ขอท้าวความก่อนเริ่มเรื่องสักเล็กน้อยนะคะ คือ จริงๆแล้วทริปที่ผ่านมามันเกิดมาจากความรู้สึกที่ อยากนั่งรถไฟคนเดียวไปไหนสักแห่ง เท่านั้นเลยจริงๆ คือเราไม่เคยนั่งรถไฟคนเดียวเลย แต่มีความรู้สึกที่คิดไปเองว่ามันน่าจะมีอาการลมพัดตีหน้า หัวฟู ฟินดีงี้ และความคิดแรกที่อยู่ในหัวก็นึกถึงจังหวัดกาญจนบุรี เพราะคิดว่าน่าจะเที่ยวง่ายและสะดวกดี แต่ยังไม่ได้คิดอะไรเป็นเรื่องเป็นราวเท่าไหร่ ก็เลยคิดว่าไปที่หัวลำโพงเลยดีกว่าเผื่อจะมีไอเดียเพิ่มเติม เท่านั้นแหละ พอถึงที่หัวลำโพงและมองเห็นป้ายตารางและเห็นคำว่า Butterworth และก็นึกอะไรไม่รู้ ไปต่อแถวช่องซื้อตั๋ว แล้วถามพี่เจ้าหน้าที่ว่า
ฝน: พี่คะ ไป Butterworth นี่ ไปที่ไหนอะคะ?
พี่ พนง: ไปมาเลย์ อะคะ สามารถข้ามไปปีนังได้
ฝน: มีตั๋วไหมคะ? (ถามทำไม คือ จะไปกาญ ไม่ใช่หร๋า)
พี่ พนง: ไม่มีคะ แต่มีรถไฟไปสุดที่ หาดใหญ่ คะ แล้วน้องต้องต่อไปเอง
พี่ พนง: ไปไหมคะ ถ้าไปมีตั๋วมะรืนนี้ เอาไหมๆ
ฝน:....... (ในหัว ว่างเปล่า สีขาวโพลน)
พี่ พนง: น้องจะไปไหมคะ?
ฝน: ไปค่ะ (หือออออ.....)
ออกมาจากแถวแบบงงๆพร้อมตั๋ว 1 ใบ เออ...... เอ๋า ไปก็ไป และแล้วทริปนั่งรถไฟลุยเดี่ยวไปปีนัง ก็ได้เริ่มขึ้น
ตอนแรกคิดว่า ไปปีนังคงใช้เวลาสัก 4 วันคงกลับแหละ เลยไม่ได้เตรียมอะไรไปมากเลย ขนาดกล้องยังไม่ได้เอาไปเลย ดังนั้น รูปทั้งหมดของรีวิวนี้ เป็นรูปจากกล้อง iPhone ล้วนๆนะคะ แต่ก็บอกก่อนเลยนะ -- ว่าทริปนี้เป็นแบบ backpack จริงๆ เพราะฝนไม่มีแพลนอะไรในหัวเลย ว่าจะไปไหน นอนที่ไหน ทำอะไร และคือไม่ได้จองอะไรล่วงหน้าเลย ดังนั้นทริปนี้ ด้นสดๆตั้งแต่ต้นจนจบ แต่รับรองความมันส์พร้อมความคะนองกันได้เลย
---------------------------------------
วันออกเดินทาง: เราเดินทางมาที่หัวลำโพง มีความรู้สึกที่ตื่นเต้นทุกครั้งสำหรับทุกทริป เพราะเราไม่รู้เลยว่าทริปนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่เราพร้อมคะนองกันแล้วแหละนะ ไม่รอช้าออกลุยกันเลย!!!!!
ครั้งแรกที่ได้เห็นรถไฟที่จะขึ้น แบบเห้ยๆ....มันดูดีเลยนิ เพิ่งรู้ว่าเป็น รถไฟใหม่นี่เอง!!! ข้างในตัวรถไฟสะอาด ห้องน้ำถือว่าดีเลย ที่เจ๋งที่สุดคือมี จอ บอกว่าตอนนี้ถึงไหน จะถึงที่หมายประมาณกี่โมงโดยการคาดการณ์จากเวลาการเดินทางจริงๆ เราออกจากหัวลำโพงตอนเวลา 14:45 น. [ออกตรงเวลาเป๊ะๆ]
ออกมาจากหัวลำโพงจนมาหยุดที่สถานีที่ไหนสักแห่ง และคนที่นั่งคู่กะฝนก็ขึ้นมา เป็นพี่สาวดูท่าทางใจดี เราก็เลยลองคุยและถามข้อมูลจากพี่เค้า เผื่อว่าจะได้ลู่ทางในการเดินทางของเราต่อ บอกเลยว่าพี่เค้าน่ารักมาก ถึงเราจะไม่รู้จักกัน แต่พี่เค้าก็แบ่งปันข้อมูลให้ ถึงขนาดโทรหาญาติเพื่อเช็คตารางรถให้เราเลยทีเดียว [[ แต่เพราะพี่เค้ากลางดึกก่อนฝนที่ไหนสักสถานี เลยไม่มีโอกาสได้ขอบคุณเลย อยากขอบคุณพี่มากๆเลยนะคะ ]] ข้อมูลที่ได้มาถือว่าเป็นประโยชน์สุดๆ เราก็เลยได้รู้ว่าถ้าจะไปปีนังจากสถานีหาดใหญ่มี 2 ทางเลือกคือ รถไฟนั่งต่อ หรือ ไปนั่งรถทัวร์ในเมืองเพื่อไปปีนัง เราจะรู้วันรุ่งขึ้นแหละว่า เราจะได้ใช้วิธีไหนเพื่อเดินทางต่อกันดี
ปล. ตอนรถไฟหยุดที่สถานีราชบุรี มีก๋วยเตี๋ยวกล่องๆขาย กล่องละ 10 บาท อร่อยมากกกกกกกกก 2 กล่องอยู่ได้ทั้งคืนเลย
ระหว่างนั่งคุยกะพี่สาวคนนั้น เวลาประมาณ 18.00 น. พี่เจ้าหน้าที่รถไฟก็มาปรับจากที่นั่งเป็นเตียงนอน แต่พอปรับเป็นเตียงนอน ทุกคนเลยแยกย้าย อยู่เตียงใครเตียงมัน งืมมมม.....ฝนเลยตัดสินใจไปนั่งเล่นที่ตู้รถไฟต่อ
พอมานั่งที่ตู้รถไฟ นั่งไปนั่งมา หันไปหันมา ก็เจอ 2 สาว Jucha (สาวโปแลนด์) กับ Beatriz (สาวโปรตุเกส) เท่านั้นแหละ บทสนทนาก็เริ่มต้นแบบคุยกันยาวๆ
คร่าวๆคือ 2 สาวนี้เดินทางมาประมาณ 3-4 เดือนแล้ว เดือนทางย้ายเมืองไปแต่ละประเทศเพื่อหางานทำ ทำงานเสร็จก็ย้ายประเทศไปเรื่อยๆ และที่หมายต่อไปของ 2 สาว ตอนแรกก็บอกว่าจะไปอยู่ที่ใต้สักเมืองของประเทศไทย คุยไปคุยมา พอเราบอกว่าจะไปปีนัง แล้ว 2 สาวก็คุยกันก็เลยตัดสินใจไปกัวลาล้มเปอร์ซะงั้น นี่แหละน๊าา เสน่ห์ของ backpacker เอาๆ พรุ่งนี้จะเป็นยังไง เราค่อยว่าแต่ที่แน่ๆ ตู้เสบียงรถไฟขบวนนี้จะหนาวไปไหนครัช!!!!!!!!
: : อีกเสน่ห์ของการเดินทาง คือ ระหว่างทางมักจะเจอมิตรภาพดีๆแบบไม่คาดฝันเสมอ : :
ตอนเช้ามืดของวันรุ่งขึ้น ฝนตื่นมาเพราะเสียงฝนตก
และพอมองลงมาข้างล่าง พี่สาวที่นั่งคู่กับฝนก็ลงจากขบวนไปซะแล้ว เช้ามืดวันนั้นฝนตกปอยๆ นั่งรถไฟยาวๆจนเวลาประมาณเกือบ 7 โมง เราก็มาถึงสถานีแรกกันแล้ว สถานีชุมทางหาดใหญ่
ระหว่างที่ต่อแถวจะถามดูว่ายังมีรถไฟไปปีนังไหม ฝนก็เจอกับ 2 สาวอีกครั้ง เราทั้ง 3 คนเลยตัดสินใจเดินทางไปพร้อมๆกัน สรุปว่า เรา 3 คน ต้องนั่งรถไฟต่อไปสถานีปาดังเปซาร์ จังหวัดสงขลา และถือเป็นสถานี border หรือ ด่าน ตม. ก่อนที่เราจะนั่งต่อเข้าประเทศมาเลเซียนั่นเอง
จากสถานีชุมทางหาดใหญ่มาสถานีปาดังเปซาร์ ใช้เวลาประมาณ 50 นาทีเอง เป้นรถไฟที่เชื่อมจากเมืองใหญ่ไปอีกเมือง ยกให้เป็นสายที่ชิวระดับนึงเลย อาจเป็นเพราะบรรยากาศในตัวรถไฟเอง วิวเอย หรือ แม้กระทั่งคนที่ร่วมนั่งรถไฟมาด้วยกัน
สถานีปาดังเบซาร์ - เราลงมาที่สถานีนี้แบบ เออ.....อะไรนะ [ความรู้สึกนี้เลย] เพราะที่นี่เป้นตึกที่มี 2 ชั้น ชั้นแรกที่เชื่อมต่อกับรถไฟ คือ ด่าน ตม. ทั้งหมด มาถึงปุ๊ป เข้าด่านตรวจเพื่อออกนอกประเทศ และ ข้ามมาอีกฝั่งของห้องเพื่อเข้าประเทศมาเลเซีย เดี๋ยวๆ ......เสร็จแล้ว! แบบนี้ก็เร็วดีนะ พอเราตรวจเอกสารเรียบร้อยก็ขึ้นชั้น 2 เพื่อซื้อตั๋วเลยคะ
ฝนจองตั๋วไปสถานี Butterworth ซึ่งเอาตรงๆว่าตอนนั้น อยากรู้มากว่า Butterworth คืออะไรกันแน่!! ชื่อเมือง? ชื่อสถานี? ชื่อรถไฟ? ชื่อรถทัวร์? เพราะเราถามไป ทุกคนก็บอกว่าไป Butterworth เอาๆ ไป Butterworth ก็ไป Butterworth หุ่ยย.... แต่ที่เป็นจุดเปลี่ยนคือ 2 สาวนั้น ก็สรุปไปปีนังกะฝนด้วยซะงั้น ดีเลย อยู่ดีๆก็มีเพื่อนเดินทางยาวๆ
ออกจากสถานีปาดังเปซาร์ไป Butterworth นั่งก็ต่ออีกยาวๆ รถไฟขบวนนี้ให้อารมณ์เหมือนรถไฟ BTS บ้านเรา แต่ออกว่าเหมือนใช้งานหนักกว่ามากหน่อยและวิ่งบนรางเท่านั้น ในระหว่างทาง Jucha เกิดปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ เลยลงกลางทางและบอกว่าจะไปเจอเรา 2 คนที่ปีนังเลย เอ๊าาาซะงั้นอะ แบบนี้ก็ได้หรอ 55555 เอาๆ ฝนและ Beatriz ก็เดินทางต่อมาจนถึง Butterworth
ในที่สุด เราก็ได้รู้จักกันซะทีนะ Butterworth
พอมาถึงที่เราก็ถึงบางอ้อทีนที อ๋อออออ....ที่นี่คือชื่อสถานี Butterworth ที่มีทั้งรถไฟและเหมือน บขส. อยู่ข้างๆกัน หลังจากที่ลงมาจากรถไฟ เราก็เดินไปท่าเรือ ferry เพื่อข้ามไปปีนัง (คนละ 1.20 rm)
ปล. ตู้ดำๆก่อนทางขึ้นเรือ ferry คือตู้แลกเหรียญนะ ไม่ใช่ช่องซื้อตั๋ว
ในที่สุดเราก็มาถึงแหละค้าฟฟฟฟฟ ปีนัง สรุปว่าหลังจากเริ่มเดินทางจาก กทม ด้วยรถไฟจนมาถึงที่สถานี Butterworth ซึ่งเราต้องต่อรถไฟทั้งหมด 3 ขบวน เป็นเวลารวมๆ 22 ชั่วโมง หลังจากนั้นต้องขึ้นเรือเฟอร์รี่ข้ามฝาก และเดินเท้ารวมๆอีก 1 โลกว่าๆ ข้าพเจ้าได้ถึงที่พักสำหรับคืนนี้เป็นที่เรียบร้อยแหละค้าฟ
พอมาถึงปีนัง เราก็เดินหาที่พักคืนนี้กันต่อเลย และคืนนี้เรานอนที่นี่กันคะ Kim Haus Penang มันก็จะดูเท่ห์ๆหน่อยแหละนะ
โอเคแยกย้าย เก็บของ คืนนี้พร้อมลุยกันต่อ !!!
[CR] เปิดโปรเจ็ค นั่งรถไฟลุยเดี่ยวไปปีนัง!!!!! [ตอนแรกมันก็เป็นแบบนั้นแหละนะ]
ขอท้าวความก่อนเริ่มเรื่องสักเล็กน้อยนะคะ คือ จริงๆแล้วทริปที่ผ่านมามันเกิดมาจากความรู้สึกที่ อยากนั่งรถไฟคนเดียวไปไหนสักแห่ง เท่านั้นเลยจริงๆ คือเราไม่เคยนั่งรถไฟคนเดียวเลย แต่มีความรู้สึกที่คิดไปเองว่ามันน่าจะมีอาการลมพัดตีหน้า หัวฟู ฟินดีงี้ และความคิดแรกที่อยู่ในหัวก็นึกถึงจังหวัดกาญจนบุรี เพราะคิดว่าน่าจะเที่ยวง่ายและสะดวกดี แต่ยังไม่ได้คิดอะไรเป็นเรื่องเป็นราวเท่าไหร่ ก็เลยคิดว่าไปที่หัวลำโพงเลยดีกว่าเผื่อจะมีไอเดียเพิ่มเติม เท่านั้นแหละ พอถึงที่หัวลำโพงและมองเห็นป้ายตารางและเห็นคำว่า Butterworth และก็นึกอะไรไม่รู้ ไปต่อแถวช่องซื้อตั๋ว แล้วถามพี่เจ้าหน้าที่ว่า
ฝน: พี่คะ ไป Butterworth นี่ ไปที่ไหนอะคะ?
พี่ พนง: ไปมาเลย์ อะคะ สามารถข้ามไปปีนังได้
ฝน: มีตั๋วไหมคะ? (ถามทำไม คือ จะไปกาญ ไม่ใช่หร๋า)
พี่ พนง: ไม่มีคะ แต่มีรถไฟไปสุดที่ หาดใหญ่ คะ แล้วน้องต้องต่อไปเอง
พี่ พนง: ไปไหมคะ ถ้าไปมีตั๋วมะรืนนี้ เอาไหมๆ
ฝน:....... (ในหัว ว่างเปล่า สีขาวโพลน)
พี่ พนง: น้องจะไปไหมคะ?
ฝน: ไปค่ะ (หือออออ.....)
ออกมาจากแถวแบบงงๆพร้อมตั๋ว 1 ใบ เออ...... เอ๋า ไปก็ไป และแล้วทริปนั่งรถไฟลุยเดี่ยวไปปีนัง ก็ได้เริ่มขึ้น
ตอนแรกคิดว่า ไปปีนังคงใช้เวลาสัก 4 วันคงกลับแหละ เลยไม่ได้เตรียมอะไรไปมากเลย ขนาดกล้องยังไม่ได้เอาไปเลย ดังนั้น รูปทั้งหมดของรีวิวนี้ เป็นรูปจากกล้อง iPhone ล้วนๆนะคะ แต่ก็บอกก่อนเลยนะ -- ว่าทริปนี้เป็นแบบ backpack จริงๆ เพราะฝนไม่มีแพลนอะไรในหัวเลย ว่าจะไปไหน นอนที่ไหน ทำอะไร และคือไม่ได้จองอะไรล่วงหน้าเลย ดังนั้นทริปนี้ ด้นสดๆตั้งแต่ต้นจนจบ แต่รับรองความมันส์พร้อมความคะนองกันได้เลย
---------------------------------------
วันออกเดินทาง: เราเดินทางมาที่หัวลำโพง มีความรู้สึกที่ตื่นเต้นทุกครั้งสำหรับทุกทริป เพราะเราไม่รู้เลยว่าทริปนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่เราพร้อมคะนองกันแล้วแหละนะ ไม่รอช้าออกลุยกันเลย!!!!!
ครั้งแรกที่ได้เห็นรถไฟที่จะขึ้น แบบเห้ยๆ....มันดูดีเลยนิ เพิ่งรู้ว่าเป็น รถไฟใหม่นี่เอง!!! ข้างในตัวรถไฟสะอาด ห้องน้ำถือว่าดีเลย ที่เจ๋งที่สุดคือมี จอ บอกว่าตอนนี้ถึงไหน จะถึงที่หมายประมาณกี่โมงโดยการคาดการณ์จากเวลาการเดินทางจริงๆ เราออกจากหัวลำโพงตอนเวลา 14:45 น. [ออกตรงเวลาเป๊ะๆ]
ออกมาจากหัวลำโพงจนมาหยุดที่สถานีที่ไหนสักแห่ง และคนที่นั่งคู่กะฝนก็ขึ้นมา เป็นพี่สาวดูท่าทางใจดี เราก็เลยลองคุยและถามข้อมูลจากพี่เค้า เผื่อว่าจะได้ลู่ทางในการเดินทางของเราต่อ บอกเลยว่าพี่เค้าน่ารักมาก ถึงเราจะไม่รู้จักกัน แต่พี่เค้าก็แบ่งปันข้อมูลให้ ถึงขนาดโทรหาญาติเพื่อเช็คตารางรถให้เราเลยทีเดียว [[ แต่เพราะพี่เค้ากลางดึกก่อนฝนที่ไหนสักสถานี เลยไม่มีโอกาสได้ขอบคุณเลย อยากขอบคุณพี่มากๆเลยนะคะ ]] ข้อมูลที่ได้มาถือว่าเป็นประโยชน์สุดๆ เราก็เลยได้รู้ว่าถ้าจะไปปีนังจากสถานีหาดใหญ่มี 2 ทางเลือกคือ รถไฟนั่งต่อ หรือ ไปนั่งรถทัวร์ในเมืองเพื่อไปปีนัง เราจะรู้วันรุ่งขึ้นแหละว่า เราจะได้ใช้วิธีไหนเพื่อเดินทางต่อกันดี
ปล. ตอนรถไฟหยุดที่สถานีราชบุรี มีก๋วยเตี๋ยวกล่องๆขาย กล่องละ 10 บาท อร่อยมากกกกกกกกก 2 กล่องอยู่ได้ทั้งคืนเลย
ระหว่างนั่งคุยกะพี่สาวคนนั้น เวลาประมาณ 18.00 น. พี่เจ้าหน้าที่รถไฟก็มาปรับจากที่นั่งเป็นเตียงนอน แต่พอปรับเป็นเตียงนอน ทุกคนเลยแยกย้าย อยู่เตียงใครเตียงมัน งืมมมม.....ฝนเลยตัดสินใจไปนั่งเล่นที่ตู้รถไฟต่อ
พอมานั่งที่ตู้รถไฟ นั่งไปนั่งมา หันไปหันมา ก็เจอ 2 สาว Jucha (สาวโปแลนด์) กับ Beatriz (สาวโปรตุเกส) เท่านั้นแหละ บทสนทนาก็เริ่มต้นแบบคุยกันยาวๆ
คร่าวๆคือ 2 สาวนี้เดินทางมาประมาณ 3-4 เดือนแล้ว เดือนทางย้ายเมืองไปแต่ละประเทศเพื่อหางานทำ ทำงานเสร็จก็ย้ายประเทศไปเรื่อยๆ และที่หมายต่อไปของ 2 สาว ตอนแรกก็บอกว่าจะไปอยู่ที่ใต้สักเมืองของประเทศไทย คุยไปคุยมา พอเราบอกว่าจะไปปีนัง แล้ว 2 สาวก็คุยกันก็เลยตัดสินใจไปกัวลาล้มเปอร์ซะงั้น นี่แหละน๊าา เสน่ห์ของ backpacker เอาๆ พรุ่งนี้จะเป็นยังไง เราค่อยว่าแต่ที่แน่ๆ ตู้เสบียงรถไฟขบวนนี้จะหนาวไปไหนครัช!!!!!!!!
: : อีกเสน่ห์ของการเดินทาง คือ ระหว่างทางมักจะเจอมิตรภาพดีๆแบบไม่คาดฝันเสมอ : :
ตอนเช้ามืดของวันรุ่งขึ้น ฝนตื่นมาเพราะเสียงฝนตก
และพอมองลงมาข้างล่าง พี่สาวที่นั่งคู่กับฝนก็ลงจากขบวนไปซะแล้ว เช้ามืดวันนั้นฝนตกปอยๆ นั่งรถไฟยาวๆจนเวลาประมาณเกือบ 7 โมง เราก็มาถึงสถานีแรกกันแล้ว สถานีชุมทางหาดใหญ่
ระหว่างที่ต่อแถวจะถามดูว่ายังมีรถไฟไปปีนังไหม ฝนก็เจอกับ 2 สาวอีกครั้ง เราทั้ง 3 คนเลยตัดสินใจเดินทางไปพร้อมๆกัน สรุปว่า เรา 3 คน ต้องนั่งรถไฟต่อไปสถานีปาดังเปซาร์ จังหวัดสงขลา และถือเป็นสถานี border หรือ ด่าน ตม. ก่อนที่เราจะนั่งต่อเข้าประเทศมาเลเซียนั่นเอง
จากสถานีชุมทางหาดใหญ่มาสถานีปาดังเปซาร์ ใช้เวลาประมาณ 50 นาทีเอง เป้นรถไฟที่เชื่อมจากเมืองใหญ่ไปอีกเมือง ยกให้เป็นสายที่ชิวระดับนึงเลย อาจเป็นเพราะบรรยากาศในตัวรถไฟเอง วิวเอย หรือ แม้กระทั่งคนที่ร่วมนั่งรถไฟมาด้วยกัน
สถานีปาดังเบซาร์ - เราลงมาที่สถานีนี้แบบ เออ.....อะไรนะ [ความรู้สึกนี้เลย] เพราะที่นี่เป้นตึกที่มี 2 ชั้น ชั้นแรกที่เชื่อมต่อกับรถไฟ คือ ด่าน ตม. ทั้งหมด มาถึงปุ๊ป เข้าด่านตรวจเพื่อออกนอกประเทศ และ ข้ามมาอีกฝั่งของห้องเพื่อเข้าประเทศมาเลเซีย เดี๋ยวๆ ......เสร็จแล้ว! แบบนี้ก็เร็วดีนะ พอเราตรวจเอกสารเรียบร้อยก็ขึ้นชั้น 2 เพื่อซื้อตั๋วเลยคะ
ฝนจองตั๋วไปสถานี Butterworth ซึ่งเอาตรงๆว่าตอนนั้น อยากรู้มากว่า Butterworth คืออะไรกันแน่!! ชื่อเมือง? ชื่อสถานี? ชื่อรถไฟ? ชื่อรถทัวร์? เพราะเราถามไป ทุกคนก็บอกว่าไป Butterworth เอาๆ ไป Butterworth ก็ไป Butterworth หุ่ยย.... แต่ที่เป็นจุดเปลี่ยนคือ 2 สาวนั้น ก็สรุปไปปีนังกะฝนด้วยซะงั้น ดีเลย อยู่ดีๆก็มีเพื่อนเดินทางยาวๆ
ออกจากสถานีปาดังเปซาร์ไป Butterworth นั่งก็ต่ออีกยาวๆ รถไฟขบวนนี้ให้อารมณ์เหมือนรถไฟ BTS บ้านเรา แต่ออกว่าเหมือนใช้งานหนักกว่ามากหน่อยและวิ่งบนรางเท่านั้น ในระหว่างทาง Jucha เกิดปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ เลยลงกลางทางและบอกว่าจะไปเจอเรา 2 คนที่ปีนังเลย เอ๊าาาซะงั้นอะ แบบนี้ก็ได้หรอ 55555 เอาๆ ฝนและ Beatriz ก็เดินทางต่อมาจนถึง Butterworth
ในที่สุด เราก็ได้รู้จักกันซะทีนะ Butterworth
พอมาถึงที่เราก็ถึงบางอ้อทีนที อ๋อออออ....ที่นี่คือชื่อสถานี Butterworth ที่มีทั้งรถไฟและเหมือน บขส. อยู่ข้างๆกัน หลังจากที่ลงมาจากรถไฟ เราก็เดินไปท่าเรือ ferry เพื่อข้ามไปปีนัง (คนละ 1.20 rm)
ปล. ตู้ดำๆก่อนทางขึ้นเรือ ferry คือตู้แลกเหรียญนะ ไม่ใช่ช่องซื้อตั๋ว
ในที่สุดเราก็มาถึงแหละค้าฟฟฟฟฟ ปีนัง สรุปว่าหลังจากเริ่มเดินทางจาก กทม ด้วยรถไฟจนมาถึงที่สถานี Butterworth ซึ่งเราต้องต่อรถไฟทั้งหมด 3 ขบวน เป็นเวลารวมๆ 22 ชั่วโมง หลังจากนั้นต้องขึ้นเรือเฟอร์รี่ข้ามฝาก และเดินเท้ารวมๆอีก 1 โลกว่าๆ ข้าพเจ้าได้ถึงที่พักสำหรับคืนนี้เป็นที่เรียบร้อยแหละค้าฟ
พอมาถึงปีนัง เราก็เดินหาที่พักคืนนี้กันต่อเลย และคืนนี้เรานอนที่นี่กันคะ Kim Haus Penang มันก็จะดูเท่ห์ๆหน่อยแหละนะ
โอเคแยกย้าย เก็บของ คืนนี้พร้อมลุยกันต่อ !!!