เราเองเคยไปอินเดียมาแล้วเกินยี่สิบเมือง
แต่จนแล้วจนรอดก็หลงเสน่ห์มุมไบมากที่สุด
หนึ่งคือผู้หล่อ สองก็หล่อ สามก็หล่อ (ฮ่า)
มุมไบเป็นเมืองติดทะเล
อยู่ในรัฐมหาราษฏระ (Maharashtra)
เราชอบที่มุมไบมีความหลากหลายสุดขั้ว
ในมุมหนึ่งของเมือง
มีบ้านของชายที่รวยที่สุดในอินเดีย
แต่อีกมุมดันเป็นสลัมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
บางมุมก็คงวัฒนธรรมดั้งเดิมเอาไว้อยู่หมัด
แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นเพียงไม่กี่เมือง
ที่จะได้เห็นสาวอินเดียพับส่าหรีเก็บตู้
แล้วหันมาแต่งตัวแฟชั่นจ๋าตามสไตล์เวสเทิร์น
สิ่งหนึ่งที่ขอเตือนก่อนอ่านเลยคือ
ถ้าอยากจะเที่ยวมุมไบ อย่าได้มาฤดูมรสุม
มรสุมบ้านเขาตรงกับฤดูฝนบ้านเรานั่นแล
เพราะฝนจะตกหนักมาก ตกทุกวัน ตกได้ตกดี
พอฝนตกแล้วน้ำจะท่วม พอน้ำท่วมรถก็ติด
รถติดไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่น้ำที่ผสมขี้วัว ขี้คน
และขี้สารพัดขี้นี่สิยิ่งใหญ่กว่า
เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงเด้อ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน
มาดูกันว่า เราสามารถนั่งรถไฟ
ไปที่ไหนได้บ้างในมุมไบ...
1
มาดูกันที่หมุดหมายแห่งแรก
แลนด์มาร์กเด็ดที่ใครๆ ก็ต้องมา
เป็นสัญลักษณ์ที่ต้องนึกถึงเมื่อมามุมไบ
นั่นคือประตูอินเดีย (Gateway of India)
เขาเปิดให้เข้าชมฟรี
ตอนแรกนึกว่าจะมีแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ
ที่ไหนได้ คนอินเดียมากันเยอะกว่า
หนุ่มคนไหนหล่อก็ยิ้มหวานวิ่งเข้าไปขอถ่ายรูป
หรือคนไหนล่ำก็แวะเข้าไปซบได้
เพราะคนแน่นมากจริงๆ
เยอะรองจากคนก็นกพิราบนี่แหละ
บินกันพึ่บพั่บตอกย้ำความนกของเราไปอีก
ประตูอินเดียอยู่ติดทะเลเลย
มีเรือจอดเรียงรายเป็นแถวๆ
คอยรับนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนัก
ที่อยากไปล่องเรือชมประตูอินเดียกลางทะเล
สำหรับใครที่เดินทางด้วยรถไฟ
ให้มาลงที่สถานี Churchgate
แล้วเดินต่อมาประมาณ 2 กิโลเมตร
หรือใครอยากนั่งออโต้ริกชอว์ต่อมาก็ได้
ถ้ากรณีถูกให้เหมาก็ประมาณ 100 รูปี
เป็นราคาที่ถือว่าเหมาะสม
เกินกว่านี้ก็ตัวใครตัวมันเนาะ
2
จุดที่สองที่แนะนำคือ Chowpatty Beach
ต้องออกเสียงว่าเจาป๊าตตี้
ใกล้หาดมีทางเดินริมทะเลชิลๆ รับลมเย็น
แน่ล่ะ ตอนที่เราไป อากาศประมาณ 20 กลางๆ
อยากไปอินเดียเย็นๆ ไปช่วงปลายธันวาสิ
ถ้าใครไปฤดูร้อนก็คงไม่ได้รับลม
แต่คงจะเป็นลมแทนมากกว่า
ที่ชายหาดก็อารมณ์หาดหัวหินบ้านเรา
มีให้ขี่ม้า มีโชว์นู่นนี่นั่นให้ดู
เป็นหาดที่หันหน้าเข้าหาทิศตะวันตก
ไปนั่งเล่นรอตะวันตกดินเหมือนคนไม่มีอะไรทำ
ซึ่งก็ไม่มีอะไรทำจริงๆ ก็เพลินเพลินใจไปอีกแบบ
ทะเลที่มุมไบน้ำค่อนข้างดำ
ใครอยากจะเล่นก็ต้องคิดแล้วคิดอีก คิดดีๆ เด้อ
แถมคลื่นลมแรงตามสไตล์ฝั่งทะเลอาหรับอีก
ย่าน Chowpatty นี่ถ้าใครดูหนังเรื่อง
Slumdog Millionaire (2008)
ย่านนี้เป็นย่านที่มีการค้าบริการทางเพศ
ที่นางเอกถูกจับให้ไปเต้นรับแขก
แล้วพระเอกตามไปเจอตอนวัยรุ่น
หลังจากที่พลัดพรากจากกันตั้งแต่เด็ก
ถึงแม้ปัจจุบันจะไม่ได้มีเปิดเผยเหมือนในหนัง
แต่ก็ยังมีให้เห็นอยู่
สำหรับใครที่เดินทางด้วยรถไฟ
ให้มาลงที่สถานี Charni Road
เวลาออกเสียงให้ออกว่า จาระนิโร้ด
ต้องมีความกระดกลิ้นตอนระด้วยนิดนึง
คนอินเดียถึงจะหลู่เรื่องกับเราด้วย
แล้วเดินต่อไม่ถึง 500 เมตร
ใครจะใช้ออโต้ริกชอว์ก็ได้ ไม่ว่าเด้อ
ก็ประมาณ 20 รูปี (ถ้าหาได้อะนะ)
3
จุดที่สามคือ Mani Bhavan Gandhi Museum
เป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติของคานธี
อดีตผู้นำประเทศ และบุคคลสำคัญ
ที่อยู่บนทุกธนบัตรของประเทศอินเดีย
ที่นี่มีเรื่องราวตั้งแต่สมัยคานธีเป็นเด็ก
ไปจนถึงก่อนโดนยิงจนเสียชีวิตเลย
นอกจากประวัติบนแผ่นกระดาษธรรมดา
ที่นี่เขามีเป็นโมเดลจำลองเหตุการณ์
ในช่วงชีวิตวัยต่างๆ ของคานธี
ทำออกมาได้น่าสนใจมาก หรือถ้าใครเบื่อๆ
เขาก็มีโซนห้องสมุดให้บริการด้วย
แถมไม่เสียค่าเข้าสักรูปีเดียว
แต่มีกล่องรับบริจาคเงินตามศรัทธาอยู่
สิ่งที่เด็ดดวงของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
คือจดหมายที่เขาบอกว่า
เป็นจดหมายที่คานธีเขียนถึงฮิตเลอร์
ใครอยากรู้ว่าเนื้อความคืออะไร
ต้องแวะไปเยี่ยมชมกันให้ได้นะ
สำหรับใครที่เดินทางด้วยรถไฟ
ให้มาลงที่สถานี Grant Road
แล้วเดินต่ออีกประมาณ 700 เมตร
ถ้าใครอยากจะต่อออโต้ริกชอว์
ก็ราคาประมาณ 50-100 รูปี
4
จุดที่สี่อยู่ในย่านที่เราขอบอกเลยว่า
เป็นย่านที่สวยที่สุดในมุมไบ
สถานที่แห่งนี้คือสถานีรถไฟวีที
(Victoria Terminus)
หรือที่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อมาเป็นซีเอสทีแล้ว
(Chhatrapati Shivaji Terminus)
สถานีรถไฟแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นสถานีรถไฟ
ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศอินเดีย
แถมได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย
สถานีรถไฟซีเอสทีสร้างขึ้นทับสถานีรถไฟเดิม
ที่เป็นเส้นทางรถไฟสายแรกในอินเดีย
เริ่มจากมุมไบไปยังเมือง Thane (ตาเน)
ถือว่าเป็นสถานีรถไฟในตำนานเลยทีเดียว
สถานีนี้ก็อยู่ในเรื่องสลัมด็อกด้วยเหมือนกัน
ใครอยากไปมุมไบ ก่อนไปต้องดูเรื่องนี้
พอไปแล้วจะได้ฟิน ได้ตามรอยภาพยนตร์
ไม่ใช่แค่ตัวสถานีรถไฟ แต่สถาปัตยกรรมย่านนี้
เป็นสไตล์ยุโรปเกือบทั้งหมดเลย
บางตึกนี่อายุเป็นร้อยๆ ปี
ซึ่งแทนที่รัฐบาลจะปล่อยให้มันทรุดโทรม
เสียเงินทำนุบำรุงปีละหลายรูปี
นางเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสจ้า
ปล่อยให้ภาคเอกชนมาเปิดเป็นห้างบ้าง
โรงแรมบ้าง ทำให้ตึกถูกดูแลอยู่ตลอด
พารากอนก็พารากอนเถอะ
เจอห้างในตึกสไตล์วิกตอเรียนนี่เข้าไป
ก็ต้องขนลุกซู่แน่นอน พี่เกดขนลุกแล้วค่ะ
สำหรับใครที่เดินทางด้วยรถไฟ
ให้มาลงที่สถานีซีเอสที
หรือใครอยากจะเรียกตามชื่อเต็มของนาง
ก็ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเลยค่ะ
5
จุดต่อไปเป็นย่านที่เราชอบเพราะถ่ายรูปสนุก
เป็นย่านที่เข้มข้นทั้งวัฒนธรรม
และกลิ่นไม่พึงประสงค์สุดๆ
เป็นย่านของชุมชนมุสลิมแถบ Minara Masjid
ย่านนี้นอกจากจะเป็นแหล่งแปรรูปสารพัดไม้
ยังเป็นย่านที่เลี้ยงไก่ เลี้ยงแพะ
แถมยังมีตลาดปลาอยู่ใกล้ๆ อีก
ดังนั้น กลิ่นสารพัดสารเพ
และฝุ่นจากการเลื่อยไม้
จะคละคลุ้งแฝงอยู่ในอากาศตีกันไปหมด
ย่านนี้เด็ดดวงเรื่องเมนูสารพัดไก่
ไม่ว่าจะ Tandoori Chicken ซี้ดซ้าด
หรือ Chicken Tikka สีแดงจ๋า
หรือจะข้าวหมกไก่สไตล์อินเดียรสจัด
อย่าง Chicken Biryani
เตรียมกล้องให้พร้อม เตรียมพุงให้ว่าง
แล้วจะสนุกสนานไปกับย่านมุสลิมนี้แน่นอน
สำหรับใครที่เดินทางด้วยรถไฟ
ให้มาลงที่สถานี Masjid Bunder
แล้วเดินต่ออีกประมาณ 700 เมตร
ถ้าใครอยากจะต่อออโต้ริกชอว์
ก็ราคาประมาณ 50-100 รูปี
6
จุดที่หกคือ Dhobi Ghat (โดบิกาต)
แหล่งซักผ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ถึงขั้นได้ลงใน Guinness World Records
ตอนแรกที่อ่านจากไกด์บุ๊กต่างๆ
เราคิดว่ามันจะต้องใหญ่โตเว่อร์วังมากแน่นอน
แต่พอไปถึง อิผี เล็กนิดเดียว
เอกลักษณ์เด่นของที่นี่คือมีผ้าตากเรียงราย
ยาวซ้อนกันสลับไปมาเป็นแถวยาวสุดพื้นที่
ถ้าใครอยากเข้าไปส่องดูวิธีการทำงานใกล้ๆ
เขาก็เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปดูได้
แต่ต้องจ่ายเงินค่าผ่านทางให้นายหน้าก่อน
ซึ่งราคาที่เขาเสนอมามักจะแพงลิบลิ่ว
โชคดีที่เพื่อนสาวชาวจีนเคยบอกเราว่า
นางเคยจ่ายแค่ร้อยรูปี เราเลยบอกว่า
เนี่ย เพื่อนฉันเคยเข้าแค่ร้อยรูปีเอง
นางเลยลดให้ บอกว่าลดให้พิเศษเพื่อเธอเลยนะ
แต่ความพีกคือ พอกลับไปเมาท์กับเพื่อน
นางบอกอิร้อยรูปีน่ะ ฉันเข้ากันสามคนนะ (ฮ่า)
เจ๊ต่อราคากันอิท่าไหนวะนั่น ยอมใจจริงๆ
พอจ่ายเงินเขาก็จะให้คนที่ทำงานข้างใน
มาเป็นไกด์จำเป็นพาเราเดินสำรวจ
แล้วคือพี่แกก็ดันพูดอังกฤษไม่เก่ง
เราก็ดันฟังฮินดีไม่เก่งด้วย
สรุปมาเจอกันครึ่งทาง ความรู้ที่ได้มา
ก็เลยจับต้นชนปลายไม่ถูก สรุปอันนั้นเอาไว้ทำไร
อันนี้เอาไว้ทำอะไร ตอนนี้ยังไม่รู้เลยค่ะ
จบทัวร์แล้วยังต้องมาให้ทิปไกด์แยกอีก
นอกจากวิธีการซักผ้าแบบอินเดีย
ที่เขาจะเอาผ้าไปฟาด ฟาด ฟาด บนขอบบ่อปูน
ข้างใน Dhobi Ghat ก็มีเครื่องซักผ้านะ
เครื่องปั่นผ้าก็มี แต่คือสรุปก็ใช้กันทั้งสองแบบ
เพราะมีผ้ามาให้ซักวันละเป็นหมื่นๆ ตัว
ตอนแรกนึกว่าเขาซักมือกันอย่างเดียวเสียอีก
ก็ว่าอยู่ว่าทำไมซักกันได้ปริมาณเยอะเชียว
สำหรับใครที่เดินทางด้วยรถไฟ
ให้มาลงที่สถานี Mahalakshmi
เดินออกประตูมาก็เจอเลย ใกล้มาก
7
จุดต่อไปคือห้างที่หรูหราที่สุดแห่งนึงในมุมไบ
ชื่อว่าห้างฟีนิกซ์ (Phoenix Mall)
ย่านนี้เป็นห้างหลายๆ ตึกเชื่อมกัน
อารมณ์ประมาณห้างแถวสยามบ้านเรา
มีอาหารฟาสต์ฟู้ดให้บริการทุกหัวชื่อ
มีเสื้อผ้าแบรนด์เนมให้ซื้อใส่เก๋ไก๋
แต่ราคาพอๆ กับบ้านเราเลย
ตอนแรกเรานึกว่าจะถูกกว่า
ที่นี่มีโรงหนังที่ขึ้นชื่อมากสำหรับหนุ่มสาวมุมไบ
เป็นโรงหนังสุดหรู สมราคา
ฉายหนังบอลลีวูดล่าสุด รวมถึงฮอลลีวูดด้วย
เรารู้จักกับหนุ่มคนนึง เขาเป็นนักแสดง
อยู่ในแวดวงบอลลีวูด หน้าตาหล่อเหลา
วันนึง อยู่ดีๆ นางนึกครึ้มอะไรไม่รู้
โทรถามเราว่าอยู่ไหน ให้รีบมาเจอกันที่นี่
นางจะพาไปงานเปิดตัวหนังบอลลีวูด
เรื่อง A Flying Jatt (2016)
ซึ่งจะมีดาราดังอย่าง Tiger Shroff มาด้วย
ว้าย มีหรือจะยอมพลาด
รีบนั่งรถไฟไปหาทันที ด้วยสภาพแบบว่า
เสื้อยืด เกงขาสั้น หนีบแตะสไตล์ช้างดาว
ไม่ได้เข้ากับบรรยากาศหรูหราของห้างเลยค่ะ
เป็นบุญของอิฉันยิ่งนักที่ได้เจอดาราดังระดับนี้
ตัวจริงเขาหล่อมากเลยล่ะเธอ!
สำหรับใครที่เดินทางด้วยรถไฟ
ให้มาลงที่สถานี Lower Parel
เเล้วเดินต่อมาประมาณ 900 เมตร
ด้วยความที่ทางเดินจากสถานีรถไฟมาห้าง
เป็นซอกแคบๆ อาจหาออโต้ริกชอว์ยาก
ยอมเดินเอาหน่อยเนอะ
ระหว่างทางมีของกินให้แวะพักทานเยอะแยะ
ไม่เหนื่อยและไม่เบื่อแน่นอน
[CR] มุมไบ...ไปไหนดี 10 ที่เที่ยวเก๋ไก๋ ในเมืองบอลลีวูด ที่ไปได้ด้วยรถไฟเที่ยวละ 3 บาท
เราเองเคยไปอินเดียมาแล้วเกินยี่สิบเมือง
แต่จนแล้วจนรอดก็หลงเสน่ห์มุมไบมากที่สุด
หนึ่งคือผู้หล่อ สองก็หล่อ สามก็หล่อ (ฮ่า)
มุมไบเป็นเมืองติดทะเล
อยู่ในรัฐมหาราษฏระ (Maharashtra)
เราชอบที่มุมไบมีความหลากหลายสุดขั้ว
ในมุมหนึ่งของเมือง
มีบ้านของชายที่รวยที่สุดในอินเดีย
แต่อีกมุมดันเป็นสลัมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
บางมุมก็คงวัฒนธรรมดั้งเดิมเอาไว้อยู่หมัด
แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นเพียงไม่กี่เมือง
ที่จะได้เห็นสาวอินเดียพับส่าหรีเก็บตู้
แล้วหันมาแต่งตัวแฟชั่นจ๋าตามสไตล์เวสเทิร์น
สิ่งหนึ่งที่ขอเตือนก่อนอ่านเลยคือ
ถ้าอยากจะเที่ยวมุมไบ อย่าได้มาฤดูมรสุม
มรสุมบ้านเขาตรงกับฤดูฝนบ้านเรานั่นแล
เพราะฝนจะตกหนักมาก ตกทุกวัน ตกได้ตกดี
พอฝนตกแล้วน้ำจะท่วม พอน้ำท่วมรถก็ติด
รถติดไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่น้ำที่ผสมขี้วัว ขี้คน
และขี้สารพัดขี้นี่สิยิ่งใหญ่กว่า
เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงเด้อ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน
มาดูกันว่า เราสามารถนั่งรถไฟ
ไปที่ไหนได้บ้างในมุมไบ...
1
มาดูกันที่หมุดหมายแห่งแรก
แลนด์มาร์กเด็ดที่ใครๆ ก็ต้องมา
เป็นสัญลักษณ์ที่ต้องนึกถึงเมื่อมามุมไบ
นั่นคือประตูอินเดีย (Gateway of India)
เขาเปิดให้เข้าชมฟรี
ตอนแรกนึกว่าจะมีแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ
ที่ไหนได้ คนอินเดียมากันเยอะกว่า
หนุ่มคนไหนหล่อก็ยิ้มหวานวิ่งเข้าไปขอถ่ายรูป
หรือคนไหนล่ำก็แวะเข้าไปซบได้
เพราะคนแน่นมากจริงๆ
เยอะรองจากคนก็นกพิราบนี่แหละ
บินกันพึ่บพั่บตอกย้ำความนกของเราไปอีก
ประตูอินเดียอยู่ติดทะเลเลย
มีเรือจอดเรียงรายเป็นแถวๆ
คอยรับนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนัก
ที่อยากไปล่องเรือชมประตูอินเดียกลางทะเล
สำหรับใครที่เดินทางด้วยรถไฟ
ให้มาลงที่สถานี Churchgate
แล้วเดินต่อมาประมาณ 2 กิโลเมตร
หรือใครอยากนั่งออโต้ริกชอว์ต่อมาก็ได้
ถ้ากรณีถูกให้เหมาก็ประมาณ 100 รูปี
เป็นราคาที่ถือว่าเหมาะสม
เกินกว่านี้ก็ตัวใครตัวมันเนาะ
2
จุดที่สองที่แนะนำคือ Chowpatty Beach
ต้องออกเสียงว่าเจาป๊าตตี้
ใกล้หาดมีทางเดินริมทะเลชิลๆ รับลมเย็น
แน่ล่ะ ตอนที่เราไป อากาศประมาณ 20 กลางๆ
อยากไปอินเดียเย็นๆ ไปช่วงปลายธันวาสิ
ถ้าใครไปฤดูร้อนก็คงไม่ได้รับลม
แต่คงจะเป็นลมแทนมากกว่า
ที่ชายหาดก็อารมณ์หาดหัวหินบ้านเรา
มีให้ขี่ม้า มีโชว์นู่นนี่นั่นให้ดู
เป็นหาดที่หันหน้าเข้าหาทิศตะวันตก
ไปนั่งเล่นรอตะวันตกดินเหมือนคนไม่มีอะไรทำ
ซึ่งก็ไม่มีอะไรทำจริงๆ ก็เพลินเพลินใจไปอีกแบบ
ทะเลที่มุมไบน้ำค่อนข้างดำ
ใครอยากจะเล่นก็ต้องคิดแล้วคิดอีก คิดดีๆ เด้อ
แถมคลื่นลมแรงตามสไตล์ฝั่งทะเลอาหรับอีก
ย่าน Chowpatty นี่ถ้าใครดูหนังเรื่อง
Slumdog Millionaire (2008)
ย่านนี้เป็นย่านที่มีการค้าบริการทางเพศ
ที่นางเอกถูกจับให้ไปเต้นรับแขก
แล้วพระเอกตามไปเจอตอนวัยรุ่น
หลังจากที่พลัดพรากจากกันตั้งแต่เด็ก
ถึงแม้ปัจจุบันจะไม่ได้มีเปิดเผยเหมือนในหนัง
แต่ก็ยังมีให้เห็นอยู่
สำหรับใครที่เดินทางด้วยรถไฟ
ให้มาลงที่สถานี Charni Road
เวลาออกเสียงให้ออกว่า จาระนิโร้ด
ต้องมีความกระดกลิ้นตอนระด้วยนิดนึง
คนอินเดียถึงจะหลู่เรื่องกับเราด้วย
แล้วเดินต่อไม่ถึง 500 เมตร
ใครจะใช้ออโต้ริกชอว์ก็ได้ ไม่ว่าเด้อ
ก็ประมาณ 20 รูปี (ถ้าหาได้อะนะ)
3
จุดที่สามคือ Mani Bhavan Gandhi Museum
เป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติของคานธี
อดีตผู้นำประเทศ และบุคคลสำคัญ
ที่อยู่บนทุกธนบัตรของประเทศอินเดีย
ที่นี่มีเรื่องราวตั้งแต่สมัยคานธีเป็นเด็ก
ไปจนถึงก่อนโดนยิงจนเสียชีวิตเลย
นอกจากประวัติบนแผ่นกระดาษธรรมดา
ที่นี่เขามีเป็นโมเดลจำลองเหตุการณ์
ในช่วงชีวิตวัยต่างๆ ของคานธี
ทำออกมาได้น่าสนใจมาก หรือถ้าใครเบื่อๆ
เขาก็มีโซนห้องสมุดให้บริการด้วย
แถมไม่เสียค่าเข้าสักรูปีเดียว
แต่มีกล่องรับบริจาคเงินตามศรัทธาอยู่
สิ่งที่เด็ดดวงของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
คือจดหมายที่เขาบอกว่า
เป็นจดหมายที่คานธีเขียนถึงฮิตเลอร์
ใครอยากรู้ว่าเนื้อความคืออะไร
ต้องแวะไปเยี่ยมชมกันให้ได้นะ
สำหรับใครที่เดินทางด้วยรถไฟ
ให้มาลงที่สถานี Grant Road
แล้วเดินต่ออีกประมาณ 700 เมตร
ถ้าใครอยากจะต่อออโต้ริกชอว์
ก็ราคาประมาณ 50-100 รูปี
4
จุดที่สี่อยู่ในย่านที่เราขอบอกเลยว่า
เป็นย่านที่สวยที่สุดในมุมไบ
สถานที่แห่งนี้คือสถานีรถไฟวีที
(Victoria Terminus)
หรือที่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อมาเป็นซีเอสทีแล้ว
(Chhatrapati Shivaji Terminus)
สถานีรถไฟแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นสถานีรถไฟ
ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศอินเดีย
แถมได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย
สถานีรถไฟซีเอสทีสร้างขึ้นทับสถานีรถไฟเดิม
ที่เป็นเส้นทางรถไฟสายแรกในอินเดีย
เริ่มจากมุมไบไปยังเมือง Thane (ตาเน)
ถือว่าเป็นสถานีรถไฟในตำนานเลยทีเดียว
สถานีนี้ก็อยู่ในเรื่องสลัมด็อกด้วยเหมือนกัน
ใครอยากไปมุมไบ ก่อนไปต้องดูเรื่องนี้
พอไปแล้วจะได้ฟิน ได้ตามรอยภาพยนตร์
ไม่ใช่แค่ตัวสถานีรถไฟ แต่สถาปัตยกรรมย่านนี้
เป็นสไตล์ยุโรปเกือบทั้งหมดเลย
บางตึกนี่อายุเป็นร้อยๆ ปี
ซึ่งแทนที่รัฐบาลจะปล่อยให้มันทรุดโทรม
เสียเงินทำนุบำรุงปีละหลายรูปี
นางเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสจ้า
ปล่อยให้ภาคเอกชนมาเปิดเป็นห้างบ้าง
โรงแรมบ้าง ทำให้ตึกถูกดูแลอยู่ตลอด
พารากอนก็พารากอนเถอะ
เจอห้างในตึกสไตล์วิกตอเรียนนี่เข้าไป
ก็ต้องขนลุกซู่แน่นอน พี่เกดขนลุกแล้วค่ะ
สำหรับใครที่เดินทางด้วยรถไฟ
ให้มาลงที่สถานีซีเอสที
หรือใครอยากจะเรียกตามชื่อเต็มของนาง
ก็ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเลยค่ะ
5
จุดต่อไปเป็นย่านที่เราชอบเพราะถ่ายรูปสนุก
เป็นย่านที่เข้มข้นทั้งวัฒนธรรม
และกลิ่นไม่พึงประสงค์สุดๆ
เป็นย่านของชุมชนมุสลิมแถบ Minara Masjid
ย่านนี้นอกจากจะเป็นแหล่งแปรรูปสารพัดไม้
ยังเป็นย่านที่เลี้ยงไก่ เลี้ยงแพะ
แถมยังมีตลาดปลาอยู่ใกล้ๆ อีก
ดังนั้น กลิ่นสารพัดสารเพ
และฝุ่นจากการเลื่อยไม้
จะคละคลุ้งแฝงอยู่ในอากาศตีกันไปหมด
ย่านนี้เด็ดดวงเรื่องเมนูสารพัดไก่
ไม่ว่าจะ Tandoori Chicken ซี้ดซ้าด
หรือ Chicken Tikka สีแดงจ๋า
หรือจะข้าวหมกไก่สไตล์อินเดียรสจัด
อย่าง Chicken Biryani
เตรียมกล้องให้พร้อม เตรียมพุงให้ว่าง
แล้วจะสนุกสนานไปกับย่านมุสลิมนี้แน่นอน
สำหรับใครที่เดินทางด้วยรถไฟ
ให้มาลงที่สถานี Masjid Bunder
แล้วเดินต่ออีกประมาณ 700 เมตร
ถ้าใครอยากจะต่อออโต้ริกชอว์
ก็ราคาประมาณ 50-100 รูปี
6
จุดที่หกคือ Dhobi Ghat (โดบิกาต)
แหล่งซักผ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ถึงขั้นได้ลงใน Guinness World Records
ตอนแรกที่อ่านจากไกด์บุ๊กต่างๆ
เราคิดว่ามันจะต้องใหญ่โตเว่อร์วังมากแน่นอน
แต่พอไปถึง อิผี เล็กนิดเดียว
เอกลักษณ์เด่นของที่นี่คือมีผ้าตากเรียงราย
ยาวซ้อนกันสลับไปมาเป็นแถวยาวสุดพื้นที่
ถ้าใครอยากเข้าไปส่องดูวิธีการทำงานใกล้ๆ
เขาก็เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปดูได้
แต่ต้องจ่ายเงินค่าผ่านทางให้นายหน้าก่อน
ซึ่งราคาที่เขาเสนอมามักจะแพงลิบลิ่ว
โชคดีที่เพื่อนสาวชาวจีนเคยบอกเราว่า
นางเคยจ่ายแค่ร้อยรูปี เราเลยบอกว่า
เนี่ย เพื่อนฉันเคยเข้าแค่ร้อยรูปีเอง
นางเลยลดให้ บอกว่าลดให้พิเศษเพื่อเธอเลยนะ
แต่ความพีกคือ พอกลับไปเมาท์กับเพื่อน
นางบอกอิร้อยรูปีน่ะ ฉันเข้ากันสามคนนะ (ฮ่า)
เจ๊ต่อราคากันอิท่าไหนวะนั่น ยอมใจจริงๆ
พอจ่ายเงินเขาก็จะให้คนที่ทำงานข้างใน
มาเป็นไกด์จำเป็นพาเราเดินสำรวจ
แล้วคือพี่แกก็ดันพูดอังกฤษไม่เก่ง
เราก็ดันฟังฮินดีไม่เก่งด้วย
สรุปมาเจอกันครึ่งทาง ความรู้ที่ได้มา
ก็เลยจับต้นชนปลายไม่ถูก สรุปอันนั้นเอาไว้ทำไร
อันนี้เอาไว้ทำอะไร ตอนนี้ยังไม่รู้เลยค่ะ
จบทัวร์แล้วยังต้องมาให้ทิปไกด์แยกอีก
นอกจากวิธีการซักผ้าแบบอินเดีย
ที่เขาจะเอาผ้าไปฟาด ฟาด ฟาด บนขอบบ่อปูน
ข้างใน Dhobi Ghat ก็มีเครื่องซักผ้านะ
เครื่องปั่นผ้าก็มี แต่คือสรุปก็ใช้กันทั้งสองแบบ
เพราะมีผ้ามาให้ซักวันละเป็นหมื่นๆ ตัว
ตอนแรกนึกว่าเขาซักมือกันอย่างเดียวเสียอีก
ก็ว่าอยู่ว่าทำไมซักกันได้ปริมาณเยอะเชียว
สำหรับใครที่เดินทางด้วยรถไฟ
ให้มาลงที่สถานี Mahalakshmi
เดินออกประตูมาก็เจอเลย ใกล้มาก
7
จุดต่อไปคือห้างที่หรูหราที่สุดแห่งนึงในมุมไบ
ชื่อว่าห้างฟีนิกซ์ (Phoenix Mall)
ย่านนี้เป็นห้างหลายๆ ตึกเชื่อมกัน
อารมณ์ประมาณห้างแถวสยามบ้านเรา
มีอาหารฟาสต์ฟู้ดให้บริการทุกหัวชื่อ
มีเสื้อผ้าแบรนด์เนมให้ซื้อใส่เก๋ไก๋
แต่ราคาพอๆ กับบ้านเราเลย
ตอนแรกเรานึกว่าจะถูกกว่า
ที่นี่มีโรงหนังที่ขึ้นชื่อมากสำหรับหนุ่มสาวมุมไบ
เป็นโรงหนังสุดหรู สมราคา
ฉายหนังบอลลีวูดล่าสุด รวมถึงฮอลลีวูดด้วย
เรารู้จักกับหนุ่มคนนึง เขาเป็นนักแสดง
อยู่ในแวดวงบอลลีวูด หน้าตาหล่อเหลา
วันนึง อยู่ดีๆ นางนึกครึ้มอะไรไม่รู้
โทรถามเราว่าอยู่ไหน ให้รีบมาเจอกันที่นี่
นางจะพาไปงานเปิดตัวหนังบอลลีวูด
เรื่อง A Flying Jatt (2016)
ซึ่งจะมีดาราดังอย่าง Tiger Shroff มาด้วย
ว้าย มีหรือจะยอมพลาด
รีบนั่งรถไฟไปหาทันที ด้วยสภาพแบบว่า
เสื้อยืด เกงขาสั้น หนีบแตะสไตล์ช้างดาว
ไม่ได้เข้ากับบรรยากาศหรูหราของห้างเลยค่ะ
เป็นบุญของอิฉันยิ่งนักที่ได้เจอดาราดังระดับนี้
ตัวจริงเขาหล่อมากเลยล่ะเธอ!
สำหรับใครที่เดินทางด้วยรถไฟ
ให้มาลงที่สถานี Lower Parel
เเล้วเดินต่อมาประมาณ 900 เมตร
ด้วยความที่ทางเดินจากสถานีรถไฟมาห้าง
เป็นซอกแคบๆ อาจหาออโต้ริกชอว์ยาก
ยอมเดินเอาหน่อยเนอะ
ระหว่างทางมีของกินให้แวะพักทานเยอะแยะ
ไม่เหนื่อยและไม่เบื่อแน่นอน