านๆมา
แต่แม่ไม่มีความสุขเลยที่ต้องทนอยู่แบบนี้
(ผมเริ่มเข้าใจถึงปัญหา แล้วครับตอนนี้ เริ่มมองเห็นทางออก)
ผมก็เลยถามคุณแม่ว่า
ผมถามจริงๆ จากส่วนที่ลึกที่สุด ในความต้องการที่แท้จริง คุณแม่ต้องการอย่างไรครับ?
แม่ก็ตอบว่า
แม่ : ก็อยากให้พวกเธอไปมีครอบครัวเป็นของตัวเอง ยังไงพี่เลี้ยงคนนี้ก็ช่วยพวกเธอได้เยอะ
ผม : แล้วถ้าไม่มีพี้เลี้ยงละครับ คุณแม่ัยังต้องการแบบนี้อยู่ไหม เอาแบบจริงๆนะครั
แม่ : เป็นไปไม่ได้หรอ ยังไงพวกเธอก็ต้องมีพี่เลี้ยง
ผม : แล้วถ้าไม่มี ไล่คนนี้ออก ไม่หาคนใหม่ คุณแม่ ยังอยากให้ผม และ ภรรยา กับ หลานๆ ไปสร้างครอบครัวข้างนอกไหมครับ
แม่ : ใครจะอยากให้ไปละ หลานกำลังซน น่ารัก (ลูกผม 3 ขวด กว่า 1.5 ขวบ)
สรุปที่ผมอ่านแม่ได้คือ ไม่อยากให้ไปไหน อยากให้อยู่ด้วยกัน แต่ขอพี่เลี้ยงใหม่
แต่ปัญหาอยู่ที่ พี่เลี้ยงคนนี้ มีความดี และ มีความแก่
ซึ่งผมก็เคยถามแกว่า
ยายๆๆ ถ้ายายออกจากที่นี่ยายจะไปทำงานที่ไหน
แกก็บอกว่า คงกลับไปขุดหอย หาปลากิน แล้วคงเอาไปขายเลี้ยงลูกแหละเฮีย
(ลืมบอกว่า ยายแกมีลูก 3 คน คนเล็ก ตาบอด โดนนกจิกตา ไม่ได้เรียนหนังสือ ทำนาเลี้ยงวัวอยู่บ้าน
แกเล่าให้ฟังว่า ไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่รับ)
จบเรื่องคุณแม่
กลับมาถึงบ้าน เลยนั่งปรึกษากันกับภรรยา ภรรยาเลยเล่าว่าได้คุยกับพี่เลี้ยงเหมือนกัน
ได้ถามว่า อยากออกไหม
พี้เลี้ยงบอก ไม่อยากออก ออกไปก็ไม่รู้ที่ไหนจะรับ กว่าจะได้งาน รอ บริษัท ติดต่อมา ก็ 3 เดือน
ด้วยความสงสาร และ +กับที่แกเป็นคนขยัน และ มีความประสงค์อยากอยู่ต่อ
เราจึงไปปรึกษากัน และ ได้ขอสรุปคือ
แผน 1
ให้ภรรยาเข้าไปปูทางเรื่อง ความผิดที่พี้เลี้ยงทำ จะการละเลยทวด และ เรา สามี ภรรยา จะรับปากว่า เหตุการแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก
แล้วจึงให้พี้เลี้ยงเข้าไปขอโทษ
แต่ถ้าแผน 1 ล้มเหลว ให้ไปที่แผน 2
คือ แยกกันอยู่ซักพักรอดูทีท่าไปก่อน ค่อยกลับมา
แต่แย่สุดคือ แผน 3 ไล่พี่เลี้ยงออก แล้วเราอยู่ที่เดิม
เมื่อ ผม ภรรยา แล้ พี่เลี้ยง ได้คุยก็ก็ได้ขอสรุปตามนั้น
จึงเลือกวันที่คุณแม่น่าจะอารมณ์ดีที่สุด นั้นคือ วันหลังจากที่ท่านได้ออกไปพบปะเพื่อนสมัยเรียน
น่าจะกลับมาด้วยอารมณ์ที่ไม่เคลียด และ น่าจะคุยง่ายขึ้น และ ถือเป็นข้อสรุป
แต่เหตุการที่วางไว้ไม่เป็นตามแผน มันจึงเกิดแผน 4 ขึ้นมาในเย็นวันนั้น แบบผม และ ภรรยา ไม่ทันตั้งตัว
ซึ่งก่อนหน้าที่จะเกิดแผน 4 ขึ้น ผมออกไปซื้อกับข้าวตามปกติ ส่วนภรรยาก็ดูลูกคนโต และ พี่เลี้ยงดูลูกคนเล็ก
กลับมาถึงบ้าน เดินถือกับข้าวเข้ามา เห็นพี่เลี้ยงยืนน้ำตาไหลอยู่ที่โต๊ะทานข้าว
คิดในใจว่า .... สงสัย ระเบิดมาลงในบ้านตอนเราไม่อยู่แน่
เพราะคุณแม่ก็อยากให้เปลี่ยนพี่เลี้ยงเป็นทุนอยู่แล้ว
ระหว่างนั้นภรรยาเดินออกมาจากห้องน้ำ หลังจากอาบน้ำให้ลูกเสร็จ เห็นพี่เลี้ยงยืนน้ำตาไหลก็ตกใจ
เลยถามพี่เลี้ยงไปว่า .... ยายๆๆๆ เธอเป็นอะไร ทำไมร้องไห้?
พี่เลี้ยงเลยเล่าให้ฟังว่า
ในระหว่างเดินเล่นเลี้ยงน้องคนเล็กอยู่ ก็วิ่งไปๆมาๆรอบๆบ้าน
จนกระทั่งวิ่งเข้าไปในบ้านคุณแม่
ซึ่งเป็นเวลาที่ คุณแม่ และ คุณทวด กำลังทานข้าวพอดี
โดยที่คุณแม่ท่านสั่งห้ามพี้เลี้ยงเข้ามาบ้านท่านอีก
พี่เลี้ยงก็เลย ตัดสินใจ .... บุกเข้าไปในบ้านคุณแม่
แล้วขอโทษคุณแม่ พร้อมบอกความในใจเหตุผลที่ไม่อยากลาออก
ผมกับภรรยาก็เลยถามต่อไป ว่าแล้วไงต่อ
แกพูดไปก็น้ำตาไหลไป .... แกบอกว่า
คุณแม่ให้อภัย และ ให้แกได้ทำหน้าที่ของแกตามปกติ
(ยังสะอื้นอยู่)
ก็ดีแล้วนี่ แล้วยายจะร้องไห้ทำไม ฉันนึกว่ายายโดนระเบิด
ภรรยาผมพูด
ยายบอกว่า ดีใจ แล้ คุณแม่ก็ให้กุญแจห้องให้แกเป็นห้องส่วนตัวด้วย 1 หลัง
ไว้อาบน้ำ พักผ่อน (แอบคิด คุณแม่เรานี่ก็แอบใจดีอยู่นะนี่ 555)
ความตรึงเครียดทั้งหมดก็สิ้นสุดลง
วันนี้ ทุกคนในบ้านกลับมายิ้มและหัวเราะได้ อาจจะยังไม่ 100%
แต่อีกไม่นานผมเชื่อว่า จะมาขึ้นกว่าเดิม เพราะ ผมเริ่มเข้าใจคำว่า ครอบครัวมากขึ้น
ขอบคุณสำหรับทุกๆกำลัง และ ทุกๆความคิดเห็นด้วยนะครับ
ขอบคุณครับ
หลังจากวันที่มาพิมพ์เล่าเรื่องราว คืนนั้นก็ได้คุยกับภรรยา
ผลออกมา คือ มีปากเสียงก็เบาๆ และ ต่างคนต่างอยู่
ตื่นเช้ามา ก็ทำหน้าทีของตัวเองกันปกติ
พี่เลี้ยงไปอาบน้ำเด็ก
ผมก็จัดกระเป๋าให้ลูกๆ
ภรรยาก็เตรียมเสื้อผ้าและการแต่งตัวให้เด็กๆ
แต่ก็ออกไปทำงาน ภรรยาก็บอกว่า
เด่วมันก็ผ่านไป (แอบมีกำลังใจขึ้นมา)
จากนั้นก็ต้องไปส่งเด็กๆกับคุณแม่
(ซึ่งต้องเป็นแบบนี้ทุกวัน และคิดว่า วันนี้จะโดนอะไรอีกหนอ? ทำใจรอ)
ก็เป็นไปตามคาด โดนไปนิดๆ
เป็นเรื่องราวที่คุณแม่ อยากให้ออกไปสร้างครอบครัวกับภรรยา
แล้วค่อยมาหาเดือนละครั้ง แล้วแกจะดูแลทวดเอง
จะไปซื้อตึกในเมืองจะไปหาซื้อข้าวทานได้ง่ายขึ้น
ผมจึงถามแกว่า
นี่คือสิ่งที่คุณแม่ต้องการใช่ไหมครับ ?
ถ้าคุณแม่ต้องการจริงๆ ผมจะทำ เพื่อให้ทุกคนในครอบครัวมีความสุข
เพราะวันนี้ ผมพยายามดึงทุกคนไว้ โดยคิดว่าครอบครัวสำคัญที่สุด
อยากให้ทุกคนได้อยู่ด้วยกัน แต่จริงๆแล้ว มันน่าจะเป็นความสุขของผมคนเดียวมากกว่า
คุณแม่ก็เงียบไปครับ ผมเลยพูดต่อไปว่า
ถ้าผมจะอยู่ช่วยคุณแม่ดูแลทวดและดูงาน จ-ศ และ ส-อ ขอไปอยู่กับภรรยา และ ครอบครัว แม่ว่ายังไงครับ
ท่านก็ตอบว่า
เอาแบบนั้นก็ได้
แล้วเราก็ไม่ได้คุยกันต่อ เพราะถึงหน้างานต้องดูช่างทำงาน
เวลาผ่านไประมาณ 1.30 ชม ก็เดินทางไปสั่งของต่อ
ในระหว่างทาง คุณแม่ก็บอกว่า หาพี่เลี้ยงใหม่ได้ไหม แม่เข้าใจนะว่าคนนี้ขยัน ทำงานดีกว่าคนที่ผ่านๆมา
แต่แม่ไม่มีความสุขเลยที่ต้องทนอยู่แบบนี้
(ผมเริ่มเข้าใจถึงปัญหา แล้วครับตอนนี้ เริ่มมองเห็นทางออก)
ผมก็เลยถามคุณแม่ว่า
ผมถามจริงๆ จากส่วนที่ลึกที่สุด ในความต้องการที่แท้จริง คุณแม่ต้องการอย่างไรครับ?
แม่ก็ตอบว่า
แม่ : ก็อยากให้พวกเธอไปมีครอบครัวเป็นของตัวเอง ยังไงพี่เลี้ยงคนนี้ก็ช่วยพวกเธอได้เยอะ
ผม : แล้วถ้าไม่มีพี้เลี้ยงละครับ คุณแม่ัยังต้องการแบบนี้อยู่ไหม เอาแบบจริงๆนะครั
แม่ : เป็นไปไม่ได้หรอ ยังไงพวกเธอก็ต้องมีพี่เลี้ยง
ผม : แล้วถ้าไม่มี ไล่คนนี้ออก ไม่หาคนใหม่ คุณแม่ ยังอยากให้ผม และ ภรรยา กับ หลานๆ ไปสร้างครอบครัวข้างนอกไหมครับ
แม่ : ใครจะอยากให้ไปละ หลานกำลังซน น่ารัก (ลูกผม 3 ขวด กว่า 1.5 ขวบ)
สรุปที่ผมอ่านแม่ได้คือ ไม่อยากให้ไปไหน อยากให้อยู่ด้วยกัน แต่ขอพี่เลี้ยงใหม่
แต่ปัญหาอยู่ที่ พี่เลี้ยงคนนี้ มีความดี และ มีความแก่
ซึ่งผมก็เคยถามแกว่า
ยายๆๆ ถ้ายายออกจากที่นี่ยายจะไปทำงานที่ไหน
แกก็บอกว่า คงกลับไปขุดหอย หาปลากิน แล้วคงเอาไปขายเลี้ยงลูกแหละเฮีย
(ลืมบอกว่า ยายแกมีลูก 3 คน คนเล็ก ตาบอด โดนนกจิกตา ไม่ได้เรียนหนังสือ ทำนาเลี้ยงวัวอยู่บ้าน
แกเล่าให้ฟังว่า ไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่รับ)
จบเรื่องคุณแม่
กลับมาถึงบ้าน เลยนั่งปรึกษากันกับภรรยา ภรรยาเลยเล่าว่าได้คุยกับพี่เลี้ยงเหมือนกัน
ได้ถามว่า อยากออกไหม
พี้เลี้ยงบอก ไม่อยากออก ออกไปก็ไม่รู้ที่ไหนจะรับ กว่าจะได้งาน รอ บริษัท ติดต่อมา ก็ 3 เดือน
ด้วยความสงสาร และ +กับที่แกเป็นคนขยัน และ มีความประสงค์อยากอยู่ต่อ
เราจึงไปปรึกษากัน และ ได้ขอสรุปคือ
แผน 1
ให้ภรรยาเข้าไปปูทางเรื่อง ความผิดที่พี้เลี้ยงทำ จะการละเลยทวด และ เรา สามี ภรรยา จะรับปากว่า เหตุการแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก
แล้วจึงให้พี้เลี้ยงเข้าไปขอโทษ
แต่ถ้าแผน 1 ล้มเหลว ให้ไปที่แผน 2
คือ แยกกันอยู่ซักพักรอดูทีท่าไปก่อน ค่อยกลับมา
แต่แย่สุดคือ แผน 3 ไล่พี่เลี้ยงออก แล้วเราอยู่ที่เดิม
เมื่อ ผม ภรรยา แล้ พี่เลี้ยง ได้คุยก็ก็ได้ขอสรุปตามนั้น
จึงเลือกวันที่คุณแม่น่าจะอารมณ์ดีที่สุด นั้นคือ วันหลังจากที่ท่านได้ออกไปพบปะเพื่อนสมัยเรียน
น่าจะกลับมาด้วยอารมณ์ที่ไม่เคลียด และ น่าจะคุยง่ายขึ้น และ ถือเป็นข้อสรุป
แต่เหตุการที่วางไว้ไม่เป็นตามแผน มันจึงเกิดแผน 4 ขึ้นมาในเย็นวันนั้น แบบผม และ ภรรยา ไม่ทันตั้งตัว
ซึ่งก่อนหน้าที่จะเกิดแผน 4 ขึ้น ผมออกไปซื้อกับข้าวตามปกติ ส่วนภรรยาก็ดูลูกคนโต และ พี่เลี้ยงดูลูกคนเล็ก
กลับมาถึงบ้าน เดินถือกับข้าวเข้ามา เห็นพี่เลี้ยงยืนน้ำตาไหลอยู่ที่โต๊ะทานข้าว
คิดในใจว่า .... สงสัย ระเบิดมาลงในบ้านตอนเราไม่อยู่แน่
เพราะคุณแม่ก็อยากให้เปลี่ยนพี่เลี้ยงเป็นทุนอยู่แล้ว
ระหว่างนั้นภรรยาเดินออกมาจากห้องน้ำ หลังจากอาบน้ำให้ลูกเสร็จ เห็นพี่เลี้ยงยืนน้ำตาไหลก็ตกใจ
เลยถามพี่เลี้ยงไปว่า .... ยายๆๆๆ เธอเป็นอะไร ทำไมร้องไห้?
พี่เลี้ยงเลยเล่าให้ฟังว่า
ในระหว่างเดินเล่นเลี้ยงน้องคนเล็กอยู่ ก็วิ่งไปๆมาๆรอบๆบ้าน
จนกระทั่งวิ่งเข้าไปในบ้านคุณแม่
ซึ่งเป็นเวลาที่ คุณแม่ และ คุณทวด กำลังทานข้าวพอดี
โดยที่คุณแม่ท่านสั่งห้ามพี้เลี้ยงเข้ามาบ้านท่านอีก
พี่เลี้ยงก็เลย ตัดสินใจ .... บุกเข้าไปในบ้านคุณแม่
แล้วขอโทษคุณแม่ พร้อมบอกความในใจเหตุผลที่ไม่อยากลาออก
ผมกับภรรยาก็เลยถามต่อไป ว่าแล้วไงต่อ
แกพูดไปก็น้ำตาไหลไป .... แกบอกว่า
คุณแม่ให้อภัย และ ให้แกได้ทำหน้าที่ของแกตามปกติ
(ยังสะอื้นอยู่)
ก็ดีแล้วนี่ แล้วยายจะร้องไห้ทำไม ฉันนึกว่ายายโดนระเบิด
ภรรยาผมพูด
ยายบอกว่า ดีใจ แล้ คุณแม่ก็ให้กุญแจห้องให้แกเป็นห้องส่วนตัวด้วย 1 หลัง
ไว้อาบน้ำ พักผ่อน (แอบคิด คุณแม่เรานี่ก็แอบใจดีอยู่นะนี่ 555)
ความตรึงเครียดทั้งหมดก็สิ้นสุดลง
วันนี้ ทุกคนในบ้านกลับมายิ้มและหัวเราะได้ อาจจะยังไม่ 100%
แต่อีกไม่นานผมเชื่อว่า จะมาขึ้นกว่าเดิม เพราะ ผมเริ่มเข้าใจคำว่า ครอบครัวมากขึ้น
ขอบคุณสำหรับทุกๆกำลัง และ ทุกๆความคิดเห็นด้วยนะครับ
ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น
เขียนจากเรื่องจริง ถ้าปัญหาครอบครัวนี้ เกิดขึ้นกับคุณ คุณจะทำอย่างไร? (บอกผมที...ผมเครียดมาก)
ผมมีเรื่องจะปรึกษา ทั้งคนที่มีสถานะเป็น
เป็น คุณพ่อ
เป็น สามี
และ... เป็นลูก
ว่าถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น คุณจะมีทางออก หรือ แก้ไขมันอย่างไร
เรื่องนี้เขียนจากเรื่องจริงของผมจริงๆ อยาจจะยาวหน่อยนะครับ แต่ผมไม่รู้จะพูดกับใครแล้ว
เรื่องราวเป้นแบบนี้ครับ
ปัจจุบันผมอายุ 39 ปี มีลูก 2 คน
ผมเป้นคนที่ ไม่ชอบดื่มเหล้าเบียร์ ไม่สูบบุหรี ไม่เที่ยวกลางคืน
ผมชอบใช้เวลาอยู่กับครอบครัวเป็นเวลานานๆ
ชอบเที่ยว ตจว กับลูกๆ
แต่ย้อยกลับขึ้นไป ผมเป็นลูกชายคนเดียว ที่มีคุณแม่อายุ 65 ปี และ คุณยาย อายุ 84 ปี
คุณยายผมป่วยเป็นอัมพาตมา 2 ปีกว่าได้แล้ว โดยที่ผม และ ภรรยา อาศัยอยู่ บ้านบนพื้นที่เดียวกัน แต่คนละหลังกับคุณแม่
และ เรื่องราวก็เกิดมาจากตรงนี้ละครับ
พักหลังมานี้ คุณแม่ของผมหงุดหงิดง่ายขึ้นมาก เพราะเหนื่อยจากการดูแลคุณยาย
ผมหาคนดูแลมาหัย ท่านก็ไม่เอา ไม่ไว้ใจใคร นอกจากลูก(ตัวผม) และ ท่านเอง
จนกระทั้ง ผมและภรรยา ได้จ้างพี่เลี้ยงเด็ก (อายุ 64 ปี) มาเพื่อเราจะได้ลดภาระลง
โดยที่ทุกวันตอนเช้าหลังจากไปส่งเด็กๆที่ รร แล้ว ผมก็จะต้องพาคุณแม่ไปดูงานก่อสร้างด้วยทุกวัน
คุณแม่ก็มักจะพึ่งพาให้พี่เลี้ยงเอาน้ำให้คุณยายกน ในช่วงเวลา 10.00-10.30 ทุกวัน
ซึ่งพี่เลี้ยงก็ทำไม่ได้เคยบกพร่อง และยังเช็ดก้น และเปลี่ยนแพ็มเพทให้ในกรณี คุงยายถ่ายอีกด้วย ในขณะที่ผม และคุณแม่ไม่อยู่
2 เดือนผ่านไป เหตุการที่ทำให้ครอบครัวมีปัญหาก็เกิดขึ้นครับ
วันนั้นเป็นวันเสาร์ ผม ภรรยา และลูกๆ จะเดินทางไป ตจว ด้วยก็ เลยให้พี่เลี้ยงเก็บของทั้งหมด
และมันกลายเป็นจังหวะที่ผมและคุณแม่กลับมาถึงบ้านพอดี ตอนนี้เวลา 10.20 น
คุณแม่ก็เลยถามพี่เลี้ยงว่า เอาน้ำให้ทวดทานหรือยัง
พี่เลี้ยงก็ตอบกลับมาว่า ยังไม่มีเวลาเลย (ซึ่งถามภายหลังพี่เลี้ยงบอก ไม่ได้พูด แต่คุณแม่บอก ฉันได้ยิน)
ปัญหาเกิดเลยครับ
คุณแม่เริ่มโมโห และ ด่าพี่เลี้ยง แล้วไล่พี่เลี้ยงออกจากบ้าน แล้วไม่ให้มายุ่งกับท่านอีก
จากนั้นผ่านไป 2 วัน คุณแม่ก็เรียนผมเข้าไปหา แล้วถามผมว่า
จะเอายังไง จะให้มันอยู่ หรือ จะให้กูไป
ผมก็บอกให้คุยกันใจเย็นๆ
แล้วก็เลยพาพี่เลี้ยงมาขอโทษคุณแม่ พี่เลี้ยงก็ร้องไห้ ยกมือไหว้ขอโทษ
เรื่องเหมือนจะจบครับ แต่มันกลายเป็นว่า ความเครียดส่งมาในบ้านหลังน้อย
ภรรยาเริ่มไม่พอใจพฤติกรรมของคุณแม่ที่ด่าพี่เลี้ยง และ เริ่มอยากให้วางแผนออกไปสร้างครอบครัวกันเอง
(เรามีบ้านอีกหนึ่งหลัง เป็นบ้านพักตากอากาศ ด้วยครับ ภรรยาเลยชวนให้ไปอยู่ที่นั้น)
ผมบอกไม่สามารถไปได้ เพราะถ้าผมไป ใครจะดูแลคุณแม่วัย 65 และ ทวดที่เป็นอัมพาต
ผมเลยไปนำเสนอเรื่องนี้ ว่าผมจะจ้างพี่เลี้ยงมาอาบน้ำให้คุณทวด แม่ก็ไม่เอา แถมยังไล่ให้ไปอยู่กลับเมียซะด้วยซ้ำ
เมียก็ไม่อยากอยู่ แม่ก็โมโหพี่เลี้ยง ลูกก็กำลังเล็ก (3 ขวบ กับ 1.5 ขวบ)
เมียบ่นเรื่องแม่ ก็ต้องเก็บ
แม่บ่นเรื่องพี่เลี้ยง เรื่องงานก็ต้องเก็บ
พี่เลี้ยงก็ไล่ออกไม่ได้ เพราะแกก็เลี้ยงเด็กและทำงานบ้านได้ดีมากๆ
ผมปวดหัวทุกวัน เครียดมากครับ
เมียก็บอกให้แยกกันอยู่ แต่ไม่ได้เลิกกัน คิดถึงลูกก็ค่อยมาหา
ผมควรทำอย่างไรดีครับ
คุณก็บแม่ แกก็ไล่
คุยกับภรรยา ก็หน้าบูด ทะเลาะกัน
จะหนีไปคนเดียว ก็เป็นการหนีปัญหา ทิ้งทวด ทิ้งแม่ ทิ้งภรรยา ทิ้งลูก ผมทำไม่ได้
ผมต้องทนอยู่แบบนี้ไปอีกนานๆ ผมต้องปวดหัวทุกวันแน่ๆ
ถ้าเป็นเพื่อนๆ คิดว่า จะแก้ไขมันอย่างไรให้ดีที่สุดครับ
ขอบคุณ สำหรับคำตอบ และ อ่านเรื่องราวทั้งหมด
ขอบคุณครับ